เฉินผิงอันกลับไปถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยแล้วฝึกวิชาหมัดหกก้าวและท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูต่ออีกครั้ง ยามกลางคืนฟ้ามืดมิด เขาถอดอาภรณ์เอนตัวลงนอน ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม
วันที่สองฟ้าขมุกขมัวเริ่มสาง จินซู่มาเคาะประตูก่อนเวลาหนึ่งเค่อ เฉินผิงอันหยุดการเดินนิ่งที่เงียบเชียบลง เปิดประตูอ้า เดินออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับจินซู่ มุ่งหน้าไปยังโถงฝ่าอิ้น (ตราประทับอาคม) โถงแห่งนี้ถูกเรียกอีกชื่อว่าโถงเชวียอี (ขาดไปหนึ่ง) ว่ากันว่าเก็บรวบรวมตราประทับของร้อยสำนักทุกรูปแบบในโลกเอาไว้ ขาดเพียงตราประทับภูเขาเท่านั้น เพราะเคารพกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ว่า ‘ภูเขาไม่พบภูเขา’ ถึงอย่างไรเดิมทีภูเขาห้อยหัวก็เป็นตราประทับภูเขาชิ้นหนึ่งอยู่แล้ว
เฉินผิงอันถอนหายใจ เดินตามจินซู่ที่อารมณ์ดีเข้าไปในโถงฝ่าอิ้น หอสูงสามชั้น ทุกชั้นต่างก็กว้างขวางมากเป็นพิเศษ แบ่งแยกเป็นห้องเล็กใหญ่ ทุกชั้นล้วนเก็บตราประทับอาคมที่มีจำนวนมากหลายพันชิ้นเอาไว้เหมือนกันหมด ตราประทับแต่ละชิ้นต่างก็ลอยอยู่ในชั้นกระจกที่แบ่งซอยออกเป็นชั้นๆ และยังมีตราประทับบางส่วนที่สามารถบ่มเพาะสติปัญญาขึ้นมาได้จึงว่ายวนบินชนชั้นกระจกไม่หยุดจนเกิดเสียงดังปึงปัง ตราประทับบางชิ้นยังถึงขั้นรวบรวมปราณวิญญาณขึ้นมาเป็นแก่นวิญญาณ คอยจ้องตากับคนอย่างใจกล้าอยู่ด้านหลังชั้นกระจก
เฉินผิงอันหยุดอยู่ในห้องตราประทับแม่น้ำที่ชั้นสองเป็นเวลานานไม่ยอมออกมาเสียที จินซู่จึงไปเดินเล่นที่อื่นเพียงลำพัง นัดหมายกันว่าอีกประมาณหนึ่งชั่วยามมาเจอกันที่หน้าประตูโถงอิ้นฝ่า
ตราประทับน้ำอันหนึ่งที่เฉินผิงอันจ้องมองอยู่มีปราณวิญญาณเป็นเหมือนไอน้ำน้ำหนักเบาจำแลงกลายมาเป็นธารน้ำเส้นหนึ่งล้อมวนอยู่รอบตราประทับ ตรงด้านล่างของตราประทับสลักสี่คำว่า ‘แม่น้ำสีเงินห้อยย้อย’ เพราะมี ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งเขียนคำบรรยายประกอบเอาไว้อยู่เล่มหนึ่ง เฉินผิงอันจึงรู้จักตัวอักษรโบราณไม่น้อย
จินซู่เล่าให้ฟังว่า ตราประทับของโถงฝ่าอิ้นมีแต่รับไม่มีออก จะไม่ขายให้แก่ผู้ใด
ในอดีตมีแค่ครั้งหนึ่งที่เกือบจะแหกกฎ นั่นคือเจ้าประมุขตระกูลหลิวแห่งธวัลทวีปคนปัจจุบันได้ป่าวประกาศว่าจะซื้อตราประทับของชั้นหนึ่งไปทั้งหมดรวดเดียว สุดท้ายนักพรตเจ้าของโถงจำเป็นต้องรายงานแก่เทียนจวินใหญ่แห่งภูเขาเดียวดาย คำตอบของฝ่ายหลังเรียบง่ายมาก นั่นคือขว้างปราณกระบี่ยาวดุจสายรุ้งลงมาจากหอสูงบนภูเขาเดียวดาย ทำลายสวนดอกไม้ด้านหลังจวนหยวนโหรวเสียป่นปี้ ผลคือตอนนั้นคนหนุ่มที่ยังเป็นแค่ลูกหลานสายตรงตระกูลหลิว ยังไม่ได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขเท้าเอวแหงนหน้าด่าเทพเซียนผู้เฒ่าบนภูเขาเดียวดาย ความหมายคร่าวๆ คือประมาณว่าข้าผู้อาวุโสมีเงิน เจ้าแน่จริงก็ลองทำดูอีกสักครั้งสิ
จากนั้นเทียนจวินใหญ่ก็เทฝนปราณกระบี่กระหน่ำลงมาระลอกใหญ่ จวนหยวนโหรวตระกูลเซียนขนาดใหญ่ยักษ์ที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นหลายสมัยเสียหายอย่างหนัก
ทำให้ชื่อเสียงที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นค่ายกลใหญ่ที่สามารถต้านทานร้อยกระบี่จากเซียนกระบี่ของจวนหยวนโหรวย่อยยับไม่เหลือดี
ยังดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ภายหลังจึงเกิดการถามตอบที่กลายมาเป็นวลีซึ่งได้รับความนิยมกันไปทั่ว
คนหนุ่มคนนั้นหน้าไม่เปลี่ยนสี แค่หันไปถามพ่อบ้านวัยชราว่า ‘เทียนจวินผู้นั้นลงมืออย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ถูกกฎหรือไม่?’
พ่อบ้านวัยชราตอบยิ้มๆ ว่า ‘เทียนจวินก็คือกฎของภูเขาห้อยหัว’
เมื่อผ่านศึกครั้งนี้ไป เรื่องที่เทียนจวินแห่งภูเขาห้อยหัวใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงผู้คน และเรื่องที่ตระกูลหลิวมีเงินก็แพร่สะพัดไปทั่วใต้หล้าในเวลาเดียวกัน
ตอนหลังเฉินผิงอันไม่ได้เดินขึ้นชั้นสาม เขาลงจากหอไปรอจินซู่ที่นอกโถงฝ่าอิ้นโดยตรง
จินซู่มาช้าไปหนึ่งเค่อ มองเห็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่นั่งเหม่ออยู่บนบันไดก็เอ่ยขออภัยว่า “มาสายแล้ว เพราะบนชั้นสามมีตราประทับชิ้นหนึ่งที่เพิ่งบ่มเพาะจิตวิญญาณที่มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุดตนหนึ่งได้ สามารถจำแลงร่างกลายเป็นคนที่จ้องตากับมัน สนุกมากเป็นพิเศษ มีหลายคนเข้าแถวรอที่นั่น เฉินผิงอันเจ้าไม่สนใจเลยหรือ”
เฉินผิงอันลุกยืนปัดก้น คลี่ยิ้มพูดว่า “พวกเราไม่ได้รีบไปไหนสักหน่อย”
แทบจะเวลาเดียวกับที่จินซู่เรียกชื่อของเฉินผิงอันตรงๆ เป็นครั้งแรกในภูเขาห้อยหัว คนเฝ้าประตูสองคนที่อยู่ตรงตีนภูเขาเดียวดาย นักพรตเต๋าเด็กที่อ่านหนังสือและชายวัยกลางคนอุ้มกระบี่ก็พร้อมใจกันลืมตาขึ้นโดยไม่ได้นัดหมาย
จากนั้นคนหนึ่งก็ลุกจากเบาะที่นั่ง เดินออกจากลานกว้าง มุ่งหน้าไปยังหอซ่างเซียง
บุรุษถือกระบี่หันตัวกลับมา งอนิ้วดีดไปที่หน้ากระจกหนึ่งครั้ง แต่แล้วชายฉกรรจ์ก็พลันคลี่ยิ้ม บิดข้อมือกลับมาเหมือนดึงของบางอย่างกลับคืน เก็บการส่งสัญญาณด้วยการดีดนิ้วก่อนหน้านี้
แล้วเขาก็งีบหลับต่ออีกครั้ง
ภูเขาห้อยหัวไม่มีตราผนึกอาคม นักพรตเด็กคนนั้นก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ห่างไกลหลายลี้ สุดท้ายเขามาหยุดอยู่ตรงหน้าหอที่มีควันสีม่วงลอยกรุ่นพลิ้วกำจาย ก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน นักพรตสวมกวานหางปลาหลายคนเห็นนักพรตน้อยที่หน้าตาเหมือนหยกสลักล้ำค่าแล้วก็พากันค้อมเอวคารวะ เรียกอย่างให้ความเคารพว่าอาจารย์ปู่น้อย หรือบางคนก็เรียกว่าอาจารย์ปู่น้อยไท่ซ่าง
นักพรตน้อยสีหน้าเย็นชา ไม่สนใจใครทั้งนั้น ก้าวข้ามประตูใหญ่มาแล้วก็โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พัดให้เหล่านักพรตหลายคนที่สวมกวานและชุดเต๋าแตกต่างกันซึ่งกำลังจุดธูปกราบไหว้กระเด็นออกไปอยู่ใต้กำแพงทั้งสองฝั่งในเสี้ยววินาที ทำให้นักพรตห้าขอบเขตกลางเหล่านี้ตกใจจนเกือบขวัญหาย นักพรตเด็กก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า ยึดครองตำแหน่งที่มีควันธูปล้อมวนเพียงลำพัง หยิบธูปดอกหนึ่งมาจากกระบอกใส่ธูปที่วางอยู่บนโต๊ะด้านข้าง เหนือโต๊ะธูปมีภาพวาดสี่ภาพ มรรคาจารย์เต๋าอยู่ในตำแหน่งสูงสุด ตำแหน่งนี้สูงจนถึงขั้นที่ว่าหากคนมาจุดธูปกราบไหว้ไม่ทันสังเกตก็อาจจะนึกว่าไม่มีอยู่
ส่วนภาพวาดเทวรูปของนักพรตเต๋าสามคนด้านล่างนั้นแขวนเรียงกัน
นักพรตที่อยู่ตรงกลางห้อยยันต์ไม้ท้อ นักพรตที่อยู่ฝั่งซ้ายมือถือกระบี่อาคม สวมชุดขนนก นักพรตฝั่งขวาสวมกวานดอกบัว
บนโต๊ะธูปขนาดใหญ่ยักษ์วางแค่กระถางธูปขนาดใหญ่ที่เตรียมไว้ให้ผู้คนที่มากราบไหว้ปักธูปลงไปเพียงใบเดียว
หอซ่างเซียง (จุดธูป) แห่งนี้มีเรื่องเล่าลือว่าหากนักพรตเต๋าและชายหญิงที่มีจิตศรัทธามาจุดธูปกราบไหว้ที่นี่ก็อาจจะมีโอกาสให้มรรคาจารย์เต๋าและเจ้าลัทธิไตรวิสุทธิ์ที่อยู่ในใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งรับรู้ หลังจากเข้ามาในภูเขาห้อยหัว เรื่องแรกที่นักพรตแทบทุกคนต้องทำคือมาจุดธูปสามดอกที่หอซ่างเซียงแห่งนี้ แน่นอนว่านักพรตของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ไม่มีทางเหยียบเข้ามาในหอซ่างเซียงแม้แต่ครึ่งก้าว
นักพรตน้อยที่บนศีรษะสวมกวานหางปลากราบเจ้าลัทธิที่สวมกวานดอกบัวผู้นั้นสามครั้ง พอปักธูปในมือลงในกระถางธูปแล้วก็หลับตาลง ปากท่องคาถาพึมพำ
สุดท้ายนักพรตน้อยอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ พอลืมตาขึ้นก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย หันหน้าไปมอง เห็นคนหนุ่มที่หน้าตาคล้ายสาวงามคนหนึ่งก็ขมวดคิ้วถามว่า “ในฐานะลูกศิษย์สกุลลู่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เหตุใดเจ้าถึงไปที่หอจิ้งเจี้ยนก่อน ไม่ใช่มาจุดธูปกราบไหว้ที่นี่?!”
‘หญิงสาว’ เงยหน้าขึ้นอย่างแช่มช้อยไม่กลัวเกรง ตอบยิ้มๆ ว่า “พวกเรารับเจ้าลัทธิผู้สูงส่งท่านนี้เป็นบรรพบุรุษตระกูลเราอย่างสุดจิตสุดใจ ทว่าท่านบรรพบุรุษไม่เคยรับพวกเราเป็นลูกหลานนี่นา หลายพันปีที่ผ่านมาตระกูลลู่จุดธูปไปมากน้อยแค่ไหนก็ไม่เคยได้รับการตอบกลับแม้แต่ครึ่งคำไม่ใช่หรือ? ข้าจุดธูปเพิ่มอีกดอกจะมีประโยชน์รึ?”
บนใบหน้าเยาว์วัยของนักพรตน้อยเผยความเดือดดาล “กล้าทำตัวโอหังที่นี่ด้วย?!”
คนผู้นั้นที่มาจุดธูปกราบไหว้ยิ้มตาหยี “เทียนจวินท่านไม่ใช่นักพรตสายของบรรพบุรุษตระกูลลู่ข้าสักหน่อย เหตุใดต้องยึดติดกับมารยาทของคนนอกพวกนี้ด้วย?”
นักพรตน้อยแค่นเสียงหยัน “ไอ้พวกไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น ไสหัวออกไป!”
สะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง คนหนุ่มที่หน้าตาเหนือชั้นกว่าสาวงามก็ปลิวออกไปตกบนถนนนอกหอซ่างเซียง กระอักเลือดไม่หยุด พอกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาได้แล้วก็แหงนหน้าขึ้น มองคนในภาพเหมือนทางฝั่งขวามือที่ไม่เคยขยับเขยื้อนมาร้อยปีพันปีแล้วหัวเราะเสียงดังไม่หยุด
จนถึงวันนี้ก็ยังแล้งน้ำใจถึงเพียงนี้
หลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่ตระกูลลู่ตกอยู่ในภาวะอับจน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ผจญอันตรายเกือบล่มสลาย คนในภาพไม่เคยมาแยแส
หลังจากก้าวออกจากธรณีประตูมาแล้ว นักพรตน้อยผู้นั้นก็ชำเลืองตามองคนหนุ่มที่สภาพกระเซอะกระเซิงแวบหนึ่งก่อนหายตัววับไป
ภายใต้การนำทางของจินซู่ เฉินผิงอันก็มาถึงเรือนหลิงจือตอนช่วงเที่ยงวันพอดี แล้วก็ได้เห็นหลิงจือสมปรารถนาในตำนานดอกนั้น
เฉินผิงอันเห็นของวิเศษและสมบัติอาคมที่ราคาสูงเทียมฟ้าในหอหลิงจือแล้ว เขาทั้งไม่ได้ซื้อ แล้วก็ไม่ได้ขายของที่อยู่ในวัตถุฟางชุ่น จากนั้นก็ไปยังสถานที่แห่งสุดท้ายของวันนี้ เรือนซือเตา (ดาบอาคม)
จุดดึงดูดความสนใจของเรือนซือเตาไม่ได้อยู่ที่ทัศนียภาพ แต่อยู่ที่ใบรายการใบหนึ่งซึ่งแปะอยู่บนกำแพง ในนั้นบรรยายประกาศนำจับที่มีรางวัลแตกต่างกันไป เป้าหมายก็สารพัดหลากหลาย บ้างก็เป็นปีศาจใหญ่แห่งเกาะทะเลทักษิณ กษัตริย์ของแคว้นหนึ่งในบางทวีป ผู้อาวุโสตระกูลเซียนคนหนึ่งที่เป็นเทพเซียนพสุธา ลัทธิมารนอกรีตบางส่วนที่ก่อความวุ่นวายไปทั่ว หรือแม้แต่อริยะลัทธิขงจื๊อสกุลเฉินคนหนึ่งของทักษินาตยทวีปก็อยู่บนรายการนั้นด้วย
ไม่รู้ว่าเรือนซือเตาของภูเขาห้อยหัวสืบทอดกฎนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเขาแปะใบรายการได้ คนอื่นๆ ก็เอามาแปะได้เช่นกัน เพียงแต่ว่าคนที่เอาใบรายการมาแปะจำเป็นต้องวางเงินมัดจำของรางวัลนำจับไว้ที่เรือนซือเตาก่อน ไม่อย่างนั้นหากไม่มีเงินก็ไม่ควรแปะประกาศมั่วซั่ว เพราะจะได้เจอกับวิชาดาบที่ร้ายกาจของเรือนซือเตาแทน
เรือนซือเตา
ระบบเต๋าสายนี้ของเต๋าเหล่าเอ้อร์ยังมีแบ่งแยกไปอีก อาวุธอาคมทุกชนิดล้วนเรียกรวมเป็นดาบ นักพรตของสายนี้เคยสร้างชื่อเสียงใหญ่โตไว้ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สูสีกับคนเชื่อดาบของสำนักโม่ ฝ่ายหนึ่งแกร่งกร้าว ฝ่ายหนึ่งลึกลับ
เมื่ออยู่ในใต้หล้าไพศาล เรื่องที่ยุ่งยากยิ่งกว่ามีเรื่องกับเซียนกระบี่ก็คือไปพัวพันกับนักพรตที่พกดาบอาคม เพราะแต่ไหนแต่ไรมานักพรต ‘ดาบอาคม’ มักจะลงมือเด็ดขาดหรือถึงขั้นเรียกได้ว่าอำมหิตมาโดยตลอด สังหารภูตผีปีศาจคล่องแคล่วว่องไว เวลาเข่นฆ่ากับผู้ฝึกลมปราณก็ไม่เคยมีไมตรีเช่นกัน นิสัยของนักพรตดาบอาคมย่ำแย่แค่ไหน เคยมีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า มีครั้งหนึ่งนักพรตดาบอาคมที่มีวิชาสูงส่งมาเจอกับผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดจากจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ พวกเขาต่างก็ต้องการสังหารปีศาจตนหนึ่งที่มีตบะลึกล้ำ หากว่ากันตามหลักปกติแล้ว ถ้าไม่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน ก็ต่างคนต่างต่อสู้ หรือไม่ก็หลบเลี่ยงให้อีกฝ่ายหนึ่งสู้ไปเอง ผลกลับกลายเป็นว่านักพรตดาบอาคมผู้นั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ชักดาบเข้าห้ำหั่น ต่อสู้กับเทียนซือตระกูลจางจนฟ้าดินพลิกตลบ หลังจากทำให้เทียนซือบาดเจ็บสาหัสได้แล้วถึงไปกำราบปีศาจเพียงลำพัง
ตอนนั้นมรสุมลูกนี้ครึกโครมไปทั่วทวีปเกราะทอง เป็นเหตุให้บุรพาจารย์สกุลจางจวนเทียนซือคนหนึ่งเร่งรุดเดินทางไกลจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาเอาเรื่องถึงภูเขาห้อยหัว สุดท้ายจึงเกิดสุดยอดศึกใหญ่อีกครั้ง เทียนจวินใหญ่ที่พิทักษ์ภูเขาเดียวดายเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง ไปต่อสู้กับเทียนซือตระกูลจางที่มีวัยวุฒิสูงมากคนนั้นนอกภูเขาห้อยหัวหนึ่งพันลี้ เพียงแต่ว่าสุดท้ายใครแพ้ใครชนะ คนนอกกลับไม่มีใครรู้
……
ร้านยาฮุยเฉิน วันนี้สตรีแต่งงานแล้วและเด็กสาวหน้าตางดงามที่เป็นลูกจ้างในร้านยาขาดหายไปคนหนึ่ง ซึ่งก็คือแม่นางน้อยที่เถ้าแก่เจิ้งต้าเฟิงยังติดค้างเงินค่าหนังสือ
เจิ้งต้าเฟิงหงุดหงิดเล็กน้อย ตบโต๊ะพูดว่านังหนูคิดจะก่อกบฏซะแล้ว อาศัยที่ตัวเองหน้าตางดงามกล้าทำตัวไม่เห็นหัวใคร เถ้าแก่ท่านนี้พูดอย่างดุดันว่า ในเมื่อนางกล้าไม่มาทำงานที่ร้านโดยไม่บอกลา ไม่กล่าวอะไรสักคำเดียว เท่ากับว่าไม่เห็นเถ้าแก่ผู้หล่อเหลาสง่างามอย่างเขาอยู่ในสายตา จะหักเงินสามสิบสี่สิบอีแปะที่เป็นค่าหนังสือของนาง ชายฉกรรจ์ที่พร่ำบ่นไม่หยุดโมโหกระฟัดกระเฟียด แต่ไม่มีผู้หญิงคนใดในร้านเห็นเป็นจริงเป็นจัง คนที่แทะเมล็ดแตงก็แทะเมล็ดแตง คนที่คุยเรื่องสัพเพเหระก็คุยต่อไป ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครเชื่อว่าเถ้าแก่จะหักเงินจริงๆ
จากนั้นบุรพาจารย์ตระกูลฟ่านที่มีท่าทางกล้าๆ กลัวๆ คนหนึ่งก็มาที่หน้าประตูร้านยาด้วยสีหน้าหวาดหวั่นขออภัย
เจิ้งต้าเฟิงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย รีบหยุดปากที่พูดจู้จี้จุกจิกยิ่งกว่าสตรีแต่งงานแล้วลงในฉับพลัน เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินมาที่หน้าประตู พูดเบาๆ ว่า “คุยกันตรงนี้เถอะ”
แม้แต่ตัวของคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจในศาลบรรพชนตระกูลฟ่านท่านนั้นก็ยังรู้สึกจนใจ วันนี้ตนกลับต้องมาขอโทษคนผู้นี้ที่นี่เพื่อเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลของตน ทั้งๆ ที่ตระกูลฟ่านไม่ได้ทำอะไรผิด แต่คนทั้งตระกูลกลับต้องมากระวนกระวายไม่เป็นสุข ด้วยกลัวว่าจะถูกพาลโกรธ
ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “อาจารย์ใหญ่เจิ้ง แม่นางน้อยที่ไม่ได้มาร้านยาในวันนี้ ตายแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงร้องอ้อหนึ่งทีด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ผู้เฒ่าเข้าใจผิดคิดว่าปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตเก้าบนวิถีวรยุทธ์ผู้นี้ไม่ได้เก็บไปใส่ใจจึงแอบถอนหายใจโล่งอก
เจิ้งต้าเฟิงโบกมือบอกให้ผู้เฒ่ารู้ว่าไปได้แล้ว
ชายฉกรรจ์นั่งลงบนธรณีประตู ไม่พูดอะไรอีก
สตรีทั้งหลายที่อยู่ในร้านยามีลางสังหรณ์ที่แม่นยำฉับไว ต่างก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศประหลาดที่แผ่มาจากตรงหน้าประตู ทันใดนั้นไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังเอะอะ ยิ่งไม่กล้าพูดจาหยอกล้อเถ้าแก่
ชายฉกรรจ์หัวเราะ “ฮ่าๆ แบบนี้ก็ไม่ต้องคืนเงินจริงๆ น่ะสิ”
แต่อันที่จริงแล้วบนใบหน้าของเขากลับไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย
เขามองไปทางมุมมืดมุมหนึ่งที่อยู่ในตรอก “ข้าไม่เชื่อใจตระกูลฟ่าน ทั้งพฤติกรรมและความสามารถต่างก็เชื่อถือไม่ได้แล้ว เหล่าจ้าวเจ้าไปตรวจสอบด้วยตัวเองดูสักหน่อย ข้าจะรอฟังข่าวจากเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงลุกขึ้นยืนแล้วรอคอยด้วยความอดทน
นครมังกรเฒ่า สายลมพัดกระโชกให้จอกแหนที่รวมตัวกันแตกกระจาย
……
ยามราตรีที่ภูเขาห้อยหัว
บนลานกว้าง นอกจากนักพรตเด็กที่เปิดหนังสืออ่านอย่างต่อเนื่องและชายกอดกระบี่ที่ตอนกลางคืนกลับไม่หลับไม่นอนแล้ว นอกจากพวกเขาก็ไม่มีใครอีก
จู่ๆ กลางกระจกที่อยู่ด้านหลังเสาใหญ่สองต้นก็มีเด็กสาวท่วงท่าองอาจผึ่งผายคนหนึ่งเดินออกมา นางห้อยกระบี่ยาวไว้ที่เอว
คิ้วของนางเข้มยาวดุจขุนเขาทอดตัวไกล
—–