กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 265.2 บนมหามรรคา

บทที่ 265.2 บนมหามรรคา

ร่างของเจียวเฒ่าชุดทองหายไปจากตำแหน่งเดิม ทว่าสายฟ้าที่ฟาดลงมาเส้นนั้นไม่ได้หายไปเพราะสาเหตุนี้ มันลอดทะลุน้ำทะเลเข้าไปยังจุดลึกของร่องน้ำเจียวหลงแล้วสาดแสงกระจายออกไป สะท้อนให้ก้นทะเลแห่งนี้เป็นสีขาวโพลนพร่าตา เผ่าพันธุ์เจียวหลงจำนวนมากที่หลบซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล ไม่ได้เข้าร่วมการโอบล้อมครั้งนี้ถูกสายฟ้าเส้นนี้ทำให้ตกใจ พวกมันรีบหลับตาลงตามจิตใต้สำนึก ไม่กล้ามองสบตรงๆ

จากนั้นสายฟ้าก็พุ่งออกไปพ้นผิวน้ำ บินไปยังตำแหน่งหนึ่ง เจียวเฒ่าชุดทองเผยตัวอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับสายฟ้าที่ไร้เหตุผลนี้ ดูเหมือนในที่สุดเจียวเฒ่าก็เริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว คราวนี้ไม่มีท่าทางผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้า แล้วก็ไม่ได้หลบเลี่ยงต่ออีกครั้ง แต่ยืนอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วน้อยๆ ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันทั้งสองมือ แยกกันคีบไปที่คิ้วยาวสีทองสองข้างแล้วลูบผ่านอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่สีทองสองเส้นกลิ้งไหลออกมาจากปลายนิ้ว ยาวประมาณสามฉื่อ มีระดับความยาวเช่นเดียวกับกระบี่ทั่วไปบนโลก หนึ่งกระบี่พุ่งเข้าหาสายฟ้าเส้นนั้น อีกหนึ่งกระบี่แทงตรงไปยังน้ำวนเหนือศีรษะที่เชื่อมโยงเข้ากับบ่อสายฟ้าบางแห่ง

สองกระบี่จากคิ้วยาวของเจียวเฒ่าสีทองล้วนทำสำเร็จ สายฟ้าและน้ำวนต่างก็มลายหายสิ้นไปอีกครั้ง ผิวทะเลและบนอากาศสูงต่างก็มีประกายแสงหลากสีสันระเบิดกำจาย

ไม่เสียแรงที่ผู้เฒ่าพายเรือเป็นโอสถทองส่วนน้อยที่เคยเห็นทัศนียภาพของเซียนพสุธามาก่อน เขามีวิธีการมากมายให้ใช้ไม่หมดสิ้น เขาทะยานร่างขึ้นจากพื้นดิน ยื่นแขนออกไปข้างหนึ่ง กำฝ่ามือเป็นหมัด ในหมัดมีทวนอสรพิษยาวแปดจั้งสีเงินจ้าสะดุดตา เสือกแทงเข้าใส่เจียวเฒ่าสีทอง “ตายซะเถอะเจ้าสัตว์เดรัจฉาน!”

เจียวเฒ่าชุดทองกระตุกมุมปาก หายตัวไปอีกครั้ง

การแทงทวนของคนพายเรือเฒ่าไม่ได้ลดระดับความดุดันลง กลับยิ่งเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น ตรงจุดที่ปลายทวนแทงไปถึงกับเกิดริ้วกระเพื่อมเป็นสีดำระลอกหนึ่ง ปลายทวนสีขาวหิมะไม่ได้หยุดชะงัก ทวนยาวบุกตะลุยไปดุจผ่าลำไม้ไผ่ ดุจตะเกียบที่ร่วงลงน้ำ ทำให้การมองเห็นเกิดการหักเหเอนเอียง

หลังจากนั้นภาพเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น รอบกายของคนพายเรือเฒ่ามีร่างของเจียวเฒ่าชุดทองปรากฏขึ้นหลายสิบคน อีกทั้งเบื้องหน้าของพวกเขายังมีปลายทวนที่บ้างก็ยาวหนึ่งจั้ง บ้างก็สั้นไม่ถึงหนึ่งฉื่อแทงเข้าหาหว่างคิ้วของเจียวเฒ่าชุดทอง

เจียวเฒ่าชุดทองทุกคนล้วนส่งเสียงพูดกลั้วหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน “อุตส่าห์ทุ่มสุดตัวใช้การโจมตีของเซียนพสุธา ลำบากขอบเขตโอสถทองอย่างเจ้าแล้วจริงๆ”

พูดจบก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากำปลายทวนเอาไว้

แสงไฟสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ ส่องสว่างให้ฟ้าดินเป็นสีหิมะขาวพร่าตา

มีเพียงชุดทองคนเดียวที่ไม่ได้เปิดปากพูด เขายืนอยู่ด้านหลังเรือเล็กของเฉินผิงอัน สามารถมองเห็นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นกุ้ยได้อย่างชัดเจนพอดี เขามองรากฐานของกระดาษยันต์สีเขียวไม่ออก รู้แค่ว่ามันเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม ส่วนพู่กันด้ามนั้นนับว่าเป็นของดี ต่อให้เป็นเจียวเฒ่าก็ยังรู้สึกอยากได้มาครอบครอง

เห็นว่ากระดาษยันต์ตัดโซ่ที่ว่างเปล่าเขียนตัวอักษรเสร็จไปแล้วแค่เจ็ดแปดส่วนในสิบส่วนเท่านั้น แม้ว่าข้อมือ นิ้วมือและปลายพู่กันของเด็กหนุ่มจะไม่สั่น ทว่าจิตวิญญาณกลับสั่นสะเทือนไม่หยุด แสดงให้เห็นว่าการเขียนยันต์นี้เป็นเรื่องที่ฝืนความสามารถของเขา เจียวเฒ่ายิ่งสงสัยใคร่รู้ แม้ว่าระดับขั้นของยันต์ตัดโซ่จะไม่ต่ำ แต่ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเขียนยันต์ลงบนไม้พายสำเร็จแล้ว หมายความตัวของยันต์ไม่มีปัญหา แต่เป็นกระดาษยันต์สีเขียวนั่นต่างหากที่ทำให้เด็กหนุ่มจรดพู่กันได้อย่างยากลำบาก เหมือนให้เด็กน้อยเดินขึ้นภูเขา จะพูดว่าลำบากเลือดตาแทบกระเด็นก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่นิดเดียว

ยันต์ตัดโซ่ชั้นเยี่ยมหนึ่งแผ่นที่เขียนคำสั่งของเทพพิรุณ

หากเป็นก่อนหน้าที่ตนจะกลายเป็นอริยะครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่ง เจียวเฒ่าคงรู้สึกกริ่งเกรงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่พิฆาตกันมาตั้งแต่เกิด ในช่วงเวลาที่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีระบบการสืบทอดที่ถูกต้อง เจียวหลงต่างก็ให้ความเคารพนับถือพวกเทพพิรุณหรือราชันแห่งสายน้ำทั้งหลายดั่งผู้บังคับบัญชา

เพียงแต่ว่าตอนนี้ต่อให้ยันต์แผ่นนี้จะ ‘แข็งแกร่ง’ มากแค่ไหน เจียวเฒ่าชุดทองก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา เขาถึงขั้นปรารถนาอยากจะได้เห็นยันต์ตัดโซ่อีกครั้งด้วยซ้ำ

เพราะถึงอย่างไรในช่วงเวลาอัปยศที่ยาวนานเหมือนไร้ที่สิ้นสุดบางช่วง ตอนนั้นเจียวเฒ่ายังเป็นเด็ก แต่สิ่งที่ได้เห็นและได้เจอมากลับตราตรึงลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

เจียวเฒ่าต้องการให้พวกผู้เฒ่าบางคนในร่องน้ำเจียวหลงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งไม่ยอมติดตามตนได้ตระหนักถึงความหมายลึกล้ำของยันต์แผ่นนี้กับตาตัวเองอีกสักครั้ง ไม่แน่ว่าอาจทำให้พวกตาเฒ่าที่ไร้ความกระตือรือร้นพวกนั้นเกิดความกล้าหาญฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นได้

ขอแค่ทั้งร่องน้ำเจียวหลงร่วมมือเป็นหนึ่งดุจเชือกที่หมุนเกลียวเป็นเส้นเดียวกัน ตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักแห่งสองแห่งก็ไม่สามารถทัดเทียมได้แล้ว

เจียวเฒ่าชุดทองหลายสิบคนบีบให้ปลายทวนยาวระเบิดแตกในเวลาเดียวกัน

นี่คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตของคนพายเรือเฒ่า เขาพลันเซลงไปนั่งบนเรือเล็ก กระอักเลือดไม่หยุด

นอกจากเจียวเฒ่าตัวที่จ้องมองเฉินผิงอันวาดยันต์โดยไม่พูดไม่จาแล้ว เจียวเฒ่าตัวอื่นๆ ที่ถูกกระตุ้นสันดานดิบอันโหดเหี้ยมล้วนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้งแทบจะเวลาเดียวกัน ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาไม่ได้มีความเคลื่อนไหวรุนแรงเท่าใดนัก แต่ค่ายกลใบกุ้ยที่ปกป้องเกาะกุ้ยฮวากลับเหมือนประตูเมืองบอบบางที่ถูกรถศึกโจมตีเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนจู่โจมจึงสั่นสะเทือนไม่หยุด สถานการณ์ล่อแหลมเต็มที หากค่ายกลใหญ่เกิดความเสียหาย เจียวหลงพวกนั้นจะต้องบุกเข้าไปในเกาะทันที จะให้ต่อสู้ประชิดตัวกับสัตว์เดรัจฉานที่มีเรือนกายแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดพวกนี้น่ะหรือ?

อย่าว่าแต่ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่ไม่ยินดีเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการสังหารมากที่สุด หรือผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาจนกร้าวแกร่งมากที่สุดก็ยังไม่เต็มใจเช่นกัน

ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางหลายคนที่หม่าจื้อโน้มน้าวจนปากคอแห้งผากก็ยังไม่ยอมเอาสมบัติก้นกรุออกมาพากันหน้าเปลี่ยนสี ไม่กล้าเก็บอำพรางสมบัติส่วนตัวอีกต่อไป พากันเรียกสมบัติอาคมอาวุธวิเศษออกมา ทันใดนั้นบนเกาะกุ้ยฮวาก็เต็มไปด้วยประกายแสงพร่างพราว แต่ละคนบินขึ้นไปบนอากาศสูง ช่วยกุ้ยฮูหยินและต้นกุ้ยบรรพบุรุษต้นนั้นต้านทานเจียวเฒ่าร่างทองที่ทำท่าจะเหยียบย่ำค่ายกล

ทว่าหลังจากที่ผู้ฝึกลมปราณบนเกาะลงมืออย่างเต็มกำลัง สิ่งมีชีวิตใหญ่โตในร่องน้ำเจียวหลงที่ก่อนหน้านี้แค่มองอยู่ไกลๆ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือก็ร่ายใช้เวทอภินิหารทางน้ำในที่สุด มองไปแล้วปานประหนึ่งธนูฝนที่โจมตีเข้าหาเกาะกุ้ยฮวา

ด้วยเหตุนี้ต่อให้จะมีผู้ฝึกลมปราณให้ความช่วยเหลือ แต่เกาะกุ้ยฮวาก็ยังคงตกเป็นรองอยู่ดี

ในช่วงเวลาอันตรายคับขันนี้กลับมีผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งบินมาจากผิวน้ำทะเลนอกร่องน้ำเจียวหลง เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังลังเลว่าควรจะพาตัวมาเสี่ยงอันตรายหรือไม่

เขาก็คือข้ารับใช้ขอบเขตก่อกำเนิดที่อยู่ข้างกายคุณชายตระกูลเจียงสำนักกุยหยกผู้นั้น

สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะรอดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ก่อน

กุ้ยฮูหยินจำเป็นต้องกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวา นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าค่ายกลใหญ่จะเปราะบางถึงเพียงนี้ ไม่มีเวลามาสนใจยันต์แผ่นนั้นของเฉินผิงอันอีกแล้ว หากร่างกับจิตวิญญาณของนางอยู่ห่างกันตลอดเวลา ค่ายกลใหญ่เกาะกุ้ยฮวาทนรับการโจมตีครั้งต่อไปไม่ไหว ถึงเวลานั้นต่อให้วาดยันต์ได้สำเร็จ เกาะกุ้ยฮวาถูกตีแตกแล้ว เหล่าเผ่าพันธ์เจียวหลงที่กำเริบเสิบสานกรูกันบุกเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว นั่นจะกลายเป็นโศกนาฎกรรมที่ฝ่ายพวกนางพ่ายแพ้ยับเยินประดุจภูเขาพังถล่ม

กุ้ยฮูหยินบินทะยานออกไปแล้วหันหน้ามาเอ่ยกับคนพายเรือเฒ่าด้วยความจนใจว่า “ดูแลเฉินผิงอันให้ดี!”

ผู้เฒ่าพายเรือพยักหน้ารับพลางยิ้มเจื่อน ฝืนดิ้นรนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

คงได้แต่ทำอย่างสุดความสามารถและรอฟังลิขิตจากสวรรค์แล้ว

เจียวเฒ่าชุดสีทองทั้งหมดที่รายล้อมสี่ด้านแปดทิศพากันเดินเข้าหาเรือเล็กสองลำช้าๆ

มีเพียงเจียวเฒ่าสีทองตนนั้นที่ยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา สายตาจ้องนิ่งไปที่เฉินผิงอัน ใช้เสียงทางใจบอกเขาว่า “ไอ้หนู หากเจ้ายังวาดยันต์แผ่นนี้ไม่เสร็จ ไม่รีบพลิกสถานการณ์ พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย กุ้ยฮูหยินต้องตาย คนพายเรือเฒ่าต้องตาย เจ้าเองก็ต้องตาย ต้องตายกันทุกคนเลยนะ”

ควรทำก็ทำ คำสั่งเทพพิรุณ ยันต์ตัดโซ่หนึ่งแผ่นที่มีตัวอักษรทั้งหมดแปดตัว ถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันเขียนได้แค่หกตัว อีกทั้งยังไม่ถูกต้องตามหลักกฎเกณฑ์ หากไม่ผิดไปจากที่คาด ยันต์แผ่นนี้ถือว่าเสียเปล่าไปแล้ว

อันที่จริงเมื่อเฉินผิงอันเขียนสี่คำแรกสุดเสร็จแล้ว แม้ว่าจะใช้เวลานานมาก เทียบกับการเขียนยันต์ครั้งก่อนๆ หน้านี้ถือว่าใช้เวลานานกว่าเยอะ แต่พอมาถึงตัวอักษรอวี่ (雨ฝน ในที่นี้คือคำว่าพิรุณ) ไม่ว่าเฉินผิงอันจะโคจรลมปราณอย่างไร ทว่าแค่ขีดขวางขีดแรกก็ยังเขียนไม่ออก ราวกับว่ากระดาษยันต์สีเขียวไม่ยอมรับตัวอักษรตัวนี้ ดั่งสองกองกำลังที่คุมเชิงกัน เฉินผิงอันต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพัง เมื่อเผชิญหน้ากับกำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านเหมือนภูเขา แล้วเขาจะทำอะไรได้?

คนเราต้องมีช่วงเวลาที่พละกำลังสิ้นสุดลง ไม่ใช่ว่าปณิธานที่ยิ่งใหญ่หรือความเพียรพยายามที่เด็ดเดี่ยวอะไรจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอไป

เฉินผิงอันฝืนอยู่นานก็ยังไม่อาจจรดพู่กันได้ เมื่อมือของเฉินผิงอันสั่นเป็นครั้งแรก เลือดสดจากหัวใจพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ เฉินผิงอันแข็งใจกลืนมันลงไป ด้วยถูกบีบให้อับจนหนทาง เฉินผิงอันจึงข้ามคำว่าอวี่ไปโดยตรง พอมาเจออักษรคำว่าซือ (师 โดยไปคำนี้แปลว่าอาจารย์ ในที่นี้ตรงกับคำว่าเทพ) ก็กลายเป็นปราการธรรมชาติอีกแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันข้ามมันไปอีกครั้ง ยังดีที่สองคำว่าคำสั่ง เขาพอจะฝืนเขียนได้ ในขณะที่ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเฮือกนั้นกำลังจะหมดลงก็เขียนสำเร็จในที่สุด

หลังจากที่ใช้ลมปราณเฮือกนี้หมดสิ้นแล้ว เฉินผิงอันก็หมดแรง แขนข้างที่ถือเหล็กหมาดหิมะตกลงข้างกาย เดิมทีก็เป็นการฝืนดึงลมปราณขึ้นมาอยู่แล้ว หากยันต์แผ่นนี้วาดไม่สำเร็จก็ไม่ต่างอะไรจากการเพิ่มเกล็ดน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ เวลานี้เลือดลมในร่างของเขาปั่นป่วน นอกจากเลือดจากหัวใจที่บาดเจ็บไปถึงพลังต้นกำเนิดแล้ว ยังมีหยดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนผุดซึมจากข้างในมายังข้างนอก หยดเลือดเหล่านั้นเล็กมาก พวกมันค่อยๆ ไหลจากจิตวิญญาณ ช่องโพรงลมปราณ เส้นเอ็นกระดูก และเนื้อหนังออกมาสู่ภายนอก

เป็นครั้งแรกที่เจียวเฒ่าสีทองเดือดดาลอย่างหนัก สบถด่าอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าสวะไร้ค่า! รอเจ้ามานานขนาดนี้ แค่สองคำว่า ‘เทพพิรุณ’ เจ้าก็เขียนออกมาไม่ได้งั้นหรือ?”

เจียวเฒ่าเดินขึ้นหน้ามาทีละก้าว “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ขยับพู่กันเขียนใหม่! วาดยันต์ใหม่อีกหนึ่งแผ่น!”

เฉินผิงอันเหม่อมองยันต์สีเขียวแผ่นนั้น สถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนไปแย่ยิ่งกว่าเดิม

แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนมาดีขึ้น

ราวกับว่าเฉินผิงอันที่พอออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาก็โชคดีมาตลอดทาง พอแยกทางกับนักพรตหญิงของสำนักโองการเทพผู้นั้นบนมหามรรคา ความโชคดีเริ่มดิ่งลงเหวอีกครั้ง เหมือนได้กลับเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจูก่อนที่มันจะปริแตกแล้วร่วงลงมา

คราวนี้ยิ่งพาตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความตายโดยตรง

เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “เจ้าอยากให้ข้าเขียนยันต์ตัดโซ่สำเร็จถึงเพียงนี้เชียวหรือ? คงมีแผนการอะไรอยู่สินะ?”

เจียวเฒ่าชุดทองมองประเมินเด็กหนุ่มอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิ เพียงแต่ว่าตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว เสียเวลาข้ามานานขนาดนี้ หลังจากนี้สามหุนเจ็ดพั่วของเจ้าจะถูกดึงเอามาทำไส้เทียนเล่มแล้วเล่มเล่าและถูกเผาอยู่ใต้ร่องลึกเจียวหลงหนึ่งร้อยปี”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองแขนซ้ายที่จับเหล็กหมาดหิมะ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วค่อยๆ ยกขึ้น ไม่เพียงแต่แขนข้างนี้เท่านั้น แต่เป็นทั่วร่างที่มีเลือดสดไหลซึมออกมาจากช่องลมปราณและกล้ามเนื้อ ไหลหลั่งเป็นสาย “ก่อนจะตาย ข้าจะต้องเขียนสองตัวนี้ให้สำเร็จ”

สีหน้าของเจียวเฒ่าชุดทองมืดทะมึน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กหนุ่มมีปณิธาน ข้าจะตั้งตารอ อีกทั้งจะเป็นผู้พิทักษ์ให้เจ้าด้วยตัวเอง อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีกล่ะ”

เฉินผิงอันแสยะยิ้ม

ยกแขนขวาขึ้นเช็ดตาที่ถูกคราบเลือดบดบังจนการมองเห็นพร่าเลือนลวกๆ พอเห็นตำแหน่งว่างเปล่าบนกระดาษยันต์ซึ่งเป็นที่ว่างสำหรับสองคำว่า ‘เทพพิรุณ’ ได้ค่อนข้างชัดเจนแล้ว เขาก็หลับตาลง พึมพำในใจว่า “ควรทำก็ทำ…ควรทำก็ทำ…”

ทันใดนั้น

เฉินผิงอันก็เริ่มจรดพู่กันลงบนกระดาษยันต์อีกครั้ง

เจียวเฒ่าชุดทองหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าหนุ่ม นั่นไม่ใช่อักษรตัวอวี่นี่นา เป็นเพราะบาดเจ็บสาหัสเกินไป สมองก็เลยไม่แจ่มชัดใช่ไหม?”

อีกชั่วพริบตาต่อมา

เจียวเฒ่าสีทองก็ไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป

เพราะบนกระดาษยันต์ไม่ได้มีแสงสว่างหนึ่งจุดปรากฎขึ้นอีกแล้ว

แต่เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว

เฉินผิงอันยังคงค้างอยู่ในท่านั้น ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับ แต่เป็นเพราะเขาขยับไม่ได้

ยันต์ตัดโซ่แผ่นนี้ไม่ใช่ยันต์ตัดโซ่ในความหมายที่แท้จริงอีกต่อไปแล้ว

เพราะไม่ใช่ประโยคว่า ‘ควรทำก็ทำ คำสั่งเทพพิรุณ’

แต่เป็น ‘ควรทำก็ทำ คำสั่งลู่เฉิน’

คำสั่งลู่เฉิน!

เจียวเฒ่าสีทองตัวนั้นก็ยืนแน่นิ่งไม่ขยับเช่นกัน แม้ใจจะปรารถนา แต่กำลังไม่เอื้ออำนวย

ริมฝีปากเฉินผิงอันขยับเบาๆ รับสัมผัสกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจ รับคำอวยพรที่ทำให้จิตใจเปิดกว้างจากยันต์แผ่นนั้น เขาพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ข้าเคยอ่านเจอในตำรา อริยะกล่าวไว้ว่า…”

เฉินผิงอันกระแอมหลายทีกว่าจะพูดประโยคครึ่งหลังออกมาได้ “มังกรอำพรางตัวอยู่ในหุบเหว”

แปดคำที่เขาเอ่ยออกมานี้ ดูเหมือนจะไม่ด้อยไปกว่าแปดคำบนกระดาษยันต์เลยแม้แต่น้อย

คำทั้งหมดสิบหกคำ เมื่ออยู่ในร่องน้ำเจียวหลงก็ประหนึ่งอสนีบาตฟาดผ่าลงมาทั้งที่ฟ้าเป็นสีครามสดใส

“ขอรับ!”

“รับคำบัญชา!”

เสียงมากมายดังขึ้นๆ ลงๆ มาจากในจุดลึกของร่องลึกเป็นทอดๆ ไม่ขาดสาย

ฟ้าดินพลันเงียบสงัด

เจียวเฒ่าชุดทองหลายสิบคนมารวมตัวกันอยู่ในร่างเดียว เขาก้มหน้าลง ยกมือกุมเป็นหมัด แต่ใบหน้ากลับแสยะยิ้มดุดัน “ก่อนจะรับคำสั่ง เด็กหนุ่มต้องตายก่อน”

กลางอากาศเหนือร่องน้ำเจียวหลง แสงกระบี่สีทองใหญ่เหมือนขุนเขาร่วงลงมาจากฟากฟ้า

ตรงดิ่งเข้าหาศีรษะของเด็กหนุ่ม

บางคนสามารถช่วยได้ แต่ไม่เต็มใจช่วย ยกตัวอย่างเช่นหญิงชราก่อกำเนิดที่อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดไม้ไผ่

บางคนคิดอยากจะช่วย แต่เพื่อกิจการใหญ่ของตระกูลฟ่านจึงได้แต่ถอยหนีหลบเลี่ยง ยกตัวอย่างเช่นกุ้ยฮูหยิน

บางคนไม่มีอะไรให้ต้องห่วงพะวง ยอมสละชีวิตแลกชีวิตเด็กหนุ่ม ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าพายเรือที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด

ส่วนคนที่มากกว่านั้นเพียงแค่รอชมเรื่องสนุกเท่านั้น สถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้ว ยังจะต้องเครียดไปทำไม?

บัดนี้ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะรู้ซึ้งถึงน้ำใจคนและเรื่องราวทางโลก ทว่าสีหน้าของเขาไม่มีทั้งความโศกเศร้าและความยินดี

ตราประทับคู่หนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตราประทับภูเขาแม่น้ำหยุดลอยอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของเขา

หลังจากที่แสงกระบี่สีทองเส้นนั้นแหลกสลายไป ตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่หนึ่ง เหลือแค่ตราประทับแม่น้ำ ไม่มีตราประทับภูเขาอยู่อีกแล้ว

บนมหามรรคา

ก้าวเดินไปเบื้องหน้าเพียงลำพัง

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท