กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 277.1 ในบรรดาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

บทที่ 277.1 ในบรรดาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

เฉินผิงอันเคยเห็นคนวัยเดียวกันที่หน้าตาดีมาไม่น้อย ซ่งจี๋ซินเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิง จ้าวเหยาที่เคยเรียนหนังสือกับอาจารย์ฉีในโรงเรียน หลินโส่วอี จากนั้นก็คือบุรุษที่แต่งตัวเป็นสาวงามยากจะแยกแยะว่าเป็นชายหรือหญิงบนเกาะกุ้ยฮวา เกาเซวียนองค์ชายต้าสุย แต่ไม่ว่าใครก็สู้เด็กหนุ่มที่อยู่ในร้านเหล้าผู้นี้ไม่ได้

หลังจากที่เขียนอักษรบนกำแพงเสร็จแล้ว คนผู้นี้ก็ยกไหเหล้ามานั่งโต๊ะข้างๆ เขาขอถ้วยขาวใบใหญ่สองใบ เรียกให้สวี่เจี่ยมาดื่มด้วยกัน สวี่เจี่ยที่รู้ราคาเหล้าหวงเหลียงชัดเจนดีที่สุดกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมเลย เขาเปิดผนึกฝาดิน ช่วยรินเหล้าให้ จากนั้นก็ยกชามชนกัน ท่าทางดูมีความสุขมาก ส่วนเถ้าแก่ร้านก็มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน น่าสงสารก็แต่นกในกรงตัวนั้นที่หันหลังให้เด็กหนุ่มผู้สดใสด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง

เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายชูถ้วยเหล้าให้เฉินผิงอัน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าชื่อเฉาสือ เป็นคนจากต้าตวนแผ่นดินกลาง”

เฉินผิงอันจึงต้องยกถ้วยเหล้าขึ้นมาบ้าง “ข้าชื่อเฉินผิงอัน คนจากต้าหลีแจกันสมบัติทวีป”

เฉาสือพยักหน้ารับ สายตาเต็มไปด้วยแววชื่นชม “รากฐานวรยุทธ์ขอบเขตสามของเจ้าปูมาได้ไม่เลวเลย”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ได้แต่ดื่มเหล้าหนึ่งอึก รู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกๆ

ใคร่ครวญอยู่นาน ในที่สุดก็พอจะได้คำตอบ ที่แท้เด็กหนุ่มจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าหรือน้ำเสียงการพูดจาก็ล้วนไม่เหมือนคนวัยเดียวกัน กลับเหมือนผู้เฒ่าเปลือยเท้าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วมากกว่า เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มไม่มีมาดโอหังของคนที่มองเหยียดผู้อื่นจากเบื้องสูงอย่างผู้เฒ่าแซ่ชุย ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มจากต้าตวนที่ชื่อว่าเฉาสือผู้นี้พูดจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นมิตร ทว่าต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยกันด้วยเรื่องหยุมหยิมทั่วไป เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นอยู่ดี

เฉาสือเป็นอย่างไร หนิงเหยากลับไม่มีความรู้สึกอะไรมากนัก นางแค่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย อยู่ดีๆ ก็มีคนผู้หนึ่งโผล่มาให้ขวางหูขวางตา อารมณ์อยากดื่มเหล้าจึงหายไปเยอะ

ดื่มเหล้าหวงเหลียงที่เหลืออีกครึ่งไหกับเฉินผิงอันไปอย่างแกนๆ จนหมดก็รีบลากเฉินผิงอันเดินไปยังประตูของร้านเหล้าทันที

ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะเดินออกไป เฉาสือตะโกนเรียกชื่อเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้ม “แม่นางหนิงที่เจ้าชอบ ดีมาก อย่างเดียวที่ไม่ดีคือพบหน้ากันหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังจำชื่อของข้าไม่ได้”

เฉินผิงอันตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าแบบนั้นยิ่งดี”

เฉาสือหัวเราะเสียงดังกังวาน มือหนึ่งชูถ้วยเหล้า อีกมือหนึ่งโบกมือลาเฉินผิงอัน คลี่ยิ้มจริงใจ “เฉินผิงอัน อีกสามวันให้หลังจงเริ่มช่วงชิงขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้แล้ว”

เขาพูดประโยคที่แค่ขบคิดเล็กน้อยก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัดอีกแล้ว

เฉินผิงอันกุมมือคารวะ ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหันหน้ากลับแล้วเดินไปจากพื้นที่มงคลหวงเหลียงที่เล็กแคบแห่งนี้พร้อมกับหนิงเหยา

ในร้านเหล้า สวี่เจี่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าชอบแม่นางหนิง?”

เฉาสือโบกมือปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ข้าชอบอาจารย์ที่คือผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมในใจข้า ชอบฮองเฮาที่เวลายิ้มมีลักยิ้มบุ๋มลงไปสองข้างแก้ม ชอบแม่นางหนิงที่ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้เป็นความชอบระหว่างชายหญิงอย่างที่เจ้าคิด เพราะมันจะเป็นภาระในการฝึกตน”

เฉาสือดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วถอนหายใจ “ข้านึกภาพของตัวเองในวันหน้าที่ชอบแม่นางคนหนึ่งไม่ออกเลย”

สวี่เจี่ยร้องอ้อหนึ่งที เฉาสือพูดอะไรเขาก็เชื่ออย่างนั้น จากนั้นลูกจ้างร้านผู้นี้ก็มีสีหน้าลิงโลด เปลี่ยนหัวข้อพูดว่า “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าคงใกล้จะเลื่อนสู่ขอบเขตห้าแล้วสินะ?”

เฉาสือพยักหน้ารับ “อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานขนาดนี้ก็ควรฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว”

สวี่เจี่ยยิ้มกว้าง “หากอยู่ที่บ้านเกิด ข้าว่าตอนนี้เจ้าน่าจะเป็นขอบเขตเจ็ดแล้วกระมัง”

ไม่รอให้เฉาสือตอบ สวี่เจี่ยก็พูดเสริมทันทีว่า “อีกอย่างก่อนที่จะเป็นขอบเขตเจ็ด ยังเป็นขอบเขตสี่ ขอบเขตห้า ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย!”

พอพูดถึงเรื่องนี้ สวี่เจี่ยดูดีใจยิ่งกว่าเฉาสือเองเสียอีก “ผู้เฒ่าบอกว่าขอบเขตสี่ของเจ้าในเวลานี้คือขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่บุคคลอันดับหนึ่งของขอบเขตสี่วิถีวรยุทธ์แค่ในปัจจุบัน เรียกได้ว่าไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ และในอนาคตก็จะไม่มีใครทำได้ จริงหรือไม่?”

เฉาสือตอบอย่างอ่อนใจ “ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ ข้าพอจะมั่นใจได้ ส่วนในอนาคตไม่มีใครทำได้นั้น ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง แถมยังทำนายโชคชะตาฝ่ายบู๊ของใต้หล้าในอีกร้อยปีพันปีให้หลังไม่ได้สักหน่อย”

สวี่เจี่ยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เฉาสือ! หากมีวันใดที่ข้าอดใจไม่ไหวไปตามหาคุณหนู ข้าจะต้องไปเที่ยวหาเจ้าที่ราชวงศ์ต้าตวนแน่นอน”

เฉาสือพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเตรียมสุราดีไว้รอแต่เนิ่นๆ”

จู่ๆ สวี่เจี่ยก็กดเสียงลงต่ำ พูดขอร้องว่า “เฉาสือ ไม่อย่างนั้นพวกเรามาต่อสู้กันสักตั้งดีไหม จากนั้นเจ้าก็จงใจแพ้ให้ข้า วันหน้าเวลาข้าไปจากภูเขาห้อยหัวจะได้เอาไปป่าวประกาศกับคนอื่นว่าตัวเองเอาชนะเฉาสือได้ เจ้าลองคิดดูสิ อีกสิบปีร้อยปีให้หลัง ถึงเวลานั้นไม่มีใครในใต้หล้าที่เป็นศัตรูกับเจ้าได้แล้ว เจ้าอาจถึงขั้นเอาชนะเต๋าเหล่าเอ้อร์ของใต้หล้ามืดสลัวได้ เปลี่ยนจากไร้ศัตรูมาเป็นมีศัตรูจริงๆ ข้าก็จะกลายเป็นคนเดียวที่เคยเอาชนะเจ้าเฉาสือได้ ถึงเวลานั้นคนทั่วทั้งใต้หล้าต้องถามแน่ๆ ว่าเจ้าหมอนี่เป็นใคร ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่อาจจะหันมามองข้าใหม่ก็เป็นได้”

เฉาสือยิ้มจนตาหยี มือหนึ่งถือชาม อีกมือหนึ่งตบศีรษะตัวเองเบาๆ “เอาเถอะ เจ้าสวี่เจี่ยเอาชนะข้าเฉาสือได้แล้ว ตอนออกไปจากภูเขาห้อยหัวเจ้าก็พูดกับคนอื่นแบบนี้ได้เลย”

สวี่เจี่ยรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้าไม่คิดอะไรมาก แต่ในอนาคตจะไม่เสียใจทีหลังหรือ?”

เฉาสือดื่มเหล้าในถ้วยแล้วก็หันหน้าไปกวักมือให้เถ้าแก่ผู้เฒ่า “เหล่าหลวี่ ตัดใจยกเหล้าหนึ่งไหให้ข้าได้ไหม? ตอนนี้ข้าเสียใจแล้ว หากไม่มีสุราลงท้องก็คงระงับความเสียใจไว้ไม่อยู่ หากมีเหล้าลืมทุกข์เพิ่มมาอีกไห อย่างน้อยก็คงไร้ทุกข์ไร้ความเสียใจไปอีกหนึ่งร้อยปี!”

สวี่เจี่ยหันไปมองเถ้าแก่วัยชราด้วยท่าทางน่าสงสาร

ผู้เฒ่ายิ้ม “สวี่เจี่ย ไปยกเหล้าอีกไหหนึ่งมาให้เฉาสือ อีกอย่างวันหน้าหัดจดจำความดีของเถ้าแก่เอาไว้บ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่แอบด่าว่าข้าขี้งก หรือไม่ก็บ่นที่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าออกไปท่องยุทธภพ”

สวี่เจี่ยวิ่งตุปัดตุเป๋ไปยกเหล้ามาเพิ่ม

เฉาสือเหลือเหล้าชามสุดท้ายแล้ว ระหว่างที่รอเหล้าไหใหม่ เขาก็ถือถ้วยเหล้าไว้ในมือ ลุกขึ้นเดินไปยืนใต้กำแพง ไล่สายตามองไปทั่วๆ นับจากครั้งแรกที่ดื่มเหล้าก็ห่างมาเกือบสามปีแล้ว ตัวอักษรใหม่บนผนังมีเพิ่มขึ้นไม่น้อย สุดท้ายเฉาสือมองไปยังตัวอักษรสามตัวที่อยู่ตรงมุมด้านล่างสุดซึ่งเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบแต่กลับคร่ำครึตายตัว จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “เหล่าหลวี่ ตัวอักษรที่เฉินผิงอันเขียนทิ้งไว้ก็คือ ‘ปราณกระบี่ยาว’ นี่น่ะหรือ?”

ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ทำไม เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดามากเลยหรือ?”

เฉาสือทรุดตัวลงนั่งยอง จิบเหล้าคำเล็กจากถ้วยขาวใบใหญ่ที่ถืออยู่ในมือ สายตาฉายประกายเร่าร้อน “เขาน่าจะเป็นคนที่มีขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดตามหลังข้ากระมัง”

ผู้เฒ่ารู้สึกเสียดายเล็กน้อย นกขมิ้นฝ่ายบู๊ในกรงตัวนี้มีเวลาที่จำกัดในการวิเคราะห์ความสั้นยาวของชะตาบู๊ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากไม่ใช่ตอนที่เขียนอักษร นกขมิ้นฝ่ายบู๊ก็ล้วนสามารถบินออกจากกรงมาจิกได้ตลอดเวลา แต่ผลกลับกลายเป็นว่าทั้งก่อนและหลังที่เฉินผิงอันเขียนตัวอักษร มีอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งมาประกบหัวและท้ายพอดี ช่วงระยะเวลาเช่นนี้ไม่ต้องหวังเลยว่านกขมิ้นฝ่ายบู๊จะบินออกจากกรง

มันไม่มีความกล้ามากขนาดนั้น

เฉาสือดื่มเหล้าลืมทุกข์กับสวี่เจี่ยหมดไปอีกหนึ่งไห

สวี่เจี่ยดื่มเหล้าไม่เก่ง ยิ่งดื่มก็ยิ่งเมา สุดท้ายจึงหลับเป็นตายอยู่บนโต๊ะ

เฉาสือคือคนประเภทที่ยิ่งดื่มสติก็ยิ่งแจ่มชัด ดวงตาเป็นประกายคมกล้า

จู่ๆ เฉาสือก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “หากไม่เป็นเพราะอาจารย์จะมารับข้า ข้าก็อยากจะไปใต้หล้าที่อยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สักครั้งจริงๆ มากสุดแค่สี่สิบห้าสิบปี ข้าคงกล้างัดข้อกับปีศาจใหญ่หลายตนแล้ว และก่อนหน้าที่จะเป็นเช่นนั้น ข้าต้องได้ผ่านศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายที่ได้ปล่อยฝีมืออย่างเต็มคราบครั้งแล้วครั้งเล่า”

ผู้เฒ่าหัวเราะ “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ขอแค่เจ้าเดินขึ้นไปบนหัวกำแพง เจ้าก็ตายแล้ว?”

เฉาสือถอนหายใจ

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก แค่ผู้เฒ่าให้คำชี้แนะเขาก็เข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้ง

เพราะมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าเขาเฉาสือจะเดินไปอยู่ในสายตาของปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุด กลายเป็นคนที่ต้องถูกสังหาร ไม่มีทางที่พวกเขาจะมอบเวลาสี่สิบห้าสิบปีให้เขาอย่างแน่นอน หรือแม้แต่วันเดียวก็อาจจะยังไม่มีให้

เฉาสือกล่าวอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแต่โดยดีเถอะ”

ผู้เฒ่ากล่าวเหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้เจตนา “บรรพบุรุษตระกูลต่งที่บุกสังหารอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จนสุดท้ายลุกผงาดขึ้นมาอย่างโดดเด่นมีแค่คนเดียวในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็พอแล้ว และก็จะมีได้แค่คนเดียวเท่านั้น หากเผ่าปีศาจยังจะเลี้ยงลูกเสือไว้เป็นภัย บ่มเพาะปลูกฝังให้เกิดเจ้าเฉาสือที่มีหวังว่าจะเป็นขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธ์อีกคน ข้ารู้สึกว่าพวกเขาก็ควรฆ่าตัวตายกันได้แล้ว”

เฉาสืออืมรับหนึ่งที “ข้าต้องถามอาจารย์ก่อนว่าได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบเอ็ดหรือไม่ ข้าหวังว่าจะไม่…”

ผู้เฒ่ายิ้มสัพยอก “ลูกศิษย์อย่างเจ้านี่ไร้มโนธรรมไปหน่อยไหม? ทำไมไม่เห็นความดีของอาจารย์บ้าง ในข้อนี้ เจ้ากลับมีนิสัยพอๆ กับสวี่เจี่ย ไม่ดีเลย เจ้าคือเฉาสือนะ จะทำตัวเหมือนคนธรรมดาสามัญแบบนี้ได้อย่างไร”

เฉาสือส่ายหน้า ชูฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะแล้วปาดลงไปเหนือโต๊ะนั่งเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าสายตากลับมุ่งมั่น “ตอนนี้วิถีวรยุทธ์ของอาจารย์สูงถึงขนาดนี้แล้ว จนแทบจะ…เทียบเคียงได้กับยอดของยอดเขาที่แท้จริง หากไม่ใช่ขอบเขตที่สิบเอ็ด ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ของข้า หรือไม่ก็ข้าในวันหน้า จะไม่…”

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ก็มารอดูกันได้เลย”

เฉาสือหันหน้าไปมองผู้เฒ่า “ผู้อาวุโสที่พูดง่ายอย่างท่าน มีน้อยมาก”

ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “นั่นก็เพราะตาแก่อย่างข้ายอมรับชะตากรรมแล้ว”

เฉาสือนั่งอยู่ที่โต๊ะเงียบๆ เสียงกรนของสวี่เจี่ยดังดุจเสียงฟ้าผ่า ผู้เฒ่าไปที่อื่นแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน แน่นอนว่าพื้นที่มงคลหวงเหลียงใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้เล็กน้อย ไม่ได้มีพื้นที่แค่ร้านเหล้าแห่งนี้ แต่ก็เสียหายเสื่อมสภาพไปแล้วจริงๆ หากไม่เป็นเพราะหนึ่งในบรรพบุรุษของเมธีร้อยสำนักท่านนี้พยายามรักษาไว้อย่างสุดความสามารถ เกรงว่าคงเป็นเหมือนถ้ำสวรรค์หลีจูที่สูญเสียคำเรียกเสริมว่า ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล’ อย่างสิ้นเชิงไปนานแล้ว

ในแต่ละวันเหล่าอริยะของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักยุ่งอยู่กับการทำอะไร?

ถ้ำสวรรค์ใหญ่สิบแห่ง ถ้ำสวรรค์เล็กสามสิบหกแห่ง พื้นที่มงคลเจ็ดสิบสองแห่ง เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปปริแตก ก็เหลือถ้ำสวรรค์เล็กแค่สามสิบห้าแห่งเท่านั้นหรือ?

ในความเป็นจริงแล้วเหล่าอริยะของใต้หล้าไพศาลจำเป็นต้องบุกเบิกที่ดินเพื่อขยายอาณาเขตของใต้หล้าไพศาล

ข้อนี้ไม่ค่อยเหมือนกับอริยะลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวเท่าใดนัก เพราะหลักๆ แล้วพวกเขาจะให้ความสำคัญกับระดับความสูงของป๋ายอวี้จิง หวังให้มันสูงขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่า

ส่วนใต้หล้าของลัทธิพุทธนั้นแสวงหาธรรมมะที่ยาวไกล อดีตชาติ ชาตินี้ ชาติหน้าล้วนให้คนมีชีวิตอยู่อย่างไร้ข้อกังขา ไร้ความยึดติด

แน่นอนว่าลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาล นอกจากบุกเบิกถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล อบรมให้ความรู้แก่ปวงประชาแล้ว ยังจำเป็นต้องคอยจับตามองเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วย

ใต้หล้าอีกสองแห่งก็ไม่ได้อยู่อย่างว่างๆ เช่นกัน

ลู่เฉินเจ้าลัทธิเต๋าเข้ามาสร้างปัญหาบ่อนทำลาย และคอยวางหมากวาดแผนการอยู่ในใต้หล้าไพศาล

แล้วหย่าเซิ่งของลัทธิขงจื๊อจะไม่รับลูกศิษย์ถ่ายทอดความรู้อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวบ้างเลยหรือ?

ในร้านเหล้า ต่อให้ไม่มีคนคุยด้วย ไม่มีเหล้าให้ดื่ม เฉาสือก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้นด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง

ยากจะจินตนาการได้ว่าคนบนวิถีวรยุทธ์จะรู้สึกว่าการฝ่าทะลุขอบเขตไม่น่าสนใจ ระงับขอบเขตเอาไว้ถึงจะสนุก

ตอนที่เถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับมา เขาถามยิ้มๆ ว่า “เฉาสือ นอกจากเดินขึ้นสู่ยอดบนสุดของวิถีวรยุทธ์ ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่คิดถึงอย่างอื่นบ้างเลยหรือ?”

เฉาสือยิ้มตอบ “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะคิดอะไรดี”

ผู้เฒ่าเอ่ยหยอกล้อ “ถ้าอย่างนั้นไม่สู้เจ้าทำเหมือนสวี่เจี่ยบ้านข้าและเด็กหนุ่มต้าหลีคนนั้น”

เฉาสือพยักหน้ารับ

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท