ก่อนจะเข้าไปในหอจิ้งเจี้ยน เฉินผิงอันกับจินซู่ต่างก็มีความคิดเป็นของตัวเอง เฉินผิงอันอยากจะเข้าไปดูว่าในหอจิ้งเจี้ยนมีกระบี่ของชายฉกรรจ์สวมงอบหรือไม่ หากมี จะชื่อว่าอะไร? ปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนที่ถูกสังหารไปมีกี่ตนกันแน่? ส่วนจินซู่นั้นอยากไปดูกระบี่พกของเซียนกระบี่หญิงที่ตัวเองชื่นชมเลื่อมใส
คนทั้งสองต่างก็มีความปรารถนาเป็นของตัวเอง จึงแยกย้ายกันไปดูในสิ่งที่ตนต้องการ
หอจิ้งเจี้ยนแบ่งออกเป็นสองชั้นบนและล่าง กระบี่ที่สร้างเลียนแบบซึ่งอยู่ชั้นบนไม่เปิดให้คนนอกเข้าชม ส่วนชั้นหนึ่งนั้นสามารถเดินตรงเข้าไปข้างในได้ เพราะของเลียนแบบในหอจิ้งเจี้ยนนั้นอ้างอิงตามผลการสังหารปีศาจทุกระยะหนึ่งพันปี แล้วนำไปจัดวางไว้ในห้องหนึ่ง ดังนั้นจำนวนของกระบี่เซียนในห้องจึงมีไม่เท่ากัน แต่ไม่มีห้องใดที่ว่างเปล่า แค่มีมากหรือมากกว่าเท่านั้น เฉินผิงอันเดินดูไปตลอดทาง จดจำชื่อที่โบราณเหล่านั้นเอาไว้ จากนั้นก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง คนที่สามารถสลักตัวอักษรไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่และกระบี่ของพวกเขาน่าจะถูกบูชาไว้บนชั้นสองอย่างเป็นความลับ
การจัดวางของหอจิ้งเจี้ยนผ่านการใคร่ครวญอย่างตั้งใจยิ่ง ของเลียนแบบกระบี่ทุกชิ้น นอกจากจะวางไว้บนชั้นกระบี่ที่มีสีสันแตกต่างกันแล้ว ด้านหลังชั้นกระบี่ยังมีภาพวาดเซียนกระบี่สูงครึ่งตัวคน มีชีวิตชีวาเหมือนจริง อันที่จริงเรียกว่าภาพวาดคงไม่ถูกต้องนัก เพราะมันเกิดจากการรวมตัวกันของไอหมอกสีขาว แจ่มชัดทุกรูขุมขนเหมือนตัวจริงมายืนอยู่
แม้ว่าของเลียนแบบกระบี่พกของเซียนกระบี่ฝ่ายชายจะมีมากกว่า แต่เฉินผิงอันดูเร็ว จินซู่ดูช้า ดังนั้นพอถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันกับจินซู่จึงมาเจอกันในห้องสุดท้ายพอดี และที่บังเอิญมากก็คือ คนทั้งสองแทบจะมายืนเคียงไหล่กันในเวลาเดียวกัน คนหนึ่งมอง ‘จูอวี๋’ (ชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน เป็นไม้ยืนต้น ใบคู่รูปกลมรี ดอกสีเหลือง ผลเข้ายาสมุนไพรได้ มีสรรพคุณในการรักษาโรคฝันเปียกหรือองคชาติไม่แข็งตัว) ของเซียนกระบี่ชายด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนสีเล็กน้อย คนหนึ่งจ้องมอง ‘โยวหวง’ (ป่าไผ่ที่มืดทึบ) ของเซียนกระบี่หญิงด้วยแววตาซับซ้อน
ประเด็นสำคัญคือเซียนกระบี่ชายหญิงสองท่านนี้ต่างก็ไม่มีภาพเหมือนอยู่ด้านหลัง
จู่ๆ ก็มีคนเบียดเฉินผิงอันกระเด็น ปากก็สบถด่าไม่หยุด ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ฟังภาษาทางการที่ไม่รู้ว่าเป็นของทวีปไหนไม่ออก รู้แค่ว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายเกรี้ยวกราดมาก คนผู้นั้นถ่มน้ำลายใส่ชั้นวางกระบี่และกระบี่ที่สร้างขึ้นเลียนแบบ ถือโอกาสชักสีหน้าถมึงทึงใส่เฉินผิงอันที่ปักหลักยืนอยู่ตรงนี้ด้วย จากนั้นก็พ่นภาษาที่เฉินผิงอันไม่เข้าใจใส่เขาอีกชุดใหญ่ ก่อนที่คนผู้นั้นจะสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ฟังภาษาทางการของทวีปตัวเองไม่ออกจึงจากไปอย่างเดือดดาล
จินซู่ถอนหายใจอย่างสะท้อนใจหนึ่งที “ไปกันเถอะ”
ตอนนั้นที่อยู่นอกเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันได้ยินเว่ยป้อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตช่วงนั้น ไม่พูดถึงสงครามที่เผ่าปีศาจกำลังรุกรานกำแพงเมืองปราณกระบี่ เอาแค่ศึกที่ทำให้จิตใจผู้คนสั่นสะเทือนซึ่งเป็นศึกตัดสินว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่จะตกเป็นของเผ่าพันธ์ปีศาจหรือเป็นของผู้ฝึกกระบี่ที่มีกระบี่ไม่เพียงพอ เว่ยป้อเล่าว่าในศึกใหญ่อันดุเดือดนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ชายหญิงคู่หนึ่งได้ตายไป เป็นโศกนาฎกรรมของผู้กล้า เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ มีวิชากระบี่เลิศล้ำค้ำฟ้า กลับถูกปีศาจใหญ่สังหารภายใต้สายตาของคนมากมาย!
ถูกสังหาร!
ทั้งสองคน
เฉินผิงอันมองชื่อของเซียนกระบี่ชาย แล้วค่อยหันไปมองชื่อของเซียนกระบี่ฝ่ายหญิง
จินซู่ถามอย่างสงสัย “เฉินผิงอัน ยังไม่ไปหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “เจ้ากลับโรงเตี๊ยมไปก่อนเถอะ ข้าว่าจะเดินดูในหอจิ้งเจี้ยนอีกรอบหนึ่ง ถึงอย่างไรที่นี่ก็เปิดตลอดสิบสองชั่วยามอยู่แล้ว”
นางถาม “เจ้าจำทางกลับได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา เพียงพยักหน้ารับ “จำได้”
จินซู่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็คิดแค่ว่าเด็กหนุ่มที่สะพายกล่องกระบี่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำวาดฝันอยากจะเป็นอย่างเซียนกระบี่ของใต้หล้าแห่งนั้น จึงตัดใจจากมาไม่ได้ นางเดินออกจากห้องที่อยู่ปลายสุดห้องนี้ แล้วเดินผ่านห้องที่เหลือไปทีละห้อง ราวกับกาลเวลาหมุนย้อนกลับ ร้อยปี พันปี หมื่นปี
คนต่างถิ่นที่มาเยือนหอจิ้งเจี้ยนเพื่อชื่นชมเซียนกระบี่ที่ตนเลื่อมใสมีเยอะมาก ส่วนใหญ่ล้วนมีมารยาท ต่อให้เด็กหนุ่มจะยืนนิ่งอยู่ด้านหน้ากระบี่ที่เลียนแบบ ‘จูอวี๋’ อยู่ตลอดเวลาเหมือนคนที่นั่งยองในห้องส้วมแต่ไม่ยอมถ่าย ก็ไม่มีใครพูดอะไรมาก แต่ก็มีคนบางส่วนที่นิสัยเสียเหมือนคนก่อนหน้านี้ หากไม่ทำเสียงแค่นพ่นออกจากจมูกก็พูดจาถากถางเย้ยหยัน บ้างก็ถ่มน้ำลายใส่ชั้นกระบี่ที่วางกระบี่เลียนแบบกระบี่จูอวี๋ กระบี่โยวหวงสองเล่มนี้
เฉินผิงอันฟังไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไร
แต่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้น เหน็บแนม เย็นชา หัวเราะเยาะ สมน้ำหน้า สนุกสนาน และสนใจจากคนเหล่านั้น…
เฉินผิงอันไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ ก็เหมือนตอนที่อยู่บนผิวทะเลนอกเกาะกุ้ยฮวาในครานั้น
ราวกับว่าโลกทั้งใบหลงเหลือเพียงจิตใจที่ชั่วร้าย
เป็นอีกครั้งที่เฉินผิงอันถูกชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งกระแทกจนกระเด็น คนผู้นั้นก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เตรียมจะใช้หนึ่งหมัดต่อยชั้นวางกระบี่ให้พัง ทว่าเวลานี้เอง นักพรตหญิงวัยกลางคนที่สวมกวานหางปลากลับโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า พูดพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “ห้ามทำลายของที่เก็บไว้ในหอจิ้งเจี้ยน ผู้ที่ละเมิดกฎต้องรับผลที่จะตามมาด้วยตัวเอง”
ชายฉกรรจ์เก็บหมัดลงอย่างขุ่นเคือง เอ่ยถามว่า “ถุยน้ำลายใส่ได้ไหม ถือว่าผิดกฎของภูเขาห้อยหัวหรือไม่?”
นักพรตหญิงเพียงยิ้มแต่ไม่เอ่ยตอบ
ชายฉกรรจ์เข้าใจสารที่ส่งมา จึงขากเสลดเหนียวข้นใส่ชั้นวางกระบี่แล้วหมุนตัวจากไปทันที
ข้างๆ มีคนปรบมือร้องว่าดี ชายฉกรรจ์ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ทำเรื่องที่ผู้คนเบิกบานใจ
เฉินผิงอันยังคงฟังอะไรไม่เข้าใจสักอย่าง
เขาเดินไปที่มุมกำแพงของห้องเงียบๆ นั่งยองลงดื่มเหล้า มีเพียงทุกช่วงเวลาที่แขกบางตา เขาถึงจะรีบลุกขึ้น เดินไปเช็ดคราบน้ำลายที่อยู่บนของเลียนแบบกระบี่จูอวี๋ กระบี่โยวหวงและบนชั้นวางกระบี่ให้สะอาดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลับไปนั่งดื่มเหล้าตรงมุมห้องอีกครั้ง นานเข้าก็มีคนเข้าใจผิดคิดว่าเด็กหนุ่มคือคนงานของหอจิ้งเจี้ยนที่รับผิดชอบดูแลห้องนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ของเลียนแบบของเซียนกระบี่สองท่านที่เป็นคนบาปของกำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกคนทำลาย
เฉินผิงอันอยู่ในห้องนี้จนถึงยามค่ำ คนที่มาท่องเที่ยวน้อยลงเรื่อยๆ ดังนั้นจำนวนที่เขาลุกขึ้นจึงน้อยตามไปด้วย
ม่านราตรีเคลื่อนปกคลุม เป็นเวลาครึ่งชั่วยามเต็มแล้วที่ไม่มีคนมาห้องนี้
เฉินผิงอันถึงได้ออกจากหอจิ้งเจี้ยน เขานั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกหอ ถือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในมือ แต่กลับไม่ได้ดื่มเหล้า ริมฝีปากของเขาเม้มแน่น
เซียนกระบี่ชายแซ่หนิง
เซียนกระบี่หญิงแซ่เหยา
เคยมีแม่นางคนหนึ่งแนะนำตัวกับเฉินผิงอันว่า ‘สวัสดี บิดาข้าแซ่หนิง มารดาข้าแซ่เหยา เพราะฉะนั้นข้าจึงชื่อหนิงเหยา’
ตอนที่ต่อสู้กับวานรย้ายภูเขาจากเขาตะวันเที่ยง จากความหมายในคำพูดของแม่นางคนนั้น เห็นได้ชัดว่าบิดามารดาของนางต่างก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกอย่างการแสดงออกของนางในถ้ำสวรรค์หลีจูตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เหมือนคนที่สูญเสียบิดามารดาแม้แต่น้อย ดังนั้นต่อให้เว่ยป้อจะพูดถึงเรื่องคู่รักเซียนกระบี่ที่ตายในการต่อสู้ เฉินผิงอันก็ไม่เคยนึกไปถึงแม่นางคนนั้น
แต่พอย้อนกลับมานึกดู เบาะแสมีให้เห็นตั้งนานแล้ว
นางไม่ชอบพูดถึงอักษรตัวเหมิ่งที่อยู่บนกำแพงเมืองปราณกระบี่
นางบอกว่าวันหน้าบุรุษของตนต้องเป็นเซียนกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า เซียนกระบี่ใหญ่อันดับหนึ่ง ไม่มีคำว่าหนึ่งใน
นางท่องอยู่ในใต้หล้าไพศาลเพียงลำพังมาเนิ่นนาน หวังให้ใครสักคนหลอมกระบี่ที่ดีให้เล่มหนึ่ง
เฉินผิงอันนั่งกอดเข่าอยู่บนขั้นบันได
กล่องกระบี่ที่เขาสะพายอยู่ด้านหลังบรรจุกระบี่สองเล่มที่เขาตั้งชื่อให้ว่ากำจัดปีศาจและปราบมาร
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวยังบรรจุกระบี่บินอีกสองเล่มที่เขาตั้งชื่อให้ว่าชูอีกับสืออู่
รองเท้าสานที่สวมบนเท้าก็ยังเป็นคู่หนึ่ง
จูอวี้ โยวหวงในห้องด้านในสุดของหอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มก็ยังมีชีวิตพึ่งพากันและกัน
ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันนั่งเหม่ออยู่บนขั้นบันไดนี้นานเท่าใด สองตาของเขาเหม่อมองไปด้านหน้าอย่างไรชีวิตชีวา แต่แล้วก็พลันคืนสติ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีแม่นางคนหนึ่งยืนอยู่
นางขมวดคิ้วน้อยๆ เจอหน้ากันก็พูดเข้าประเด็นทันทีว่า “เฉินผิงอัน ทำไมจดหมายที่ส่งไปที่บ้านข้า เจ้าถึงไม่ใช่คนเขียน แต่เป็นหร่วนซิ่ว? เจ้าหมายความว่าอย่างไร!”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ตอบไม่ตรงกับคำถามว่า “ไม่เจอกันนานเลยนะ แม่นางหนิง”
นางเห็นท่าทางทึ่มทื่อนั้นแล้วก็ถอนหายใจ รู้สึกระอาใจเล็กน้อย เดินไปนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน พูดเสียงขุ่น “ไม่ได้เจอกันนาน? นี่เพิ่งจะผ่านไปเท่าไหร่เอง”
เฉินผิงอันคิดตามแล้วเกาหัว
ไม่รู้ว่าทำไมเฉินผิงอันถึงรู้สึกว่าผ่านมานานมากแล้ว
เดินทางนับพันนับหมื่นลี้
ฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง
นางชำเลืองตามองเจ้าคนที่นั่งตัวตรงอย่างสำรวม แล้วก็มองกล่องกระบี่ที่อยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย นางพลันคลี่ยิ้ม อดพูดไม่ได้ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าเป็นคน…”
หนิงเหยาสังเกตเห็นด้วยความประหลาดใจว่ายังไม่ทันรอให้ตนพูดจบ เจ้าทึ่มที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินผู้นี้ก็ตกใจจนเหงื่อหยดซะแล้ว
—–