กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 260.1 ฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง

บทที่ 260.1 ฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง

ตรงต้นกุ้ยโบราณต้นบรรพบุรุษที่อยู่บนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ร่มไม้ที่ร่มรื่นจนไม่รู้สึกถึงไอร้อนแล้วก็ให้นึกถึงต้นไหวโบราณของที่บ้านเกิด เพียงแต่ว่าต้นกุ้ยตรงหน้ายังมีพุ่มใบหนาครึ้ม แต่ต้นไหวโบราณกลับไม่อยู่แล้ว หลังจากความรู้สึกเสียใจผ่านพ้นไป เฉินผิงอันก็ยิ้มเป็นสุข เขายังคงจำภาพที่แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงแบกกิ่งไหววิ่งไปวิ่งมา หลี่เป่าผิงน่ารักร่าเริง ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน เหมือนกับฟ่านเอ้อร์แห่งตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่าที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเป็นสุขทุกวัน คนทั้งสองต่างทำให้เฉินผิงอันรู้สึกอิจฉาอย่างมาก หวังว่าวันหนึ่งตนจะกลายเป็นคนแบบพวกเขา ไม่รู้ว่านี่จะถือเป็นการเลือกเอาตัวอย่างที่ดีของคนอื่นมาปรับใช้อย่างที่สอนไว้ในตำราของอริยะปราชญ์หรือไม่?

นอกจากเฉินผิงอันแล้ว ใต้ต้นกุ้ยโบราณยังมีผู้โดยสารที่มาขึ้นเรือข้ามฟากซึ่งจับกลุ่มกันสองสามคน ต่างก็เป็นแขกที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่ละคนชี้ไม้ชี้มือใส่ต้นไม้โบราณสูงอายุต้นนี้ และยังมีหญิงสาวอีกจำนวนหนึ่งที่เลือกตำแหน่งเหมาะๆ ได้แล้วก็บอกให้ช่างวาดภาพส่วนหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวาที่มาเตรียมรออยู่ตรงนี้โดยเฉพาะช่วยยกพู่กันวาดภาพให้กับพวกนาง และยังมีครอบครัวสามคนครอบครัวหนึ่งบอกให้จิตรกรผู้ฝึกลมปราณที่มีฝีมือเลิศล้ำช่วยวาดภาพครอบครัวให้กับพวกเขาเก็บไว้เป็นที่ระลึก

ก่อนหน้านี้ตอนนั่งอยู่บนรถม้าฟ่านเอ้อร์เคยเตือนเฉินผิงอันว่า แขกที่สามารถเดินทางจากนครมังกรเฒ่าไปทำการค้าที่ภูเขาห้อยหัวได้นั้น ขอบเขตมีสูงต่ำ ชาติกำเนิดมีดีเลว แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกันก็คือ คนเหล่านี้ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ต่อให้เป็นความสัมพันธ์ที่คดเคี้ยวอ้อมไปอ้อมมา แต่ไม่ว่าใครก็สามารถยกเอาบุคคลยิ่งใหญ่หรือตระกูลเซียนออกมาข่มคนอื่นได้ เพราะนอกจากตระกูลฟ่านจะมีคลังทรัพยากรสองสามแห่งเป็นของตัวเองอยู่บนเกาะกุ้ยฮวาแล้ว แขกหลายคนที่ใจกว้างมือเติบก็มักจะมาฝากส่งสินค้ากับเกาะกุ้ยฮวาเป็นประจำ คนกลุ่มนี้ไม่ขาดภูมิหลังและทรัพย์สินเงินทอง และบางคนก็อาจร่ำรวยจนเป็นเจ้าของแคว้นได้มากกว่าตระกูลฟ่านด้วยซ้ำ เพียงแค่ขาดโชควาสนาที่จะได้ครอบครองเรือข้ามฟากและเส้นทางการเดินเรือที่ปลอดภัยมั่นคงก็เท่านั้น

เดิมทีเฉินผิงอันก็ไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใส่ตัวอยู่แล้ว ดังนั้นคำเตือนนี้ของฟ่านเอ้อร์จึงถือเป็นการปักดอกไม้ลงบนผ้าแพร

ตอนนี้เฉินผิงอันกำลังยืนนิ่งๆ อยู่ไกลๆ รอจนนักวาดภาพวัยกลางคนผู้หนึ่งหยุดพู่กันและส่งมอบภาพวาดเรียบร้อยแล้ว เฉินผิงอันถึงเดินขึ้นหน้า เดินสวนไหล่กับหญิงสาวที่สองมือประคองม้วนภาพวาดด้วยท่าทางเบิกบาน เขาชำเลืองตามองภาพวาดที่อยู่ในมือของผู้ฝึกลมปราณหญิงท่านนี้ ภาพวาดนั้นเหมือนตัวจริงอย่างยิ่ง ไม่ใช่แบบตายตัวขยับไม่ได้อย่างภาพเทพทวารบาลที่ติดหน้าประตูบ้านของที่บ้านเกิด เพราะเสื้อผ้าและเส้นผมของหญิงสาวบนม้วนภาพวาดสะบัดพลิ้วเชื่องช้า ใบไม้บนต้นกุ้ยก็ขยับกระเพื่อมเป็นระลอก แต่ด้วยความสามารถในการมองเห็นของเฉินผิงอัน เขาสังเกตเห็นว่าใบหน้าจริงๆ ของหญิงสาวกับใบหน้าในรูปภาพมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ดูเหมือนว่านักวาดภาพจะช่วยเสริมเติมแต่งให้ดูดีขึ้น เฉินผิงอันทอดถอนใจชื่นชม เมื่อเทียบกับวิธีคัดลอกลายบนเรือคุนที่เคยโดยสารมาก่อนหน้านี้ เรียกได้ว่ามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างกันไป

นักวาดภาพวัยกลางคนมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แล้วสะบัดข้อมือ ด้านหลังเขาก็มีแม่นางกุ้ยฮวาคนหนึ่งยกโต๊ะตัวเล็กออกมา พร้อมจัดวางสี่สมบัติในห้องหนังสือ

จิตรกรถามยิ้มๆ ว่า “คุณชายอยากวาดภาพด้วยหรือไม่? การเดินทางไกลข้ามทวีปของเกาะกุ้ยฮวาเราในครั้งนี้ ก่อนจะไปถึงภูเขาห้อยหัว ระหว่างทางต้องผ่านสิบทัศนียภาพ ทุกที่ล้วนมีความงามในแบบฉบับของตัวเอง หนึ่งในนั้นก็คือต้นกุ้บบรรพบุรุษต้นนี้ อาศัยบารมีของกุ้ยเซียน ภาพวาดที่พวกเราจรดพู่กันวาดลงไปจะมีกลิ่นหอมจางๆ อบอวล รับรองว่าหนึ่งร้อยปีสีก็ไม่ซีด อีกทั้งมดแมลงก็ทำลายไม่ได้ คุณชายจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน”

ก่อนที่เฉินผิงอันจะออกจากบ้านก็เก็บป้ายไม้แขกกุ้ยแผ่นนั้นไปแล้ว เขาพยักหน้ารับพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากได้ภาพวาดสามภาพที่เหมือนกัน ขอถามท่านจิตรกรว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่?”

นักวาดภาพวัยกลางคนอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่ไม่เปิดเผยตัวตนจริงๆ หรือเป็นลูกหลานคนมีเงินที่ไร้ประสบการณ์ทางโลก คนทั่วไปอย่างมากสุดก็ต้องการแค่ภาพเดียว ไหนเลยจะอยากได้สามภาพรวด เพียงแต่ว่าใครก็ไม่รังเกียจเงินที่วิ่งเข้ากระเป๋าของตัวเอง จิตรกรจึงยิ้มบางๆ ตอบว่า “หนึ่งภาพสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ หากคุณชายต้องการสามภาพ ราคาจะถูกลง เก็บคุณชายแค่ยี่สิบห้าเหรียญเท่านั้น”

แม่นางกุ้ยฮวาที่รูปโฉมอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับจินซู่ในเรือนกุยม่ายยิ้มหวาน อธิบายเสริมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากคุณชายมีป้ายไม้พิเศษของเกาะกุ้ยฮวา ยังสามารถลดราคาได้อีก”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มี ข้าเป็นแค่แขกธรรมดา”

หนึ่งภาพสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ สำหรับเฉินผิงอันที่ทุกครั้งต้องซื้อเหล้าที่ถูกที่สุดแล้ว นี่เป็นค่าใช้จ่ายที่อยู่เหนือการคาดการณ์ไปไกลโข แต่วันนี้เฉินผิงอันกลับไม่มีความลังเลใดๆ เขาควักเงินเกล็ดหิมะยี่สิบห้าเหรียญออกมาวางบนโต๊ะตัวเล็กที่แม่นางกุ้ยฮวาถือไว้ตามคำบอกของนาง เพราะจิตรกรตระกูลฟ่านจะไม่รับเงินผ่านมือตัวเอง จากนั้นจิตรกรวัยกลางคนก็บอกให้เฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ย ต้องเปลี่ยนตำแหน่งติดต่อกันอยู่หลายครั้ง สุดท้ายถึงหาตำแหน่งที่ดีที่สุดของทัศนียภาพนี้ได้ เฉินผิงอันยืนอยู่ใต้ต้นไม้เพียงลำพัง เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่นักวาดภาพจ้องมองมา เขามีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างเห็นได้ชัด นักวาดภาพเอ่ยปลอบใจด้วยสีหน้าอ่อนโยนเป็นมิตรอยู่สองสามประโยคถึงผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย แขนขาทั้งสี่ไม่แข็งทื่ออีกต่อไป แต่สีหน้ากลับยังเกร็งอยู่บ้าง จิตรกรไม่กล้าจู้จี้จุกจิกมากนัก คิดกับตัวเองว่าอย่างมากตอนที่จรดพู่กันวาดภาพ ตนแค่ตั้งใจให้มากหน่อยก็พอ

แม่นางกุ้ยฮวาคนนี้ยกยิ้มอย่างอดไม่อยู่ ในสถานที่ที่มีเทพเซียนมากมายมารวมตัวกันอย่างเกาะกุ้ยฮวา แขกที่ขี้อายเช่นนี้มีให้เห็นไม่มากนัก เคยมีชายหญิงบางส่วนที่ใจกล้าหน่อยถามว่าสามารถขึ้นไปยืนบนกิ่งของต้นกุ้ยบรรพบุรุษให้จิตรกรวาดภาพยืนสูงมองไกลได้หรือไม่ ส่วนสตรีก็ถามว่าจะหักกิ่งต้นกุ้ยมาถือไว้ในมือได้ไหม แน่นอนว่าไม่ได้

นักวาดภาพวัยกลางคนยกพู่กันขึ้น สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ กระดาษเซวียนจื่อหายากที่มาจากแคว้นชิงหลวนแผ่นหนึ่งไหลลงมาจากบนโต๊ะเล็ก บินช้าๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แล้วลอยนิ่งไม่ขยับ ราวกับวางอยู่บนโต๊ะวาดภาพที่ราบเรียบ นักวาดภาพไม่ได้รีบร้อนจรดพู่กันลงบนกระดาษ แต่เริ่มสร้างอารมณ์ให้กับตัวเอง เขียนตัวอักษรต้องกดลึกสามส่วน (เปรียบเปรยถึงการเขียนพู่กันอย่างทรงพลัง) การวาดภาพบุคคลก็ต้องวาดให้มีชีวิตชีวา จับจิงชี่เสินของบุคคลที่วาดออกมาให้ได้

นักวาดภาพเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือพู่กัน สายตาจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ใต้ต้นไม้ ด้านหลังสะพายกล่องกระบี่ มือสองข้างที่กำเป็นหมัดแน่นวางทิ้งไว้ข้างลำตัวสองด้าน สายตาเป็นประกายเจิดจ้า ผิวคล้ำเล็กน้อย สวมรองเท้าสานคู่หนึ่งที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก สวมเสื้อผ้าเรียบง่ายจนดูเหมือนยากจน แต่เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไม่ทำให้คนมองรู้สึกสกปรกมอซอแม้แต่น้อย หุ่นก้านเมื่อเทียบกับบุรุษชาวใต้ที่แข็งแกร่งกำยำก็แค่เตี้ยกว่าเล็กน้อย บางทีหากอยู่ในแถบทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป นี่น่าจะเป็นหุ่นของเด็กหนุ่มเท่านั้น

แต่จิตรกรที่มีฝีมือชำนาญในการวาดภาพกลับสังเกตเห็นด้วยความตกตะลึงว่าตนไม่อาจจับจิงชี่เสินของเด็กหนุ่มได้ ไม่ใช่ว่าเด็กหนุ่มไม่มี แต่นักวาดภาพไม่แน่ใจ มักรู้สึกว่าไม่ว่าตนจะจรดพู่กันวาดอย่างไรก็ยากที่จะวาดให้ถึงระดับ ‘คล้ายคลึงอย่างมาก’ ได้ นักวาดภาพไม่อยากปล่อยไก่ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไป (เปรียบเปรยว่าเรื่องราวที่แน่นอนแล้วกลับต้องมาผิดพลาดเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝัน) เงินเกล็ดหิมะยี่สิบห้าเหรียญ เขาสามารถดึงมาได้ห้าเหรียญ นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย

นักวาดภาพวัยกลางคนได้แต่แข็งใจเริ่มวาดภาพโดยแสร้งทำเป็นว่ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

ภาพเหมือนของเด็กหนุ่มภาพแรกบอกได้แค่ว่ารูปร่างภายนอกเหมือนมากเท่านั้น อย่าว่าแต่ผู้ฝึกลมปราณอย่างเขาเลย ต่อให้เป็นจิตรกรทั่วไปในวังของราชสำนักล่างภูเขาก็ล้วนวาดได้ ตัวจิตรกรเองไม่พอใจอย่างถึงที่สุด แต่ความลำบากใจนี้กลับไม่อาจพูดมันออกมาได้

หลังจากวาดเสร็จ นักวาดภาพพักผ่อนเล็กน้อย เด็กหนุ่มคนนั้นก็ปลดกาเหล้าตรงเอวลงมาดื่มเหล้า ยิ่งดื่มเหล้าเขาก็ยิ่งผ่อนคลาย เด็กหนุ่มหันหน้าไปมองยังทิศทางของแผ่นดินทิศเหนือ ใบหน้ามีรอยยิ้มสุขใจเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน คงนึกถึงเรื่องที่งดงามหรือนึกถึงใครบางคน พอดึงสายตากลับมาแล้ว เด็กหนุ่มก็ยกสองแขนขึ้นกอดอก ยืดอกตั้งตรง คลี่ยิ้มสดใส

จิตรกรชำเลืองตามาเห็นภาพนี้โดยบังเอิญ แรงบันดาลใจพลันบังเกิด รู้แล้วว่าต้องทำเช่นไร

ดังนั้นภาพวาดที่สองจึงดูมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน อารมณ์อันซับซ้อนของเด็กหนุ่มที่ต้องเดินทางไกลจากบ้านเกิดค่อยๆ ไหลพรั่งพรูออกมาจากปลายพู่กันของจิตรกร

ระหว่างที่นักวาดภาพวัยกลางคนหยุดพัก เด็กหนุ่มก็ดื่มเหล้าอีกครั้ง จากนั้นก็ไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป ไม่ได้ยกสองแขนขึ้นกอดอก และดูเหมือนว่าไม่อยากให้น้ำเต้าบรรจุเหล้าปรากฎอยู่ในภาพวาดจึงแอบซ่อนเอาไว้ด้านหลัง ทว่าลักษณะพลังอำนาจที่มองไม่เห็นของเด็กหนุ่มกลับยิ่งหนักแน่นเข้มข้น คล้ายผู้ใหญ่ที่ต่อให้จากบ้านเกิดมาไกลแค่ไหนก็ยังสามารถดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี

ภาพวาดภาพที่สาม ตัวจิตรกรเองค่อนข้างพอใจมาก

แม่นางกุ้ยฮวานำม้วนภาพวาดทั้งสามมาใส่แกนหยกขาวอย่างคล่องแคล่ว พอเฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ มาหา มองภาพทั้งสามภาพแล้วก็ดูเหมือนจะชอบใจมาก ไม่มีความเห็นต่างแม้แต่น้อย ตอนที่มอบภาพวาดให้เด็กหนุ่ม อันที่จริงนักวาดภาพวัยกลางคนรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย “หวังว่าคุณชายจะพอใจ”

เฉินผิงอันใช้สองมือรับม้วนภาพทั้งสามมา คลี่ยิ้มกว้างสดใส “ดีมากแล้ว! ขอบคุณนะ!”

นักวาดภาพวัยกลางคนรู้สึกโล่งอก ยิ้มตอบว่า “วันหน้าหากคุณชายยังอยากได้ภาพวาดสามารถนัดหมายข้าล่วงหน้าก่อนได้ ทิวทัศน์อีกเก้าแห่งของเกาะกุ้ยฮวาหลังจากนี้ ข้ารับรองว่าจะวาดให้ตรงเวลา ลดราคาให้คุณชายเก้าส่วนทุกภาพ ข้าชื่อซูอวี้ถิง คุณชายสามารถถามเอาจากแม่นางกุ้ยฮวาคนใดก็ได้บนเรือ ถึงเวลานั้นก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วบอกลาจากไป

อันที่จริงเฉินผิงอันเกรงใจที่จะบอกว่า เก้าทัศนียภาพบนทะเลหลังจากนี้คงมีโอกาสไม่มากแล้ว ดูจากท่าทางของเจิ้งต้าเฟิงที่หากไม่ขุดหลุมฝังเขาให้ตายก็ไม่มีทางยอมเลิกรา รวมไปถึงนิสัยชอบหาความทรมานใส่ตัวของเฉินผิงอันแล้ว หลังจากนี้เขาน่าจะไม่ได้ออกจากเรือนพักแม้แต่ครึ่งก้าว

กลับมาถึงห้องพักในเรือนเล็กกุยม่าย เฉินผิงอันจับพู่กันขึ้นเขียนจดหมาย ทุกขีดตัวอักษรยังคงเขียนอย่างตั้งใจ เน้นบรรยายอย่างเปี่ยมอรรถรส อย่าว่าแต่เปรียบเทียบกับชุยตงซานลูกศิษย์ของตัวเองเลย เกรงว่าแม้แต่หลี่เป่าผิงก็ยังเทียบไม่ติด

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะเขียนจดหมายไปให้ที่สำนักศึกษาซานหยาและหลงเฉวียนบ้านเกิดคนละฉบับ เพียงแต่กลัวว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อน ถึงอย่างไรนครมังกรเฒ่าก็เป็นของคนแซ่ฝู เขาจึงไม่กล้าวู่วาม พอรู้ว่าบนเกาะกุ้ยฮวาตระกูลฟ่านมีจุดพักม้าของตระกูลเซียนที่สามารถส่งข่าวผ่านกระบี่บินได้จึงคิดว่ารอให้ขึ้นเรือก่อนค่อยว่ากัน พอดีกับครั้งนี้บังเอิญมากที่ได้วาดภาพเหมือนสามภาพ จึงส่งภาพหนึ่งพร้อมจดหมายไปให้หลี่เป่าผิง ภาพหนึ่งส่งไปที่หลงเฉวียนบ้านเกิด ถึงเวลานั้นค่อยให้เด็กน้อยสองคนอย่างเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูช่วยไปที่สุสานของพ่อแม่เขา เอาภาพวาดไปเผา ให้พ่อแม่ได้รู้ว่าตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีมาก ดังนั้นตอนที่อยู่ใต้ต้นกุ้ยเฉินผิงอันถึงได้ซ่อนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เอาไว้ จะให้พ่อแม่รู้ไม่ได้ว่าเขากลายเป็นผีขี้เหล้าน้อยไปแล้ว

เขียนจดหมายสองฉบับเสร็จเรียบร้อย ม้วนภาพวาดสองภาพติดไปด้วย เฉินผิงอันก็ออกจากบ้านพักอีกครั้ง มุ่งหน้าไปที่จุดพักม้าของตระกูลเซียน คราวนี้เฉินผิงอันเจอกับแม่นางกุ้ยฮวาจินซู่ที่นอกประตู แม้เฉินผิงอันจะยืนกรานว่าจะไปส่งจดหมายที่จุดพักม้าด้วยตัวเอง แต่จินซู่ก็ยืนกรานว่าจะพาเขาไป แม้นางจะไม่ได้พักอยู่ในเรือนเล็กกุยม่าย แต่ก็ยังเป็นสาวใช้ของเรือน หากแม้แต่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เฉินผิงอันยังต้องทำด้วยตัวเอง นางจะต้องถูกน้ากุ้ยและตระกูลฟ่านลงโทษแน่นอน เฉินผิงอันจนใจ จึงได้แต่ปล่อยให้นางติดตามไปด้วย ยังดีที่พอไปถึงจุดพักม้าแล้ว จินซู่ยังคงเงียบงัน ไม่สอดมือเข้ามาก้าวก่ายเรื่องใด ต่อให้เฉินผิงอันจะยังเก็บป้ายไม้แขกกุ้ยเอาไว้ จ่ายเงินเกล็ดหิมะด้วยสถานะของแขกทั่วไป หญิงสาวก็ยังทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น

จินซู่มาส่งเฉินผิงอันถึงหน้าประตูเรือนเล็กก็หยุดเดินแล้วบอกลา กลับไปถึงเรือนพักของตัวเองเห็นว่าน้ากุ้ยอยู่ในลานบ้านของเรือเล็กที่เงียบสงบ ที่แท้พวกนางสองคนก็พักอยู่ด้วยกัน

ต่อให้เป็นผู้เฒ่าของเกาะกุ้ยฮวาก็ยังไม่รู้ว่า จินซู่คือลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของสตรีวัยกลางคนผู้นี้

จินซู่นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับสตรีแต่งงานแล้ว สตรีแต่งงานแล้วถามยิ้มๆ ว่า “ทำไม มีเรื่องในใจหรือ? เกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มคนนั้น?”

ต่อให้เผชิญหน้าอยู่กับอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ จินซู่ที่เกิดมาก็มีนิสัยนิ่งขรึมเย็นชาก็ยังไม่มีรอยยิ้มส่งไปให้อีกฝ่าย “นิสัยประหลาดเล็กน้อย”

น้ากุ้ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้ายังอยู่แต่ในพื้นที่เล็กๆ อย่างเกาะกุ้ยฮวา อยู่แต่บนเรือข้ามฟากที่แล่นไปแล่นกลับบนท้องทะเล อันที่จริงโอกาสที่ได้รู้จักผู้คนจึงมีน้อยมาก จะรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นคนแปลกก็เป็นเรื่องปกติ”

จินซู่ทำหน้ากระเง้ากระงอดเหมือนสาวน้อยอย่างที่ไม่ค่อยเคยทำ พูดอย่างแง่งอนว่า “ข้าก็เคยลงเรือเข้าไปยังเมืองชั้นในมาหลายครั้ง เคยเห็นคนหนุ่มสาวมากความสามารถมากมายของนครมังกรเฒ่า”

สตรีแต่งงานแล้วหัวเราะพรืด “จากนั้นก็หลงรักซุนเจียซู่ตั้งแต่แรกเห็น? ถึงขั้นปฏิเสธความหวังดีจากฝูหนันหัวอย่างไม่แยแส? เจ้ารู้หรือไม่ว่าตระกูลฟ่านคาดหวังให้เจ้าสนิทสนมกับฝูหนันหัวมากกว่า? เพียงแต่ว่าถึงแม้ตระกูลฟ่านจะเป็นคนทำการค้า แต่ขนบธรรมเนียมของครอบครัวดีงามมาโดยตลอด ต่อให้เจ้าจะไม่รู้ความ เกือบจะก่อเรื่องสร้างหายนะ พวกเขาก็ยังไม่คิดจะทำให้เจ้าลำบากใจ ลองเปลี่ยนมาเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลอื่นในนครมังกรเฒ่าดูสิ? ป่านนี้เจ้าคงทนทุกข์ทรมานไม่น้อยแล้ว”

สีหน้าของจินซู่ดุดัน “ตระกูลฟ่านปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี ในอนาคตข้าย่อมตอบแทนพระคุณของพวกเขา แต่หากกล้าบีบบังคับข้าในเรื่องนี้ ข้าจะ…”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท