เฉินผิงอันวางถ้วยเหล้าลง กล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าเขียนตัวอักษรไม่สวยเลยนะ”
สวี่เจี่ยกลอกตามองบน “จะแย่ยิ่งกว่าตัวอักษรยึกยือของอาเหลียงอีกหรือ? อีกอย่างต่อให้เป็นพวกคนที่มีฝีมือด้านการเขียนอักษรจีนเลื่องลือไปทั่วหล้าก็ยังถูกพวกที่อยู่วงการเดียวกันเรียกตัวอักษรของพวกเขาว่าคางคกถูกหินทับ งูตายห้อยอยู่บนกิ่งไม้ แม่ทัพบู๊ปักดอกไม้ หญิงชราสวมเสื้อเกราะอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
เด็กหนุ่มพูดเบาๆ “ข้าจะบอกเจ้าตามตรง อักษรใดของใครก็ตามที่อยู่บนกำแพงนั้น ต่อให้ไม่ดีแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวอักษรอาเหลียงก็ล้วนงดงามราวกับเซียนบนสวรรค์! ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเดินไปดูเองสิ”
เฉินผิงอันยังไม่รับพู่กันมา แต่ลุกขึ้นเดินไปทางกำแพง มองไกลๆ เห็นเป็นแค่กำแพงสีขาว ไม่มีภาพวาดหรือตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันอย่างงดงาม แต่พอเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้สังเกตเห็นว่าบนกำแพงเขียนเต็มไปด้วยคำกลอน วลีและคำเตือน
มากมายละลานตา
มีลายมือของบางคนที่โดดเด่นดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ เขียนเป็นคำกลอนด้วยลายมือหวัดหนึ่งบท กินพื้นที่เยอะมาก
ดุจดั่งกลุ่มบุปผาสีสันแพรวพราว หมู่มวลดอกไม้แข่งกันประชันความงาม ทว่ามีเพียงโฉมสะคราญหนึ่งเดียวที่ช่วงชิงความโดดเด่นไปหมด
แล้วก็มีลายมือที่ไม่เข้าพวกอยู่บางส่วน ที่สะดุดตาที่สุดคือตัวอักษรขนาดใหญ่บรรทัดหนึ่งที่บิดๆ เบี้ยวๆ ขนาดเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าน่าเกลียดจนแทบจะทนมองไม่ได้ เนื้อหาก็ยิ่งทำให้คนพูดไม่ออก ‘พอคิดถึงว่ามีสตรีมากมายหลงใหลปักใจรักตัวข้า มโนธรรมในใจข้าก็เจ็บปวดแล้ว’ ประเด็นสำคัญคือช่วงท้ายของประโยคยังวาดหน้ายิ้มกับมือที่ยกนิ้วโป้งไว้ด้วย
ไม่ต้องสงสัยเลย นี่ต้องเป็นลายมือของอาเหลียงอย่างแน่นอน เพราะคนทั่วไปคงไม่มีหน้าจะเขียนประโยคแบบนี้
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม หันหน้ากลับไปถาม “ท่านผู้เฒ่า ประโยคแบบนี้ก็เก็บไว้ด้วยหรือ?”
เด็กหนุ่มที่ถือพู่กันรออยู่ด้านข้างกล่าวอย่างกะปลกกะเปลี้ย “หนึ่งก็เพราะอาเหลียงหน้าด้านยืนกรานว่าถ้าลบหนึ่งตัวอักษร ก็เท่ากับว่าเขาคืนค่าเหล้าหนึ่งไห สองคือคุณหนูของข้าชอบประโยคนี้มากเป็นพิเศษ รู้สึกว่าอาเหลียงกำลังชื่นชมนาง คุณหนูของข้ายังใช้เหล้าหวงเหลียงหนึ่งไหไปแลกกับนิยายรักเล่มหนึ่งจากบรรพบุรุษสำนักผู้ประพันธ์โดยเฉพาะ หวังให้เขาช่วยเขียนเรื่องราวระหว่างนางกับอาเหลียง เป็นเรื่องแนว…เถ้าแก่ เรียกว่าแนวอะไรแล้วนะ?”
ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็น “แนวรันทดเศร้าโศก”
สวี่เจี่ยพยักหน้ารับ “ใช่ อันที่จริงตอนนั้นคุณหนูยังบอกบรรพบุรุษสำนักผู้ประพันธ์คนนั้นเป็นนัยว่า ยิ่งเขียนตรงและโจ่งแจ้งได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ภายหลังคาดว่าคนผู้นั้นคงเขียนไม่ออกจริงๆ จึงเขียนได้ค่อนข้างจะคลุมเครือ คุณหนูไม่พอใจมาก ออกจากบ้านไปคราวนี้ นางพูดเองว่าจะหนีตามผู้ชายไป และเรื่องหนึ่งที่นางจะทำคือไปหาเรื่องบรรพบุรุษท่านนั้น เพราะรังเกียจที่เขาแต่งเรื่องได้แย่มาก เป็นพวกนักต้มตุ๋นที่สร้างชื่อเสียงจอมปลอม จะต้องตำหนิเขาจนฟองน้ำลายกระเซ็นเต็มหน้าเขาให้ได้”
สายตาของเฉินผิงอันไล่มองไปทั่วกำแพงสูง สุดท้ายก้มหน้าลงต่ำ เขาเห็นตัวอักษรเล็กๆ อีกแถวหนึ่งตรงมุมเล็กๆ ตัวอักษรนั้นยังคงเป็นลายมือของอาเหลียง แต่ไม่สะดุดตาเท่าใดนัก
เสี่ยว ยุทธภพไม่มีอะไรดี มีแต่สุราที่พอใช้ได้
ตัวอักษรที่อยู่ด้านหลังคำว่า ‘เสี่ยว’ อาเหลียงถูจนกลายเป็นปื้นดำ
เฉินผิงอันถาม “เขียนอะไรก็ได้งั้นหรือ?”
สวี่เจี่ยยื่นพู่กันส่งให้พลางผงกศีรษะรับ “ได้หมด ขอแค่เขียนตรงตำแหน่งที่ว่าง ไม่ว่าจะเขียนอะไรก็ได้”
ลูกจ้างหนุ่มไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “ลูกค้า แต่อย่าเขียนว่าใครมาเยือนที่นี่เลยนะ มันธรรมดาเกินไป ต่อให้เป็นประโยคที่ไร้ยางอายของอาเหลียงก็ยังดีกว่าคำว่ามาเยือนที่นี่”
เฉินผิงอันรับพู่กันมา แล้วจู่ๆ ก็วิ่งกลับไปที่โต๊ะ ยกเหล้าดื่มอึกใหญ่ถึงย้อนกลับมาที่กำแพงอีกครั้ง ย่อตัวลงนั่งยอง จรดพู่กันลงบนตำแหน่งเหนือปื้นดำหลังคำว่า ‘เสี่ยว’ แล้วเขียนตัวอักษรเล็กๆ คำว่าฉีลงไป
เสี่ยวฉี ยุทธภพไม่มีอะไรดี มีแต่สุราที่พอใช้ได้
ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “อันที่จริงตัวอักษรไม่มีชีวิตชีวาอะไร แค่ถูกต้องตามหลักกฎเกณฑ์ แต่พอไปอยู่ข้างตัวอักษรของอาเหลียงกลับดูดีอย่างเห็นได้ชัด เจ้าทำแบบนี้เรียกว่าโกง ไม่ได้ ลองไปเขียนที่อื่นดูใหม่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วก็เริ่มเลือกตำแหน่งที่ว่างเปล่า ทว่าแถบกลางของกำแพง โครงสร้างค่อนข้างแน่นหนา คิดจะสอดด้ายร้อยเข็มเบียดแทรกเข้าไปก็ได้เหมือนกัน แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าทำอย่างนั้นเป็นการไม่เคารพต่อคนที่เขียนไว้ก่อน อีกอย่างคนที่กล้าเขียนตรงกลางกำแพง ส่วนใหญ่ล้วนมีลายมือที่สวยมาก มีท่วงทำนองในการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ เฉินผิงอันไม่กล้าเขียนตรงแถบนี้จริงๆ จึงพยายามมองไปยังตำแหน่งสูงหรือไม่ก็ตำแหน่งต่ำสองข้างฝั่ง สวี่เจี่ยออกเสียงเตือนพร้อมชี้มือไปยังตำแหน่งว่างสองแห่งที่มีพื้นที่กว้างพอสมควร แห่งหนึ่งอยู่บนสุดฝั่งขวา อีกแห่งหนึ่งอยู่ล่างสุดฝั่งซ้าย
เฉินผิงอันขยับเท้า นั่งยองตรงฝั่งซ้ายสุด สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วเขียนตัวอักษรลงไปสามคำ
ก่อนที่จะเขียน เขานึกถึงเซียนกระบี่และกระบี่เซียนมากมายที่อยู่ในหอจิ้งเจี้ยน
ดังนั้นตัวอักษรสามตัวที่เขาจรดพู่กันลงไปจึงเป็นคำว่า ปราณกระบี่ยาว
สวี่เจี่ยมองตัวอักษรทั้งสามที่ถูกต้องตามกรอบเป๊ะๆ ก็ให้เบื่อหน่าย เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่ใคร่จะถูกใจ อดพึมพำเบาๆ ไม่ได้ว่า “แค่มองก็รู้ว่าเรียนหนังสือมาไม่มาก”
ผู้เฒ่าพยักหน้าพูดคล้อยตามลูกจ้างร้านอย่างที่หาได้ยาก “อีกอย่างก็คือยังดื่มเหล้าไม่มากพอ นี่ เจ้าหนุ่มต้าหลีแซ่เฉิน อย่าได้รีบร้อน หากดื่มเหล้าถ้วยใหญ่สักถ้วยจนสาแก่ใจแล้ว คิดจะเขียนความในใจสักประโยค ไม่ยากอย่างที่เจ้าคิดหรอก เลี้ยงเหล้าพวกเจ้าสามไห เขียนได้สามประโยค ยังเหลือโอกาสครั้งสุดท้าย”
เฉินผิงอันกลับยื่นพู่กันคืนสวี่เจี่ย ยิ้มพูดกับผู้เฒ่าว่า “ไม่เขียนแล้ว”
ผู้เฒ่าไม่ได้คิดอะไรมาก เซียนเมามายทิ้งผลงานที่งดงามเอาไว้ เดิมทีก็เป็นแค่เรื่องเล็กที่ช่วยเสริมสร้างความโชคดี ดั่งการปักดอกไม้ลงบนผ้าแพรเท่านั้น ในเมื่อเด็กหนุ่มเขียนประโยคดีๆ ไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้เขาเองก็ไม่ใช่เซียนกระบี่ เถ้าแก่วัยชราย่อมไม่คิดจะทำให้ผู้อื่นลำบากใจอยู่แล้ว
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามว่า “ท่านผู้เฒ่า เหล้าครึ่งไหนี้เหลือไว้ก่อนได้ไหม? ข้าอยากจะไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่สักรอบ กลับมาค่อยมาดื่ม ได้หรือไม่?”
สวี่เจี่ยส่ายหน้าอย่างแรง “ร้านเหล้าของพวกเราไม่มีกฎแบบนี้ เหล้าหวงเหลียงหนึ่งไหเปิดจุกแล้วก็ต้องดื่มให้หมดรวดเดียว ไม่มีเหตุผลให้เดินออกจากร้านแล้วค่อยกลับมาดื่มใหม่อีกครั้ง”
ผู้เฒ่าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้า “ครั้งนี้ได้”
สวี่เจี่ยร้อนใจขึ้นมาครามครัน “ทำไมล่ะ?”
ผู้เฒ่าวางกรงนกไว้ข้างมือ ฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าชอบคำกล่าวว่า ‘เหลือไว้’ (มีความหมายเหมือนให้เป็นนิมิตหมายที่ดีว่าเหลือเฟือ มีเหลือกินเหลือใช้) เป็นมงคล น่ายินดี”
พอเฉินผิงอันเดินก้าวออกจากธรณีประตูร้าน เขากลับเดินเซไปวืดหนึ่ง ยืนได้มั่นคงแล้วหันหน้ากลับไปมอง ไหนเลยจะมีร้านเหล้า มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น
ในร้านเหล้าที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน ผู้เฒ่าเปิดกรงนก นกขมิ้นที่มีจงอยปากสีทองก็บินออกมา เพียงแต่ว่ายังไม่ทันรอให้มันขยับเข้าไปใกล้กำแพงที่มีตัวอักษรเพื่อตรวจสอบความสั้นยาวของโชคชะตาสายบู๊ของคนผู้หนึ่งอย่างคล่องแคล่วเหมือนที่เคยเป็น มันก็บินกลับมาหลบอยู่ในกรงอย่างรวดเร็วเสียก่อน ทำเอาสวี่เจี่ยที่มองอยู่อ้าปากค้าง ผู้เฒ่าคิดแล้วก็ถอนหายใจ “ช่างเถอะ แค่เด็กหนุ่มจากทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น ต่อให้เป็นต้นกล้าที่มีวาสนาการแต่งงานแล้วจะอย่างไร ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ร้อยปี จะตรวจสอบหรือไม่ ไม่สำคัญแล้ว”
สวี่เจี่ยถลึงตาดุดันใส่ตัวอักษรประโยคหนึ่งที่อยู่บนสุด คนส่วนใหญ่ล้วนเขียนเป็นแนวตั้งจากบนลงล่าง ช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมา หลังจากที่อาเหลียงเป็นคนริเริ่ม เมื่อไม่นานมานี้ก็มีแขกผู้หญิงคนหนึ่งเขียนตัวอักษรแนวนอนเป็นคนที่สอง อีกทั้งหลังเขียนเสร็จยังทำให้นกขมิ้นน้อยตกใจกระพือปีกบินขึ้นบินลงสะเปะสะปะ ผ่านไปเป็นครึ่งๆ วันก็ยังไม่หายดี ราวกับว่าป่วยหนักอย่างไรอย่างนั้น
สวี่เจี่ยอดตำหนิไม่ได้ “ต้องโทษที่เทพแห่งการต่อสู้หญิงผู้นั้นมีชะตาบู๊รุ่งโรจน์ พลังอำนาจน่ากลัวเกินไป!”
ผู้เฒ่าใช้สายตาแห่งความรักและเมตตามองไปยังนกขมิ้นน้อยที่น่าสงสารตัวนั้น พึมพำเบาๆ ว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
ในโลกมีนกมหัศจรรย์อยู่คู่หนึ่ง สามารถจิกชะตาบุ๋นคาบชะตาบู๊
เล่าลือกันว่านกตัวผู้ถูกเจ้าลัทธิลู่ของลัทธิเต๋าสายหนึ่งจับไป ส่วนนกตัวเมียถูกเลี้ยงดูโดยบรรพบุรุษสำนักจ๋าเจีย
……
เฉินผิงอันเดินอยู่ในตรอกเล็กที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง
แม้ว่าการดื่มเหล้าครั้งนี้จะดื่มแบบเลอะๆ เลือนๆ แต่หลังจากดื่มเหล้าแล้วเดินออกมาจากร้าน เฉินผิงอันพลันเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างกระจ่างแจ้ง
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่เหลืออยู่อีกไม่มาก ดื่มไปพูดงึมงำกับตัวเองไปด้วย
แม่นางหนิงคงไม่ชอบเจ้าจริงๆ แล้วล่ะ
หาไม่ตอนนั้นที่อยู่ถ้ำสวรรค์หลีจู นางบอกแล้วว่าจะมอบฝักกระบี่ให้เจ้า แล้วทำไมคราวนี้ถึงได้แกล้งทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปล่ะ?
เฉินผิงอันเจ้ามันซวยจริงๆ นี่มันใช่เรื่องที่ว่าแม่นางหนิงชอบหรือไม่ชอบเจ้าเสียที่ไหน ต้องถามว่านางเกลียดหรือไม่เกลียดเจ้าต่างหาก
คิดมาถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็พยายามมองหาความสุขจากความทุกข์คล้ายต้องการปลอบใจตัวเอง เดินทางในยุทธภพคราวนี้นับว่าไม่เสียเที่ยว อย่างน้อยตัวเองก็ฉลาดขึ้นบ้างแล้ว
แต่เขาก็ยังตัดสินใจว่าจะไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ดูสักครั้ง
เขาพร่ำบอกกับตัวเองไม่หยุดว่าแค่จะไปดูตัวอักษรขนาดใหญ่ที่สลักไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น
หาก ‘บังเอิญ’ เจอกับแม่นางบางคนในสถานที่ใดเวลาใด อย่างมากก็ยิ้มและทักทายนางอย่างใจกว้าง เพียงแต่ว่าตอนเปิดปากทักควรจะเอ่ยว่า ‘บังเอิญจัง’ หรือ ‘เจ้าก็อยู่นี่ด้วยหรือ’ เฉินผิงอันยังไม่แน่ใจว่าประโยคไหนเหมาะสมกว่ากัน
เฉินผิงอันตั้งใจคิดปัญหาข้อนี้มาก
เป็นเหตุให้สัมผัสไม่ได้สักนิดเลยว่าด้านหลังของตัวเองมีแม่นางคนหนึ่งที่ใกล้จะโมโหเขาจนตายอยู่แล้วเดินตามมา
นางสวมชุดยาวสีเขียวเข้ม