กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 275.1 เฉินเจอเฉินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

บทที่ 275.1 เฉินเจอเฉินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

ขณะที่นางทนไม่ไหวเตรียมจะถีบเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันกลับหายวับไปท่ามกลางความว่างเปล่า

ราวกับว่าถูกใครกระชากลากเข้าไปในฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง

ทั้งสายตาและทั้งหัวใจของนางพลันวูบโหวง แต่จากนั้นก็เต็มไปด้วยโทสะเดือดดาล

ในวินาทีที่นางเตรียมจะชักกระบี่ออกมาฟันให้ฟ้าดินแห่งนั้นปริแตกหวังสืบเสาะร่องรอยอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม นางพลันหน้าแดงก่ำ ราวกับได้ยินเสียงบางอย่างจึงร้องอ้อรับหนึ่งที ก่อนจะแค่นเสียงหึเย็นชาใส่ตำแหน่งที่เฉินผิงอันหายตัวไป

จากนั้นนางก็พุ่งทะยานไปตลอดทาง มุ่งหน้าไปยังลานกว้างตรงตีนเขาเดียวดาย

เจอคนที่แม่งไม่สนใจกฎเกณฑ์ห่าเหวอะไรอีกครั้ง นักพรตน้อยโมโหแทบระเบิด ขว้างตำราในมือลงพื้นอย่างแรง ดีดตัวผลุงขึ้นมาจากเบาะนั่ง ด่ากราดเสียงดัง “นังเด็กนี่ เจ้าคิดว่าภูเขาห้อยหัวคือลานบ้านของเจ้าหรือไง?! นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป สามครั้งแล้วนะ สามครั้งแล้ว! ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชั่วชีวิตก็อาจจะไม่เคยมาเยือนที่นี่สักครั้ง เจ้ากลับดีนัก วันเดียวมาตั้งสองครั้งแล้ว!”

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่หาวหวอด “เจ้าแน่จริงก็เล่นงานนางเลยสิ”

นักพรตน้อยกล่าวอย่างโมโห “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่กล้า? หากไม่เป็นเพราะข้าสงสารในชาติกำเนิดของนาง ป่านนี้ก็คงต่อยให้นาง…”

เด็กสาวผู้มีบุคลิกองอาจเดินเข้าไปในประตูใหญ่กระจกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเอนตัวมาข้างหลังเล็กน้อย หันหน้ามาพูดว่า “เจ้าจะมาสงสารข้าทำไม ข้าไม่ได้สนิทกับเจ้าสักหน่อย”

นักพรตน้อยรู้สึกว่าประโยคนี้ของแม่นางน้อยกล่าวได้ไร้เหตุผล แต่ก็เหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่นิดๆ

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่อยู่บนเสาผูกม้าหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

……

หน้าประตูร้านเหล้าในภูเขาห้อยหัวแห่งเดียวกัน หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมานอกร้าน เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่เงียบสงบ

แต่หลิวโยวโจวกลับนั่งอยู่ใต้ต้นไหวโบราณนอกกำแพงสูงของเรือนหลังหนึ่ง กำลังนับมดอย่างคนว่างงาน

ส่วนหญิงชราเซียนพสุธาก็คอยเฝ้าอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่รบกวนอาการเหม่อลอยของนายน้อยตัวเอง

ขอบฟ้าเริ่มเป็นสีขาวเหมือนพุงปลา หลิวโยวโจวที่ดวงตาฉายประกายคมกล้าลุกขึ้นยืน หันหน้าไปพูดกับหญิงชราเหมือนอยากโอ้อวดความรู้ของตน “ข้ามองจนเข้าใจแล้ว มดที่เติบโตอยู่ในภูเขาห้อยหัวไม่ได้แตกต่างจากมดที่เกิดในหมู่บ้านคนธรรมดาเลย”

หญิงชราเคยชินกับจินตนาการอันบรรเจิดของเด็กหนุ่มแล้วจึงยิ้มบางพยักหน้ารับเบาๆ

หลิวโยวโจวชำเลืองตามองไปยังต้นไหวโบราณด้วยความสนใจที่ไม่มากนัก “ไม่ซื้อแล้วๆ แพงเกินไป ข้าเสียดายเงินอั่งเปาที่ตัวเองสะสมมาตั้งนานหลายปีพวกนั้น”

หญิงชราโล่งอก นางกลัวจริงๆ ว่าด้วยความบุ่มบ่าม นายน้อยจะทุบหม้อข้าวขายเหล็กซื้อเหล้าลืมทุกข์หนึ่งไหมาจริงๆ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางดื่มเหล้าหวงเหลียงนี้เข้าไปไม่มีความหมายมากนัก ต่อให้สกุลหลิวธวัลทวีปจะมีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่ควรใช้เงินมือเติบถึงขนาดนี้ ถึงเวลานั้นนายน้อยไม่มีทางถูกลงโทษแน่นอน ไม่แน่ว่าเจ้าประมุขและเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายอาจจะยังกัดฟันเค้นรอยยิ้ม พูดชมเชยว่าไม่เสียแรงที่เจ้าเป็นลูกหลานสกุลหลิว ใจกว้างดุจแม่น้ำ จ่ายเงินตาไม่กะพริบก็ควรเป็นสิ่งที่ว่าที่เจ้าประมุขสกุลหลิวควรต้องมีไม่ใช่หรือ?

แต่นางกลับต้องโดนตำหนิอย่างเลี่ยงไม่ได้

ใช่ว่านางจะรู้สึกขุ่นเคืองเด็กหนุ่มด้วยสาเหตุนี้ แต่นางอยากให้เด็กหนุ่มได้ดียิ่งกว่านั้น เงินอั่งเปาตั้งมากมาย เอามาซื้ออาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ? จะต้องเอาไปซื้อเหล้าไหหนึ่งเพียงเพื่ออยากเอาชนะทำไม?

หลิวโยวโจวเดินย้อนกลับไปที่จวน แต่แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ท่านยายหลิ่ว ท่านว่าท่านน้าหลิ่วกลับมาจากทุ่งราบน้ำแข็งทางเหนือสุดหรือยัง?”

ตอนที่เด็กหนุ่มพูดถึง ‘น้าหลิ่ว’ บนใบหน้าที่ยับย่นของหญิงชราเผยประกายแห่งความภาคภูมิใจออกมาในทันที “น่าจะกลับมาแล้ว หากโชคดี นังหนูนั่นก็น่าจะเลื่อนสู่ขั้นเก้าของขอบเขตวรยุทธ์แล้ว นายน้อย ตามข้อตกลง ถึงเวลานั้นสามารถบอกให้นางพาท่านไปหาประสบการณ์ที่ทุ่งน้ำแข็ง สังหารปีศาจใหญ่ได้”

ถึงอย่างไรหลิวโยวโจวก็ยังมีนิสัยเป็นเด็ก น้ำเสียงที่พูดจึงค่อนข้างเอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อย “จะรีบเป็นขอบเขตเก้าเร็วอะไรขนาดนั้น ท่านพ่อข้าบอกว่าขอบเขตแปดที่แข็งแกร่งที่สุดบนวิถีวรยุทธ์ของน้าหลิ่วมีความหมายมาก ทำให้นางไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์ขอบเขตสิบปลายทางที่อ่อนแอเลย บิดาข้าเลยพูดเกลี้ยกล่อมน้าหลิ่วตรงๆ บอกว่าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็อย่าฝ่าทะลุขอบเขตง่ายๆ”

หญิงชราพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าประมุขย่อมต้องหวังดีอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ควรให้สุดโต่งเกินไปนัก หากสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว แต่กลับระงับเอาไว้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้ว นี่กลับไม่ใช่เรื่องดี เกรงว่าคงจะสูญเสียโอกาสทั้งหมดในการเลื่อนขอบเขตเหนือขอบเขตสิบขึ้นไป แน่นอนว่าหากเป็นผู้มีพรสวรรค์ธรรมดาก็แล้วไปเถอะ เพราะว่าสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตสิบได้อย่างถูไถก็ถือว่าเป็นความเพ้อฝันที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว แต่น้าหลิ่วของเจ้ากลับไม่ใช่แบบนั้น”

หลิวโยวโจวไม่เคยสนใจเรื่องอะไรที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาอยู่แล้ว กลับกันคือหันไปคิดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องที่สุดแทน เขาถอนหายใจกล่าวว่า “น้าหลิ่วก็จริงๆ เลย วันๆ เอาแต่พูดว่าผู้ชายดีๆ ในใต้หล้าไปตายที่ไหนกันหมด แถมยังชอบมาถามข้าว่าเจอผู้ชายดีๆ บ้างหรือไม่ ข้าเป็นผู้ชายตัวโตขนาดนี้จะตอบนางอย่างไร? แต่ท่านพ่อข้าแนะนำคนหนุ่มที่โดดเด่นของธวัลทวีปให้กับนางตั้งมากมาย ก็ไม่เห็นว่าน้าหลิ่วจะสนใจ น่าปวดหัวจริงๆ”

ความคิดของหลิวโยวโจวเหนือล้ำเกินคนธรรมดาไปไกล เขาถามคำถามที่ทำให้หญิงชรารู้สึกขบขับอีกครั้ง “หากมีวันหนึ่งกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจกลบทับกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวได้สำเร็จ จะทำอย่างไร? มดรังนั้นที่อยู่ใต้ต้นไม้เดินกันช้าขนาดนั้น ถึงเวลาคิดจะย้ายบ้านคงไม่ทันกาลกระมัง?”

หญิงชราสีหน้าปราณีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายน้อย กำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งตระหง่านไม่ล้มมากี่ปีแล้ว มีใต้หล้าแห่งนั้นกั้นขวางอยู่ ประมาณทุกๆ ร้อยปีเผ่าปีศาจจะต้องมีศึกนองเลือดครั้งใหญ่เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง ตลอดหลายปีมานี้ เดรัจฉานป่าเถื่อนเหล่านั้นต้องทิ้งศพไว้ใต้กำแพงเมืองตั้งเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปมือเปล่าทุกครั้งไม่ใช่หรือ? ปีศาจใหญ่ที่พลังการต่อสู้น่าครั่นคร้ามบางส่วน อย่างมากสุดพวกมันก็ได้แค่ขึ้นมายืนบนหัวกำแพงเมืองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องถูกเหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าขับไล่ออกไป”

หลิวโยวโจวร้องอ้อหนึ่งที แต่สุดท้ายก็ย้อนกลับไปที่ความคิดเดิมของตัวเองอย่างไม่อาจถอนตัวออกมาได้ กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “จวนหยวนโหรวของพวกเรายังสู้รังมดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะไม่สามารถย้ายไปไหนได้ ยังดีที่ธวัลทวีปอยู่ห่างจากภูเขาห้อยหัวไกลที่สุด เฮ้อ นาตยทวีปสิที่น่าสงสาร ถึงเวลานั้นควันดินปืนคงลอยไกลนับหมื่นลี้เลยกระมัง ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสกุลเฉินผู้มากความรู้ที่บนไหล่แบกดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ท่านนั้นจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ สกัดกั้นเผ่าพันธ์ปีศาจที่มีมืดฟ้ามัวดินไว้ข้างนอกแผ่นดินได้หรือไม่”

หญิงชราหลุดหัวเราะขำกับอาการตีตนไปก่อนไข้ของนายน้อยตัวเอง “ใช่สิ ระหว่างธวัลทวีปของพวกเรากับภูเขาห้อยหัวแห่งนี้ ไม่เพียงแต่มีนาตยทวีปกั้นขวาง ยังมีทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ต่อให้เอาอาณาเขตของอีกแปดทวีปมารวมกันก็ยังสู้ไม่ได้อยู่อีกด้วย นายน้อยจะต้องกังวลอะไร”

หลิวโยวโจวพึมพำ “ข้าไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของธวัลทวีปหรอก แค่รู้สึกว่าสงครามทำให้คนตายมากมาย เลยไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ จะดีจะชั่วนาตยทวีปก็ยังมีบุคคลอันดับหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหย่าเซิ่งคอยบัญชาการณ์ แต่พวกเราต่างก็เคยไปเยือนอาคเนย์ใบถงทวีปมาแล้ว อีกเดี๋ยวยังจะไปที่ฝูเหยาทวีปด้วย ดูเหมือนว่าทั้งสองแห่งนั้นจะไม่มีใครที่ร้ายกาจมากพอจะเอาออกหน้าออกตาได้”

หญิงชรายังหัวเราะอยู่เช่นเดิม “นายน้อย จะเอาทุกคนมาเปรียบเทียบกับบิดาของท่านไม่ได้หรอกนะ ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่สู้เจ้าประมุขของพวกเราไม่ได้ก็ไม่ร้ายกาจแล้วหรือ? คิดแบบนี้ไม่ได้หรอก”

คนที่มีเงินที่สุดของธวัลทวีป กับผู้ฝึกลมปราณที่แข็งแกร่งที่สุดของธวัลทวีป คือคนคนเดียวกัน

บิดาของหลิวโยวโจว

บุรุษคนนี้มีตบะสูงยิ่งกว่า และพลังการต่อสู้แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพบุรุษคนใดๆ ในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลิว

จุดที่น่ากลัวที่สุดอยู่ที่ว่า ธวัลทวีปที่ผู้คนห้าวหาญ เหล่าเซียนซือชื่นชอบการต่อสู้กลับไม่เคยมีใครที่สามารถพิสูจน์ความสามารถในท้ายที่สุดของบุรุษผู้นี้ได้สำเร็จ

บุรุษผู้นี้มีประโยคหนึ่งที่เป็นที่นิยมของคนบนภูเขา ‘เรื่องที่สามารถใช้อาวุธเซียนและอาวุธกึ่งเซียนมาแก้ไขได้ ก็คงไม่ต้องใช้หมัดใช้เท้าแล้วกระมัง?’

หลิวโยวโจวคล้ายจะไม่พอใจบิดาของตัวเองเล็กน้อย “มีเมียมากขนาดนั้น ดีตรงไหนกัน”

ตีให้ตายหญิงชราก็ไม่กล้าวิจารณ์ข้อดีข้อเสียของเจ้าประมุขท่านนี้

เจ้าประมุขนิสัยดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากคนที่เป็นข้ารับใช้ไม่เข้าใจกฎระเบียบ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ตระกูลหลิวครอบครองเทือกเขาที่มีเหมืองแร่หยกเงินเกล็ดหิมะไว้อย่างอยู่หมัด ต้นไม้ใหญ่เรียกลม แต่ละปีคนใช้ที่ต้องตายเพราะปากมีมากมาย ลูกหลานของสกุลหลิวแต่ละฝ่ายที่ตายอย่างเฉียบพลันก็มีไม่น้อย

เวลานี้หลิวโยวโจวสวมชุดไผ่เหลือง ‘เย็นสบาย’ สมบัติอาคมที่เคยเป็นของรักของกษัตริย์ราชวงศ์ใหญ่ชิ้นนี้ถูกขนานนามให้เป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก

ส่วน ‘หลบร้อน’ เสื้อไม้ไผ่อีกชิ้นหนึ่งที่สกุลหลิวธวัลทวีปหามาเข้าคู่กันได้นั้น ก็ได้รับการขนานนามให้เป็นพื้นที่มงคล

หลิวโยวโจวชอบเอาพวกมันมาผลัดกันสวม

สวมใส่สบาย แถมยังไม่ดูโอ้อวดตัว เพราะถ้าเป็นพวกชุดคลุมอาคมของพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าหรือเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างจะดูสะดุดตาเกินไป นี่ไม่เท่ากับเป็นการบอกให้คนอื่นรู้ว่าข้ามีเงินมากหรอกหรือ?

แม้ข้าจะมีเงิน แต่ข้าไม่ชอบพูด

อีกอย่างข้าหลิวโยวโจวก็ไม่ถือว่ามีเงินอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นทำไมเมื่อคืนถึงตัดใจซื้อเหล้าลืมทุกข์ไหหนึ่งไม่ได้เล่า?

หลิวโยวโจวถอนหายใจ “ท่านยายหลิ่ว ข้าไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้จริงๆ หรือ?”

น้ำเสียงของหญิงชรายืนกราน “นี่เป็นคำสั่งของเจ้าประมุข ห้ามท่านไปเด็ดขาด”

หลิวโยวโจวถามคำถามข้อหนึ่งที่ทิ่มแทงใจคนอย่างมาก “สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือนักโทษและผู้ลี้ภัย ความสัมพันธ์กับพวกเราที่อยู่ทางฝั่งนี้ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เรื่องสกปรกในภูเขาห้อยหัวมีมากมาย พวกเขาต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเผ่าปีศาจมานานขนาดนี้ จะไม่มีใครสักคนที่พอโมโหจัดแล้วคิดทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ หันไปสวามิภักดิ์กับเผ่าปีศาจบ้างหรอกหรือ?”

หญิงชราคิดก่อนตอบว่า “กำแพงเมืองปราณกระบี่มีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าและยอดฝีมือของสามลัทธิจับตามองอยู่ น่าจะไม่มีทางเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่อะไรได้ แต่คิดดูแล้ว คนประเภทนี้ย่อมมีอยู่จริง เพียงแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่อยากเอาเรื่องน่าอายในบ้านมาป่าวประกาศแก่คนนอก นายน้อย อันที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจสถานการณ์ของทางฝั่งนั้นมากนัก ตามการรายงานของสายจวนหยวนโหรว เหล่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวของกำแพงเมืองปราณกระบี่รุ่นนี้มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังไม่ได้มีแค่หยิบมือ แต่มีมากเหมือนหน่อไม้ที่ผุดหลังฝนตก จนแทบจะเทียบเคียงกับกลุ่มเซียนกระบี่ของเมื่อสามพันปีก่อนได้เลย คนรุ่นนั้นร้ายกาจมากจริงๆ กำราบเสียจนเผ่าปีศาจไม่กล้าท้าทายกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงแปดร้อยปีเต็ม ตลอดชีวิตของเผ่าปีศาจหลายตนล้วนไม่เคยได้เห็นกำแพงเมือง ดังนั้นข้าคิดว่าในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ภูเขาห้อยหัวจะอยู่ในยุคสันติสุขที่มีการค้ารุ่งเรือง”

เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆ ด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “แต่เงินส่วนใหญ่ที่ตระกูลหลิวของพวกเราหามาได้ล้วนเป็นทรัพย์สินของคนตายนี่นา”

หญิงชราอยากจะเตือนเด็กหนุ่มว่าอยู่ในภูเขาห้อยหัวต้องระวังคำพูด แต่มองใบหน้าด้านข้างแล้วเห็นสีหน้าหม่นหมองของเด็กหนุ่มก็ตัดใจพูดไม่ลง

พ่อบ้านคนหนึ่งของจวนหยวนโหรวมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง ข้างทางมีรถม้าจอดรออยู่สองคัน พ่อบ้านวัยชราพูดเบาๆ ว่า “นายน้อย มีแขกสูงศักดิ์มาเยือนที่จวนขอรับ”

หลิวโยวโจวพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นรถม้าคันหนึ่ง

มาถึงจวนหยวนโหรว หลิวโยวโจวมองเห็นบุรุษท่าทางสุภาพและหญิงสาวร่างสูงใหญ่ บุรุษวัยกลางคนที่ทั่วกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำรายืนชื่นชมภาพวาดหนึ่งที่แขวนไว้บนผนัง ส่วนหญิงสาวกำลังนั่งดื่มชา

ดูเหมือนบุรุษจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนอักษรภาพ เขาถึงเอ่ยชื่นชมว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า ‘ภาพดอกบัวร่วงโรย’ ภาพนี้ต่างหากถึงเป็นของจริง ไม่เสียแรงที่มีทั้งพละกำลังและรูปแบบที่ถูกต้อง โดดเด่นเปิดเผย เพียงแค่ภาพดอกบัวนี้ ในเวลาห้าร้อยปีก็ไม่มีผลงานใดจะทัดเทียมได้แล้ว”

ระหว่างที่เดินทางมา ด้วยความรอบคอบ พ่อบ้านจึงไม่ได้บอกกับหลิวโยวโจวตามตรงว่าแขกที่มาคือใคร จนกระทั่งก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่ของจวนหยวนโหรวมาแล้วถึงกระซิบบอกหลิวโยวโจวเบาๆ ว่าเป็นฮ่องเต้กับราชครูราชวงศ์ต้าตวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

หลิวโยวโจวประสานมือคารวะ “หลิวโยวโจวคารวะฝ่าบาทและราชครู”

บุรุษหันหน้ากลับมาพูดกับเด็กหนุ่มยิ้มๆ “คราวนี้กว่าเหริน (คำเรียกแทนตัวของกษัตริย์ในสมัยโบราณ) อาศัยโอกาสที่ราชครูจำเป็นต้องยืมใช้บ่อสายฟ้าขนาดเล็กหลอมกระบี่ ถึงได้มีเวลาว่างแอบอู้งานมาสูดอากาศหายใจที่ภูเขาห้อยหัว เดิมทีไม่อยากจะรบกวนจวนหยวนโหรว เพียงแต่ได้ยินว่าคุณชายหลิวก็อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวด้วย เลยคิดว่าถึงอย่างไรก็ควรมาขอชาดื่มสักถ้วย”

หลิวโยวโจวยกมือคารวะอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเกรงพระทัยเกินไปแล้ว”

ต้าตวนหนึ่งในเก้าราชวงศ์ใหญ่ที่ใหม่ที่สุดของใต้หล้าไพศาล

เขมือบกลืนอาณาเขตเกินครึ่งของราชวงศ์เดิมบางแห่ง ทุกวันนี้ต้าตวนใหม่จึงรอการฟื้นฟูจากความเสียหายทรุดโทรม ตามหลักแล้วทั้งฮ่องเต้และราชครูต่างก็ไม่ควรออกมาจากราชสำนัก

เพียงแต่ว่าเรื่องวงในเหล่านี้ยังไม่ใช่สิ่งที่หลิวโยวโจวในเวลานี้ต้องไปคาดเดา ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดฮ่องเต้ต้าตวนถึงให้หน้าจวนหยวนโหรวขนาดนี้ หลิวโยวโจวกลับรู้อย่างชัดเจน การที่ต้าตวนสามารถเอาชนะราชวงศ์ไท่เสวียนอดีตหนึ่งในเก้าราชวงศ์ใหญ่ ศึกล่มแคว้นที่เกี่ยวพันกับกองกำลังจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งดำเนินมาเกือบสิบปี จนกระทั่งต้าตวนลากสกุลเซี่ยไท่เสวียนลงมาได้ ตระกูลหลิวแห่งธวัลทวีป หรือควรจะพูดอีกอย่างก็คือกระเป๋าเงินของบิดาเขา เป็นผู้ที่ลงแรงอย่างมาก

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท