เจิ้งต้าเฟิงแหงนหน้ามองทะเลเมฆที่อยู่เหนือนครมังกรเฒ่า แล้วจู่ๆ ก็พูดว่า “ทำไมถึงไม่สวมกระโปรงนะ”
เทพหยินที่มาจากศาลเล็กตนนั้นค่อยๆ ปรากฏตัวด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เจิ้งต้าเฟิงดึงสายตากลับมา ถามยิ้มๆ ว่า “เหล่าจ้าว ไม่ว่าข้าจะถามอะไร เจ้าก็จะไม่ตอบใช่หรือไม่?”
เทพหยินส่ายหน้า “เกี่ยวกับฟ่านจวิ้นเม่าผู้นี้ ข้าไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าเจ้า แต่ว่าตอนนั้นที่อยู่ในศาลเล็ก ได้ยินเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ตายไปแล้วท่านหนึ่งเคยพูดถึงข่าวลือเล็กๆ ข่าวหนึ่งที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องจริง”
เจิ้งต้าเฟิงพลันบังเกิดความสนใจ “ไหนลองเล่ามาสิ ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็มีเวลาว่างทั้งวันอยู่แล้ว…”
เทพหยินหัวเราะเสียงหยัน “เจ้าน่ะไม่มีอะไรทำ แต่ข้ายุ่งนักล่ะ งานสนเข็มร้อยด้าย (เปรียบเปรยถึงการเป็นตัวกลางทำหน้าที่ประสานงาน) ไม่ได้เบาไปกว่าการรบราฆ่าฟันเลย อ้อ ไม่ถูกสิ ทุกวันนี้เจ้ายุ่งมาก ยุ่งอยู่กับการพูดจาแทะโลมพวกหญิงชาวบ้านร้านตลาด วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ อันที่จริงเจ้าควรไปที่สำนักศึกษากวานหูได้แล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงพูดยิ้มๆ “เหล่าจ้าวเอ๋ย คำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนฟังพูดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ พวกเราสองคนได้มาร่วมมือกัน ถือเป็นบุญสัมพันธ์ครั้งใหญ่เชียวนะ”
เทพหยินเถียงกลับ “เป็นกรรมสัมพันธ์มากกว่า”
เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้า ยื่นนิ้วชี้ไปที่ทะเลเมฆ “นางกับข้าต่างหากที่เป็นกรรมสัมพันธ์ พวกเราสองคนนี่เรียกว่าบุญสัมพันธ์”
ก่อนหน้าที่ฟ่านจวิ้นเม่าจะเข้ามาในร้านยาฮุยเฉิน เทพหยินก็ถอยไปเองก่อนแล้ว นี่เป็นทั้งมารยาทอย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นกฎระเบียบอย่างหนึ่งด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินบทสนทนาของคนทั้งสอง แต่ก็มองออกว่าทั้งสองคงแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์นัก อีกทั้งการเลื่อนขั้นอย่างรุดหน้าของบุตรีสายตรงตระกูลฟ่านผู้นั้น นับตั้งแต่ขอบเขตถ้ำสถิตตอนที่ฟ่านเจิ้งสองคนได้พบกันครั้งแรก ไปจนถึงการเดินทางกลับจากต้าหลีมายังนครมังกรเฒ่าอีกครั้ง ตอนที่ยืนอยู่หน้าประตูร้านยาขนาดเล็ก นางก็เป็นขอบเขตโอสถทองแล้ว ความเร็วในการไต่ทะยานแบบนี้ไม่ใช่แค่คำว่าผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนจะอธิบายได้ นี่มันน่าตะลึงเกินไป เทพหยินแซ่จ้าวอดนึกถึงเด็กสาวบางคนที่เติบโตมาในถ้ำสวรรค์หลีจูไม่ได้ พรสวรรค์ในการฝึกตนบนภูเขาที่ทำให้คนริษยา บางทีอาจสู้สี่คำที่บางเบาล่องลอยว่า ‘เกิดมาก็เข้าใจ’ ไม่ได้
แม้แต่เทพเซียนก็ยังต้องตกตะลึงใช่ไหมล่ะ?
เทพหยินท่านนี้ถอนหายใจเบาๆ ในใจหนึ่งที
ยังดีที่คนประเภทนี้ ต่อให้นับรวมทั่วห้าทะเลสาบ สี่มหาสมุทรและเก้าทวีปใหญ่แล้วก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้
เจิ้งต้าเฟิงส่งเสียงเตือน “เฮ้ๆๆ เหล่าจ้าว ตื่นๆๆ มัวเหม่ออะไรอยู่ เล่าเรื่องเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่ต้องมาตายอนาถอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูคนนั้นต่อสิ เกี่ยวกับทะเลเมฆวัตถุกึ่งเซียนชิ้นนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังเป็นยังไงกันแน่?”
เทพหยินกล่าว “ไม่อยากเล่า ข้ายังมีธุระต้องทำ”
แล้วเขาก็หายตัวไปทั้งอย่างนั้น
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าอึ้งค้าง จากนั้นก็พูดเสียงขุ่น “ทวดเจ้าสิ!”
เสียแรงที่ข้าเห็นดีในตัวจ้าวเหยาที่แซ่จ้าวเหมือนเจ้า
ม่านไม้ไผ่ถูกเลิกขึ้น เผยให้เห็นดวงหน้าแฉล้มงดงามของเด็กสาวคนหนึ่ง นางก็คือเด็กสาวที่ชอบนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิงนั่นเอง นางยิ้มตาหยีพูดว่า “เถ้าแก่ ท่านจะนับข้าเป็นผู้อาวุโสของท่านหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงเก็บกระบอกสูบยาอันเก่า ลุกขึ้นยืนถูมือแล้ววิ่งไปหาเด็กสาว “เป็นผู้อาวุโสอะไรกัน แบบนั้นมันห่างเหินกันเกินไป”
เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ “เป็นญาติแล้วยังจะห่างเหินอีกหรือ ถ้างั้นต้องเป็นอะไรถึงจะไม่ห่างเหิน?”
เจิ้งต้าเฟิงทำท่าจะโอบไหล่เด็กสาว เด็กสาวค้อมตัวลงถอยหลังไปสองก้าว หัวเราะจนตาหยี “ทำไม จะสู่ขอข้างั้นหรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงหดมือกลับอย่างขุ่นเคือง “เป็นพี่ชายน้องสาว พี่ชายน้องสาว สามีภรรยาต้องเคารพกันเหมือนแขก ก็ยังห่างเหินอยู่ดี”
ชายฉกรรจ์ไปนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงิน มองหญิงสาวที่มีความงามหลากหลายซึ่งอยู่กันเต็มร้าน “ทัศนียภาพฤดูใบไม้ผลิที่เบ่งบานอยู่เต็มสวนต้องปกปิดเอาไว้ให้ดีจริงๆ”
จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็พูดยิ้มๆ ว่า “มอบทองพันชั่ง ไม่สู้สอนวิชาให้หนึ่งอย่าง สอนวิชาให้หนึ่งอย่าง ไม่สู้มอบชื่อที่ดีให้ ประโยคเก่าแก่ประโยคนี้ พี่สาวน้องสาวทั้งหลายเคยได้ยินหรือไม่?”
มีเพียงเด็กสาวที่ถูกเจิ้งต้าเฟิงขโมยหนังสือไปเท่านั้นที่อ่านหนังสือออก แต่นางไม่อยากสนใจเจิ้งต้าเฟิง และตอนหลังเถ้าแก่หน้าด้านก็ยังมายืมหนังสือเล่มนั้นไปจากนางอีก แถมยืมไปแล้วยังไม่คิดจะเอามาคืน เป็นถึงเถ้าแก่ร้านยา มาหลอกเอาเงินแค่ไม่กี่สิบอีแปะจากลูกจ้างร้าน ไม่รู้จักอายเสียบ้าง ล่าสุดชายฉกรรจ์บอกว่าทำหายไปแล้ว ทำเอานางโมโหหยิบไม้กวาดขึ้นทุบตีอีกฝ่าย ชายฉกรรจ์จึงได้แต่บอกว่าเดี๋ยวจะคิดเงินค่าหนังสือรวมกับเงินเดือนของนางในเดือนถัดไป คำนวณตามเงินหนึ่งร้อยอีแปะ เด็กสาวถึงได้ยอมเลิกรา ถึงอย่างไรหนังสือเล่มนั้นนางก็อ่านจบแล้ว อยู่ในบ้านก็ถูกวางไว้เฉยๆ แล้วถ้าพ่อแม่ที่ลำเอียงรักแต่น้องชายมาเห็นเข้า ไม่แน่ว่าอาจด่าที่นางเอาเงินไปล้างผลาญก็เป็นได้
ชายฉกรรจ์เห็นว่าไม่มีคนส่งเสียงตอบรับจึงได้แต่ปล่อยท่าไม้ตาย “พวกเจ้าอยากรู้ไหมว่าเจ้าเด็กตระกูลฟ่านที่มาร้านพวกเราบ่อยๆ ชื่ออะไร?”
ผู้หญิงทุกคนพากันหันมามองชายฉกรรจ์
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ชื่อว่าฟ่านเอ้อร์ เอ้อร์จากอีเอ้อร์ซาน หนึ่งสองสามไงล่ะ ชื่อนี้เหมาะกับเจ้าเด็กนั่นมากเลยใช่ไหม?”
ไม่มีใครคิดจะเชื่อ ได้แต่คิดว่าเถ้าแก่จงใจปั่นหัวพวกนาง
เจิ้งต้าเฟิงไม่พูดถึงฟ่านเอ้อร์อีก พึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าเด็กตระกูลฟ่านเรียนวรยุทธ์ วันหน้ายังต้องใช้สถานะของบุตรอนุภรรยาสืบทอดกิจการของวงศ์ตระกูล ส่วนพี่สาวของเขา ชื่อของผู้หญิงคนนี้ตั้งได้ไม่เลว หยั่งรากลึกล้ำ ร่มใบรกครึ้ม ตระกูลฟ่าน…ค่อนข้างจะพิถีพิถันไม่น้อย”
เจิ้งต้าเฟิงแนบซีกหน้าข้างหนึ่งไว้บนผิวโต๊ะ มองไม่ยังตรอกเล็กนอกร้านยา อีกไม่นานลมมรสุมก็คงจะพัดมาสินะ
บุตรสาวสายตรงสกุลเจียงอวิ๋นหลินกำลังจะแต่งเข้าตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า
สินสอดมากมายเกินกว่าใครจะคาดการณ์ได้ถึง
แค่ไม่รู้ว่าตระกูลฝูจะใช้ข้ออ้างอะไรมาเปิดฉากลมคาวฝนเลือดในครั้งนี้ สุดท้ายจะฮุบกลืนนครมังกรเฒ่าเพียงลำพัง หรือจะเป็นสองตระกูลที่ได้ครอบครอง
เจิ้งต้าเฟิงคลี่ยิ้ม เรื่องสกปรกพวกนี้เกี่ยวอะไรกับข้าผู้อาวุโสด้วย
เขาชำเลืองมองสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่ง ในใจคิดว่าหรือตนควรจะควักเงินเล็กๆ น้อยๆ ซื้อชุดกระโปรงที่ทั้งดูแพงและแนบเนื้อมามอบให้พวกนางสักหน่อย? ช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนขนาดนี้ แค่เหงื่อออกเล็กน้อยก็เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งเด่นชัดแล้ว คงจะงดงามเพลินตาไม่หยอก เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะคิกๆ พลางยกมือปาดน้ำลาย
นี่ต่างหากถึงจะเป็นชีวิตของเทพเซียน
แม่ทัพฝ่ายบู๊ที่ถูกหนึ่งกระบี่ปักตรึงตายอยู่บนเสาประตูสวรรค์อะไร เสื้อเกราะน้ำแข็งหิมะเปล่งประกายแวววาวอะไร ฟ่านจวิ้นเม่าที่มองเห็นเจตนารมสวรรค์อะไร…ถึงเวลารอให้เกิดเรื่องค่อยว่ากันก็ยังไม่สาย
……
ภายใต้สถานการณ์ที่อีกฝ่ายไม่ได้เตรียมการป้องกันมาก่อน ปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งที่ซุกซ่อนสัจธรรมแห่งวิถีกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองโจมตีจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่คนหนึ่งด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบ
ต่อให้หม่าจื้อจะรู้ว่ารากฐานขอบเขตสามของเฉินผิงอันปูมาดีมาก แต่ก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
อย่างน้อยก็ควรจะต้องมีเซกันบ้างกระมัง?
เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าการ ‘ลอบโจมตี’ ของเทพเซียนผู้เฒ่าที่อายุมากเกือบสามร้อยปีครั้งนี้ เป็นเพราะอีกฝ่ายออมมือให้ จึงพูดยิ้มๆ ว่า “อาจารย์หม่า ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณของขอบเขตสามเคยเผชิญกับความยากลำบากมาไม่น้อย ถือว่าพอจะทนรับกับความเจ็บปวดได้ ขอแค่ปราณกระบี่ไม่ทำร้ายไปถึงรากฐานวรยุทธ์ข้าก็พอ อาจารย์หม่าลงมือได้เต็มที่เลย”
“ระวังด้วยล่ะ” หม่าจื้อพยักหน้ารับ เขาใคร่ครวญอยู่เล็กน้อยก็ยื่นมือมาข้างหนึ่ง สองนิ้วคีบดึงปราณกระบี่สามกลุ่มออกมาจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างเหลียงอิน จากนั้นก็ปั้นเป็นก้อนกลมเล็กๆ ขนาดเท่าไข่มุกสามลูก ประกายแสงเยียบเย็นสีเขียวเข้มกระเพื่อมบนไข่มุกเป็นระลอก ราวกับดึงมาจากใบไม้ที่ให้ร่มเงาจริงๆ ผู้ฝึกกระบี่เฒ่างอนิ้วดีดเบาๆ สามที ตอนที่ไข่มุกปราณกระบี่เหลียงอินซึ่งเกิดจากการปราณกระบี่สามกลุ่มพุ่งเข้าหาร่างของเฉินผิงอันก็เกิดเสียงเคร้งเบาๆ สามครั้ง คือเสียงที่แยกกันไปชนไถกวาง ซ่วงหลิงและโยวจิง
คราวนี้เฉินผิงอันเตรียมตัวรอมาไว้ก่อนแล้ว เขาตั้งท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู หน้าประตูหัวใจเหมือนมีเสียงแขกมาเคาะประตูบ้านสามครั้ง แล้วใช้อาวุธแหลมคมแทงทะลุประตูบ้านของหัวใจเข้ามา เย็นเยียบเสียดลึก ปักตรึงเข้าไปถึงวิญญาณ ทำให้คนตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้ เฉินผิงอันยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาย่อมมีวิธีรับมืออยู่แล้ว ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่เป็นเหมือนมังกรเพลิงเส้นนั้นพุ่งพรวดมาจากตำแหน่งอื่น พริบตาเดียวก็ลูบแอ่งเว้าที่เกิดจากการรวมตัวของปณิธานกระบี่สามขุมเย็นเยียบให้ราบเรียบ
เฉินผิงอันกล่าว “อาจารย์หม่า ปล่อยมาอีกได้เลย”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าสีหน้าเป็นปกติ ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่ในใจกลับพึมพำไม่หยุด เขาเอาสองนิ้วประกบกัน ปาดลงไปบนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเบาๆ หนึ่งที ครั้งนี้ไม่ได้ใช้วิชาของเทพเซียนมารวมปราณกระบี่ให้เป็นไข่มุกอีกแล้ว แต่ปาดเอาปราณกระบี่ทั้งเส้นออกมาจากเหลียงอินโดยตรง มันไม่ได้รีบร้อนพุ่งเข้าหาเฉินผิงอัน แต่กระเพื่อมไหวเบาๆ แผ่ไอเย็นออกมา ทำให้เรือนเล็กกุยม่ายที่แต่เดิมเย็นสบายเปลี่ยนจากฤดูร้อนกลายไปเป็นอากาศหนาวของต้นฤดูใบไม้ผลิในฉับพลัน
ปราณกระบี่เส้นนั้นตั้งค่าพร้อมโจมตีอยู่ระหว่างคนทั้งสอง
หม่าจื้อเอ่ยเนิบช้าว่า “ไถกวางคือสิ่งที่บ่มเพาะก่อเกิดมาจากวิญญาณต้นกำเนิดของคน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ในโลกมักจะใช้สิ่งนี้มาเป็นเตากระบี่ก่อนกำเนิด พอกระบี่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้วก็จะใช้มันเป็นฝักกระบี่ หรือก็คือสถานที่หล่อเลี้ยงกระบี่ สามหุนล่องลอยไม่หยุดนิ่งอยู่ในร่างของคน งูมีเส้นทางของงู หนูมีเส้นทางของหนู สามหุนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น พวกมันต่างก็มีเส้นทางวิญญาณคร่าวๆ กันคนละเส้น ก่อนหน้านี้ข้าใช้ไข่มุกปราณกระบี่เคาะประตูหัวใจของเจ้าเป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อยสามจานเล็กเท่านั้น ตอนนี้ต่างหากถึงจะเป็นอาหารจานหลัก จะเพิ่มแรงและกำลังอีกเล็กน้อย น้ำหนักของปณิธานกระบี่ที่ซุกซ่อนอยู่ข้างในจะหนักกว่าเดิมไม่น้อย เฉินผิงอัน เตรียมรับให้ดีล่ะ!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับตามจิตใต้สำนึก
และในขณะที่เฉินผิงอันทำท่าทางเล็กๆ น้อยๆ นี้ ผู้เฒ่าก็กระตุกมุมปาก ปราณกระบี่กลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ซึ่งพุ่งเข้าไปในร่างกายและจิตวิญญาณของเฉินผิงอันอย่างราบรื่นดุจผ่าลำไม้ไผ่ เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ในอนาคตเมื่อต้องรับมือกับผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ศึกตัดสินเป็นตาย อย่าได้วอกแวกแบบนี้…”
เดิมทีผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็คือกลุ่มคนที่เลือกเดินทางที่สุดโต่งที่สุดในใต้หล้าอยู่แล้ว สามการหล่อหลอมก่อนหลังแบ่งเป็นทั้งหมดเก้าขอบเขต หลอมร่างกาย หลอมลมปราณ หลอมจิตวิญญาณ จากนอกสู่ใน ขยับไปทีละชั้น อีกทั้งยังสามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ร่างกายและจิตวิญญาณแข็งแกร่ง แน่นอนว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณแล้วย่อมโดดเด่นกว่ามาก สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ในสายตาของผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา พวกเขาไม่ได้แสวงหามหามรรคา แต่แสวงหาตัวตนที่แข็งแกร่ง และในความเป็นจริงแล้วอายุขัยของผู้ฝึกยุทธ์นั้นสั้นมาก สามร้อยปีก็ถือว่าบรรลุสู่จุดสูงสุดแล้ว ซึ่งข้อนี้เทียบกับผู้ฝึกลมปราณไม่ติดเลย
เมื่อเทียบกับการฝึกควบคู่ทั้งนอกและในของผู้ฝึกลมปราณแล้ว เนื้อหนังมังสาของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวมี ‘น้ำหนักมากเกินไป’ กลับจะยิ่งกลายมาเป็นภาระอย่างหนึ่ง และยิ่งวิถีวรยุทธ์ต่ำเกินไป อีกทั้งผู้ฝึกยุทธ์ยังถือทิฐิดึงดันมากเกิน สำหรับการปูรากฐานร่างกายและจิตวิญญาณยังพึ่งลำแข้งของตัวเอง ใช้พละกำลังของตัวเองคนเดียว ใช้แค่ปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เฮือกนั้น
หากพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือ ไม่ขอยืมใช้พลังจากฟ้าดิน
ไม่เหมือนผู้ฝึกลมปราณที่สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะขึ้นมา เหมือนถ้ำสวรรค์สองแห่งที่เชื่อมโยงเข้ากับนอกและใน ใช้ปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นของถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ในฟ้าดินมาราดรดหล่อหลอมจิตวิญญาณของถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กในร่างคน เมื่อฟ้าดินร่วมใจกัน แน่นอนว่าย่อมต้องมีอายุขัยยืนยาว
เวลานี้ในจิตวิญญาณของเฉินผิงอันบังเกิดความเจ็บปวดเป็นระลอกเหมือนตอนที่ลงมือชักดึงเส้นเอ็นด้วยตัวเอง
น่าเสียดายก็แต่เฉินผิงอันยังคงตั้งท่าเจี้ยนหลู ยืนนิ่งไม่ขยับ
หม่าจื้อเลิกคิ้วสูง
แม้ว่าเขาจะออมมือให้มากก็จริง แต่สายตาของขอบเขตโอสถทองวางอยู่ตรงนั้น ข้อบกพร่องขั้นสูงสุดของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่ เมื่อมาอยู่ในสายตาของหม่าจื้อจึงใหญ่เหมือนกระด้ง มีน้ำรั่วซึมไปทั่วทิศ ไม่ว่าตรงไหนก็มีรูโหว่เต็มไปหมด ดังนั้นการพยักหน้ารับของเฉินผิงอันจึงเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง ทว่าขนาดหม่าจื้อประเมินรากฐานร่างกายและจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ไว้สูงมากแล้วกลับยังไม่มากพอ และอยู่ไกลเกินกว่าจะพอ ตอนอยู่บนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเฉินผิงอันถูกทุบตี เรือนกายหนังเนื้อต้อง ‘เสพสุข’ กับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของผู้เฒ่าแซ่ชุยที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ สามหุนเจ็ดพั่วก็ยิ่งต้องแบกรับกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่และกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ ซึ่งล้วนเป็นแก่นของวิถีวรยุทธ์ที่ผู้เฒ่าเรียนรู้มาทั้งชีวิต เป็นกระบวนท่าที่ต่อให้เขาเดินไปสู่จุดสูงสุดของขอบเขตสิบแล้วก็ยังภาคภูมิใจในตัวพวกมัน
ตอนนั้นเพื่อให้สามารถแบกรับกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าได้มากกว่าเดิม การหายใจทุกครั้งของเฉินผิงอันจึงผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับการโคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดอย่างเป็นธรรมชาติมานานแล้ว ภายหลังเขายังต้องดึงเส้นเอ็นถลกหนังของตัวเอง ทนรับความเจ็บปวดดุจหัวใจถูกคว้านนับครั้งไม่ถ้วน แม้ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะนับได้ว่าเป็นร่างทองไร้ช่องโหว่ของผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด แต่ปราณกระบี่ที่เบาบางเส้นนั้นของหม่าจื้อก็ยังไม่สามารถจับข้อบกพร่องของเฉินผิงอันได้อย่างแท้จริง เว้นเสียจากว่าจะใช้กำลังของคนคนเดียวที่มากพอจะล้มคนสิบคน ถึงจะฝืนทลายไปได้
ขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกแฝงเร้นไว้ด้วยน้ำหนักที่ล้ำค่าดุจน้ำหนักทองคำ
เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ถ่ายทอดวิชาหมัดคร้านจะอธิบายก็เท่านั้น
หม่าจื้อเกิดใจอยากเอาชนะ ดึงปราณกระบี่ออกมาจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกสามกลุ่ม จำแลงให้กลายเป็นภาพมายาที่ผสานรวมเข้าไปในร่าง คราวนี้กระบี่สามเล่มพุ่งโจมตีพร้อมกัน เขาไม่เชื่อหรอกว่าเส้นทางสามหุนของเฉินผิงอันจะแข็งแกร่งจนมิอาจโจมตีจริงๆ
เฉินผิงอันเพียงแค่ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้าน เขาขยับปากจะพูดแต่ก็หยุดไป คราวนี้เขาไม่กล้าเป็นฝ่ายขอให้เซียนกระบี่เฒ่าเพิ่มพละกำลังอีกแล้ว เพราะนั่นอาจทำให้ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ไม่เหมาะสมเกินไป แต่ถึงแม้ว่าปราณกระบี่ทั้งสามจะคมกริบและหนักอึ้ง เหมือนคราดที่ไถพลิกดินในผืนนา ใช้ปราณกระบี่แหวกไถให้เกิดร่องลึกสามเส้นบนทางเดินม้าสามสายที่จับต้องไม่ได้ในร่างกาย แผ่ไอเยียบเย็นเหมือนมีธารน้ำสามเส้นของฤดูหนาวไหลรินผ่านหัวใจ แต่ความเจ็บปวดระดับนี้ สำหรับเฉินผิงอันที่เคยผ่านประสบการณ์บนเรือนไม้ไผ่มาก่อนถือว่าเป็นแค่ ‘อาหารจานเล็กเรียกน้ำย่อย’ เท่านั้น
หม่าจื้อเองก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จำต้องยกระดับความสูงของขอบเขตสี่เฉินผิงอันอีกครั้ง เขาชำเลืองตามองเหลียงอินกระบี่บินที่อยู่ตรงหน้าซึ่งสั่นสะท้านเบาๆ แวบหนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “เฉินผิงอัน อันดับต่อไปข้าจะให้เหลียงอินกลายเป็นภาพมายาพยายามเบียดแทรกเข้าไปในจิตวิญญาณของเจ้า เจ้าต้องเตรียมรับความเจ็บปวดราวหัวใจถูกเฉือนนี้ไว้ให้ดี หากยืนหยัดไม่ไหวต้องเปิดปากบอกข้า เพราะถึงแม้เหลียงอินจะเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของข้า มีจิตที่เชื่อมโยงเข้ากับข้า แต่ถึงอย่างไรการทำเช่นนี้ก็เหมือนมันบุกรุกเข้าไปในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลบ้านคนอื่น ถูกจิตวิญญาณของเจ้าบดบัง จึงมีความเป็นไปได้มากว่าจะส่งผลกระทบต่อการเชื่อมโยงระหว่างข้ากับเหลียงอิน หากสังหารศัตรูทั่วไป จะไม่ต้องสนใจก็ได้ ปล่อยให้มันพลิกฟ้าพลิกดินไปตามใจชอบก็พอ แต่ระหว่างเจ้ากับข้าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าฝืนอวดเก่งเด็ดขาด”
เฉินผิงอันเลิกทำท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ตั้งท่าหมัดโบราณ มือหนึ่งกำเป็นหมัดแนบไว้ตรงหัวใจ อีกหมัดหนึ่งชูสูงเหนือศีรษะ
หากยกเท้าขึ้นอีกจะเหมือนรูปปั้นราชาสวรรค์องค์หนึ่งในวัดของศาสนาพุทธ เพียงแต่ว่าเหมือนแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ความหมายไม่ค่อยเหมือนสักเท่าไหร่ หมัดนี้ก็คือกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ที่ต่อยให้เจียวหลงสีทองของทะเลเมฆที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนถอยกลับขึ้นไปบนฟ้าสองครั้ง
เมื่อเฉินผิงอันเปลี่ยนจากท่าเจี้ยนหลูของหมัดเขย่าขุนเขามาเป็นท่านี้ พลังอำนาจทั่วร่างของเขาก็เปลี่ยนไป
ในสายตาของหม่าจื้อ เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้สดใสที่พูดคุยยิ้มแย้มกับเด็กหนุ่มฟ่านเอ้อร์อีกต่อไป ไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้สุขุมที่ตอนฝึกเดินนิ่งยืนนิ่งล้วนเก็บพลังทั้งหมดไว้ภายใน
แต่เหมือนปรมาจารย์แห่งวิถีวรยุทธ์ที่ยืนอยู่บนสุดเหนือกลุ่มเขา
และเขายังไม่ได้ปล่อยหมัดออกมา
ยังเป็นแค่การตั้งท่าหมัดเท่านั้น
—–