หลังจากสู้กันจบในครั้งสุดท้าย เฉาสือก็บอกลาจากไปพร้อมกับอาจารย์ของเขา อาจารย์และลูกศิษย์สองคนนี้น่าจะออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไปยังต้าตวนแผ่นดินกลาง
ก่อนจะจากไปเฉาสือพูดกับเฉินผิงอันว่า “เฉินผิงอัน ก่อนเจ้าจะกลับภูเขาห้อยหัว ช่วยดูแลกระท่อมหลังเล็กแทนข้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันเช็ดคราบเหงื่อบนหน้าผาก ยิ้มตอบว่า “ไม่มีปัญหา”
นี่คือความหวังดีที่เฉาสือมีให้
เด็กหนุ่มชุดขาวและเทพีแห่งการต่อสู้ที่เดินอยู่บนทางเดินม้า ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกลมากขึ้นทุกที
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเอ่ยเตือนเฉินผิงอันว่า “ข้าจะถอนฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ออกแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้าแสดงให้รู้ว่าตัวเองไม่มีปัญหา
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าถอนตราผนึกของฟ้าดินแห่งนั้นออกอย่างง่ายดาย ปราณกระบี่พลันไหลกรากเข้ามา ตอนนี้จิตวิญญาณของเฉินผิงอันกำลังสั่นสะเทือน บาดเจ็บไม่น้อย ได้แต่ใช้ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูต้านรับเอาไว้
หนึ่งชั่วยามให้หลังเฉินผิงอันถึงจะขยับเดินได้ เขากับหนิงเหยาเดินมาใกล้กำแพงที่หันหน้าไปทางฝั่งทิศใต้ นางถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “บาดเจ็บแค่นี้ไม่นับเป็นอะไรได้”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว ชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง “ข้าหมายถึงตรงนี้”
มองตามนิ้วมือเรียวยาวราวต้นหอมของเด็กสาวไป สายตาของเฉินผิงอันจ้องนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นนาน
ผลคือถูกหนิงเหยาตบป้าบเข้าที่ศีรษะ
เฉินผิงอันเกาหัว รีบพูดเหมือนคนวัวหายแล้วล้อมคอก “ทางใจยิ่งไม่เป็นอะไรเลย”
ศีรษะของบุรุษ เอวของสตรี อย่างแรกห้ามตบ อย่างหลังห้ามจับ
แต่เฉินผิงอันหรือจะกล้าพูดประโยคแบบนี้ออกไป
หนิงเหยาเอนหลังพิงผนังกำแพง ถามอย่างเป็นกังวล “ไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ?”
ภายในหนึ่งวัน เฉินผิงอันแพ้ถึงสามครั้ง แพ้แบบที่แพ้ไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
ครั้งแรกเฉินผิงอันประลองศิลปะการต่อสู้ด้วยวิชาหมัดมวยกับเฉาสือ ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ใจกันดีมาก ต่างก็ใช้วิธีที่บริสุทธิ์ แต่การออกหมัดแต่ละครั้งของเฉินผิงอันเหมือนจะช้ากว่าเฉาสือไปเสี้ยวหนึ่งพอดี
ไม่ใช่ว่าวิชาหมัดของเฉินผิงอันไม่ได้มาตรฐาน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ กระบวนท่าหมัดอย่างม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ ท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยถ่ายทอดให้ ขนาดเทพีแห่งการต่อสู้ที่มองดูอยู่ด้านข้างก็ยังพยักหน้าอยู่หลายครั้ง
ทางฝั่งของเฉาสือกลับดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด แต่ละท่วงท่าเต็มไปด้วยความมั่นใจเหมือนรู้ล่วงหน้า ชิงความได้เปรียบตัดหน้าศัตรูจนดูเหมือนว่าเท้าและหมัดของเฉินผิงอันไปถึงจุดที่เขาต้องการอย่างพอดิบพอดี
เฉินผิงอันจึงต่อยไม่โดนเฉาสือแม้แต่หมัดเดียว
ในขณะที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าและหนิงเหยาต่างก็รู้สึกว่าต่อสู้ครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว คราวนี้กลับกลายเป็นเทพีแห่งการต่อสู้ที่เสนอความคิดเห็นด้วยรอยยิ้มบางๆ บ้างว่า ลองสู้กันอีกสักตั้ง อีกทั้งยังให้เฉินผิงอันปล่อยฝีไม้ลายมืออย่างเต็มที่ ไม่ต้องใช้แค่วิชาหมัดอย่างเดียวเท่านั้น
การต่อสู้ครั้งที่สอง เฉินผิงอันใช้กระบี่บินสืออู่และชูอีมาช่วยเสริม และยังใช้ยันต์อีกหลายชนิด
แต่ก็ยังช้ากว่าการเคลื่อนไหวร่างกายของเฉาสือไปนิดหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย ยังคงห่างแค่เสี้ยวเดียวพอดี
คราวนี้แม้แต่หนิงเหยาก็ยังรู้สึกจนใจแทนเฉินผิงอัน
เหมือนกับการเล่นหมากล้อม เป็นนักเล่นระดับแคว้นขั้นเก้าเหมือนกัน แต่ก็มีแข็งแกร่งเก้าและอ่อนด้อยเก้า ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากนักเล่นแข็งแกร่งเก้านี้สามารถเล่นแค่ครึ่งตาก็ชนะไปเสียทุกครั้ง ถ้าอย่างนั้นความแตกต่างของฝีมือทั้งสองฝ่ายก็ไม่ใช่แค่มากในระดับทั่วไปแล้ว
การต่อสู้ครั้งสุดท้าย เฉินผิงอันเป็นคนเสนอ เฉาสือก็ยอมรับ
ครั้งที่สามนี้เฉินผิงอันเริ่มเปลี่ยนไป
เขาไม่เหมือนกำลังประมือกับเฉาสือ แต่เหมือนแข่งขันกับตัวเองมากกว่า เขาฝืนเปลี่ยนกระบวนท่าของวิชาหมัดที่ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วอย่างต่อเนื่อง ลองจินตนาการดู กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก็ดี หรือกระบวนท่าม้าเหล็กทะลวงขบวนรบก็ช่าง ล้วนเป็น ‘วิชาเทพเซียน’ ที่ผ่านการหล่อหลอมขัดเกลามานับพันนับหมื่นครั้งจากผู้เฒ่าแซ่ชุย เฉินผิงอันใช้วิธีการเช่นนี้จึงมองออกว่าตัวเขาเริ่มเสียหลักเองแล้ว
ดังนั้นเมื่อเทียบกับการออกหมัดของเฉินผิงอันแล้ว การออกหมัดของเฉาสือจึงไม่ได้เร็วกว่าแค่เสี้ยวเดียวอีกต่อไป หลายครั้งที่ก่อนเฉินผิงอันจะออกหมัด หรือไม่ก็ระหว่างที่เฉินผิงอันออกหมัด เฉาสือจะต่อยปณิธานหมัดของเฉินผิงอันให้พังทลายลงกลางคัน เรียกได้ว่าแพ้อเนจอนาถยิ่งกว่าสองครั้งก่อนหน้านี้เสียอีก
แต่คนสามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่อให้เป็นหนิงเหยาที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิถีวรยุทธ์ สุดท้ายก็ยังมองออกว่าการเปลี่ยนแปลงวิธีการกะทันหันของเฉินผิงอันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ความต่างหลักๆ นั้นยังคงอยู่ที่รากฐานของขอบเขตสี่
หลังจากต่อสู้กันไปสามครั้ง เฉาสือก็ชูนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน พูดแค่สี่คำว่า พยายามต่อไป
หากไม่ใช่เฉาสือ แล้วก็ไม่ใช่เฉินผิงอัน เกรงว่าทุกคนคงรู้สึกว่าคำพูดของเฉาสือเป็นการท้าทาย เป็นการอวดเบ่งบารมี หรือไม่ก็กำลังเหยียดหยามผู้แพ้
แต่จิตใจของเฉาสือนิ่งสงบ จิตใจเฉินผิงอันก็หนักแน่นมั่นคง จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ได้
เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่เหมือนกัน ตอนนี้เฉินผิงอันคือผู้ที่พ่ายแพ้เฉาสืออย่างแท้จริง
ดังนั้นหนิงเหยาที่ ‘จิตแห่งกระบี่ใสสะอาด ฉายประกายเฉียบคม’ ถึงได้ถามเช่นนี้ นางกลัวว่าเฉินผิงอันจะแพ้เป็นครั้งที่สี่
แพ้ในการแข่งขันทางจิตใจที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
หากจิตแห่งวิถีวรยุทธ์ถูกเฉาสือบดขยี้จนย่อยยับ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าว่าแต่ขอบเขตปลายทางบนวิถีวรยุทธ์เลย แม้แต่ขอบเขตเจ็ดก็คงยากสำหรับชีวิตนี้ของเฉินผิงอันแล้ว
ยังดีที่เฉินผิงอันบอกว่าไม่เป็นไร
หนิงเหยาเชื่อเขา
เฉินผิงอันไม่กลัวตาย นางรู้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว เขาเกือบจะตายด้วยน้ำมือของวานรย้ายภูเขา เกือบจะแลกชีวิตกับหม่าขู่เสวียนเพื่อนาง
แต่ไม่กลัวตาย ไม่ได้หมายความว่าจะไม่กลัวแพ้
ตอนที่ยากจนข้นแค้น คนเท้าเปล่าไม่กลัวที่จะต้องสวมรองเท้า ทว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยภูเขาห้อยหัว ได้เห็นสมบัติที่วางเต็มโต๊ะ หนิงเหยาถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้เฉินผิงอันมีเงินมากแล้ว และยิ่งมีหวังบนวิถีวรยุทธ์
ดังนั้นหนิงเหยาจึงกังวลว่าเฉินผิงอันจะยึดติดดึงดัน
โชคดีที่ไม่ได้เป็นแบบนั้น
คนทั้งสองนั่งเคียงไหล่กันอยู่บนหัวกำแพงเมืองที่หันหน้าไปทางทิศใต้
หนิงเหยาวางกระบี่สองเล่มหนึ่งใหม่หนึ่งเก่าทับซ้อนกันไว้บนหัวเข่า เฉินผิงอันยังคงสะพายกล่องกระบี่ที่เหลือแค่กระบี่ไม้ไหวเล่มเดียว
อันที่จริงนางรู้สึกว่าชื่อกระบี่กำจัดปีศาจนี้ค่อนข้างจะเชย แต่พอคิดถึงว่าเฉินผิงอันยังแบกปราบมารอยู่บนหลังจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขาอีก
เฉินผิงอันใช้สองหมัดค้ำไว้บนหัวเข่า เอนตัวไปด้านหน้า ห่างออกไปพันลี้ก็คือฐานทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเหมือนฝูงมดฝูงผึ้งมารวมตัวกัน ได้ยินหนิงเหยาเล่าว่าทุกครั้งที่ทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจบุกมาโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในหุบเขาแคบๆ แห่งนี้จะอัดแน่นไปด้วยเผ่าปีศาจ แต่เหนือศีรษะของพวกมันก็เต็มไปด้วยกระบี่บินเช่นกัน
เวลาอยู่กับหนิงเหยา เฉินผิงอันนึกอยากพูดอะไรก็พูดตามใจตัวเอง
พูดตั้งแต่เรื่องของท่านปู่เฉินเซียนกระบี่ผู้เฒ่า ไปจนถึงเฉาสือและเทพีแห่งการต่อสู้ รวมไปถึงราชวงศ์ต้าตวนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของพวกเขา จากนั้นก็เป็นเรื่องของเทียนซือใหญ่ภูเขามังกรพยัคฆ์ซึ่งได้ครอบครองหนึ่งในสี่กระบี่เซียนใหญ่ พูดถึงกระบี่เซียนก็ย่อมต้องเกี่ยวพันไปถึงเต๋าเหล่าเอ้อร์ที่ได้รับการขนานนามว่าผู้ไร้ศัตรูเทียมทานที่แท้จริง เพราะกระบี่เซียนเล่มนั้นของเขาถูกขนานนามว่า ‘เต๋าสูงเกินโลกมนุษย์หนึ่งฉื่อ’ จากนั้นก็เป็นเรื่องของภูเขาห้อยหัวสายของเต๋าเหล่าเอ้อร์ สุดท้ายกลับมาเรื่องของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องของวิชาหมัดเฉินผิงอัน
วกกลับไปกลับมา คุยไปตามที่ใจต้องการ
เฉินผิงอันไม่เคยนั่งในสถานที่ที่การมองเห็นเปิดกว้างขนาดนี้ สภาพจิตใจของเขาก็เช่นกัน
ราวกับว่าเขากำลังเผชิญหน้ากับใต้หล้าแห่งหนึ่ง
เฉินผิงอันตื่นเต้นจนพูดอย่างอดไม่ได้ว่า “แรกเริ่มสุดที่ฝึกหมัดก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด รอจนไม่ต้องกังวลเรื่องอายุขัยแล้วก็เริ่มคิดว่าทำไมตัวเองถึงฝึกหมัด เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการออกหมัดของข้าต้องไว ไวยิ่งกว่าใคร ภายหลังข้าก็รู้สึกอีกว่าการออกหมัดของข้าอาจจะไม่แข็งแกร่งที่สุดเสมอไป แต่ต้องมีเหตุผลที่สุด ดังนั้นข้าจึงอ่านหนังสือ ขอความรู้จากคนอื่น เรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมจากคนอื่น เวลาที่ข้าทำผิดก็ให้คนข้างกายคอยบอกเตือนข้า”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า กล่าวเหมือนจนใจเล็กน้อย “การที่ข้าใช้เหตุผลกับคนอื่น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็เพื่อให้อีกฝ่ายใช้เหตุผลกับข้าเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าเหตุผลของข้าต้องถูกเสมอไป น่าเสียดายที่การเดินทางในครั้งนี้มีหลายคนที่ไม่เต็มใจจะใช้เหตุผล”
“ชุดขุนนาง แซ่สกุล เงินในกระเป๋า ตบะขอบเขตที่เท่าไหร่ พวกเขาคงรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ประหยัดแรงกายแรงใจ มากพอให้ใช้เป็นเหตุผลได้แล้วกระมัง”
จู่ๆ เฉินผิงอันก็คิดถึงจั่วโย่ว บุรุษที่มีเวทกระบี่สูง ไร้ผู้ใดในโลกจะทัดเทียม
ดูเหมือนศิษย์พี่ของอาจารย์ฉี เซียนกระบี่จั่วโย่วคนนี้ก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดเหตุผลเหมือนกัน
แต่ทั้งสองฝ่ายกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ฝ่ายหนึ่งคือชอบกระทำเรื่องชั่วร้าย อีกฝ่ายหนึ่งใครไม่ล่วงเกินข้า ข้าก็ไม่ล่วงเกินใคร แต่หากใครล่วงเกินข้าก็ถือว่าเขาดวงซวย
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะไปจากโลกมนุษย์
อีกอย่างเขาพูดประโยคหนึ่งที่มีความหมายคร่าวๆ ประมาณว่า ทุกคนที่ฝึกบำเพ็ญตน ไม่ถือว่าเป็น…คนแล้ว แต่เป็นพวกตัวประหลาด
นอกจากความหมายตามตัวอักษรแล้ว เฉินผิงอันไม่เข้าใจความนัยที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น แต่เขารู้สึกว่าประโยคนี้รุนแรงมาก
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับหนิงเหยาด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าหากวิชาหมัดของข้า และยังมีวิชากระบี่ที่ข้าจะฝึกหลังจากนี้สามารถฝึกได้ไวที่สุด ไวยิ่งกว่าเดิม! นั่นก็ย่อมดีที่สุด!”
หลังจากยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งให้หนิงเหยาแล้วก็ลุกขึ้นยืน เริ่มออกหมัดช้าๆ พร้อมกับวิชาสิบแปดหยุดที่อาเหลียงสอนให้
อาเหลียงเคยบอกว่า สิบแปดหยุดของเขาไม่ค่อยเหมือนของใคร
หนิงเหยาขมวดคิ้ว “เฉินผิงอัน วันๆ หนึ่งเจ้าต้องฝึกหมัดตั้งหลายรอบ ยังจะมีเวลามาคิดเรื่องวุ่นวายพวกนี้อีกหรือ?!”
“ก็แค่คิดไปอย่างนั้นเอง”
ใบหน้าของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ออกหมัดอย่างผ่อนคลายได้ตามใจปรารถนา เชื่องช้า แต่กลับไม่เกียจคร้าน เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
หนิงเหยาหันหน้าไปมองเฉินผิงอันที่ปณิธานหมัดทั่วร่างเหมือนสายน้ำไหลริน แล้วถามว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เจ้าคิดมากขนาดนี้จะถ่วงให้การฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ของเจ้าล่าช้าไปอีก เฉาสือผู้นั้นต้องไม่มีทางคิดมากขนาดนี้เป็นแน่”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ แต่ก็ยังฝึกหมัดไม่หยุด “เขามีพรสวรรค์นี่นา อีกอย่างต้องเป็นคนมีพรสวรรค์ประเภทที่ร้ายกาจที่สุดด้วย แต่ข้ากลับไม่ใช่ ข้าต้องคิดเยอะๆ ทำเยอะๆ ในทุกก้าว ข้าเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง เจ้าเองก็เคยพูดว่าข้าคือคนบ้านนอกไม่ใช่หรือ ดังนั้นทุกก้าวต้องทำให้ได้ ‘ไม่เลว’ เสียก่อน จากนั้นถึงจะเป็นถูกต้อง ถูกต้องมาก ถูกต้องที่สุด ข้าจะรีบร้อนไม่ได้ เมื่อก่อนตอนที่ฝึกขึ้นรูปเครื่องปั้น นั่งครั้งหนึ่งก็นานตลอดช่วงบ่าย ต้องไม่ทำพลาดเท่านั้นถึงจะสามารถออกมาเป็นผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปที่ดีได้ เป็นหลักการที่ง่ายมาก”
เฉินผิงอันพูดเสริมอีกหนึ่งคำตามความเคยชิน “ถูกไหม?”
หนิงเหยาถามกลับ “ง่าย?”
เฉินผิงอันสงสัยเล็กน้อย “ไม่ง่ายหรือ?”
หนิงเหยาดื่มเหล้าในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ตอบไม่ตรงคำถามว่า “ง่ายก็ดีแล้ว”
ท่าหมัดของเฉินผิงอันไม่ใช่ท่าที่ฝึกตามวิชาหมัดเขย่าขุนเขาและท่าที่ผู้เฒ่าแซ่ชุยสอนให้อีกต่อไป แต่เป็นท่าที่เพิ่งคิดขึ้นมาเอง คนเดินตามหมัด ใจไร้อุปสรรคขัดขวาง
เดี๋ยวหยุดเดี๋ยวพัก บ้างช้าบ้างเร็ว
จิตใจของเฉินผิงอันจมจ่อมอยู่กับการฝึกหมัดทั้งหมด
เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของข้าแตกแล้ว สะพานแห่งความเป็นอมตะของข้าขาดแล้ว
ในอดีตฝึกหมัดเพียงเพื่อต่อชีวิต แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ยังเดินมาถึงที่นี่ มาพบกับเจ้า
ข้าเฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองร้ายกาจมาก!
เฉินผิงอันออกหมัดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้ลมเย็นพัดชายแขนเสื้อให้โป่งพอง ส่งเสียงสะบัดดังพึ่บพั่บ
ตอนนั้นที่นั่งอยู่บนสะพานหินโค้งสีทองกลางทะเลเมฆ พี่สาวเทพเซียนบอกข้าว่าอย่าทำให้อาจารย์ฉีต้องผิดหวัง เพราะแรกเริ่มที่นางเลือกข้าก็เพราะนางเลือกที่จะเชื่อมั่นในตัวอาจารย์ฉี ถึงได้ยินดีติดตามข้า เดิมพันความหวังส่วนที่เป็นหมื่นหนึ่งนั้น
มีแค่หนึ่งนี้ และข้าก็คือหนึ่งนี้ แค่นี้ก็พอแล้ว!
บนหัวกำแพง เฉินผิงอันพลันเปลี่ยนจากการออกหมัดเร็วเป็นช้าโดยที่ไม่ดูฉุกละหุกแม้แต่น้อย
เคลื่อนเท้าไปในแนวขวาง ออกหมัดเข้าใส่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้นอย่างต่อเนื่อง แล้วพริบตานั้นก็เปลี่ยนจากช้าที่สุดมาเป็นเร็วที่สุดจนหอบให้ลมพัดหวีดหวิว
ผู้เฒ่าแซ่ชุยเคยบอกว่าจะสอนหมัดที่ ขอแค่ผู้ฝึกยุทธ์บนโลกนี้เห็นหมัดของข้า ก็รู้สึกเหมือนท้องนภาที่อยู่เหนือสุดเบื้องบน!
เฉินผิงอันคล้ายตอบคำถามข้อนี้อยู่ในใจ ขณะเดียวกับที่ออกหมัดเขาจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังไปด้วยว่า “ตกลง!”
หนิงเหยาเผยอปากเล็กน้อย
นี่ยังใช่เฉินผิงอันอยู่ไหม?
หนิงเหยาเกิดอารมณ์อ่อนไหวเปราะบางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดื่มเหล้าที่เต็มไปด้วยรสชาติแห่งความทุกข์ทนหนึ่งอึกแล้วก็ยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง พูดเหมือนบ่นว่า “เฉินผิงอัน ตอนนี้ฝ่ามือหนึ่งของข้าตีเจ้าได้แค่ไม่กี่คนแล้ว”
เฉินผิงอันหยุดการออกหมัด ย่อตัวลงนั่งยอง พูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าตีข้า ข้าก็ไม่คิดจะตีคืนสักหน่อย”
หนิงเหยามองค้อน “เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่ไหม? หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ว่าจะที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือใต้หล้าไพศาลก็ต้องถูกคนหัวเราะตายแน่”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าหนักแน่น “หากวันใดเจ้าถูกคนรังแก ไม่ว่าตอนนั้นข้าคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่เท่าไหร่ หมัดนั้นที่ข้าปล่อยออกไปก็ต้องไวที่สุด!”
หนิงเหยาชี้ไปทางทิศใต้ของกำแพงเมือง “ปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสามขั้นสูงสุดก็ไม่กลัวรึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า
หนิงเหยาชี้ไปที่ด้านหลัง “อริยะในศาลบุ๋นของใต้หล้าไพศาลก็ไม่กลัว?”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้ารับ
หนิงเหยาชี้ไปที่เหนือศีรษะ “แม้แต่มรรคาจารย์เต๋าก็ไม่กลัว?”
เฉินผิงอันพยักหน้าแล้วก็พูดเบาๆ ว่า “หนิงเหยา เจ้าอย่าตายอยู่ในสนามรบนะ”
—–