หนิงเหยาไม่ได้บอกเรื่องหนึ่งว่า
นางคือหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่ออยู่ในสมุดประหลาดเล่มนั้น อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย
ก่อนจะสิบขวบ ชื่อของหนิงเหยาก็ถูกบันทึกลงไปแล้ว
และลูกรักแห่งสวรรค์ในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็ล้วนถูกสังหารบนสมรภูมิรบทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งแต่ก่อนอายุสามสิบ โดยไม่มีข้อยกเว้น
สำหรับเรื่องนี้ เผ่าปีศาจไม่เคยเสียดายค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไป
ความเป็นหรือความตายของลูกรักสวรรค์คนหนึ่งมักจะเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของปีศาจใหญ่และเซียนกระบี่หนึ่งคนหรืออาจถึงหลายคนเสมอ
เพราะเผ่าปีศาจรู้สึกว่าบนหัวกำแพงเมืองมีเฉินชิงตูแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
หากมีหนิงชิงตูหรือเหยาชิงตูเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ไม่ใช่แค่เรื่องการตายของปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนแค่หนึ่งหรือสองตนอีกต่อไป
สิ่งที่ทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่จนใจมากที่สุดก็คือ ลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้ หากไม่ไปฝึกประสบการณ์ในสนามรบในเร็ววัน ไม่รีบลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความเป็นความตาย แต่ถูกเลี้ยงอยู่แค่ในเมืองทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้มีเซียนกระบี่หลายท่านตั้งใจอบรมสั่งสอน ก็ยังไม่มีความเป็นไปได้สักนิดที่จะเติบโตกลายมาเป็นเฉินชิงตู อาเหลียงหรือต่งซานเกิงคนถัดไป
จู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยู่ที่นี่ ที่จริงแล้วทำให้เจ้าต้องเสียสมาธิ ถ่วงเวลาการฝึกตนของเจ้าใช่ไหม?”
หนิงเหยาพยักหน้ารับพลางส่งเสียงอืมหนึ่งที ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
แต่นางก็พูดอย่างตรงไปตรงมาอีกว่า “แต่เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าดีใจมาก ตอนฝึกตนอยู่ที่แท่นสังหารมังกรในบ้านมักจะอดคิดถึงเจ้าบ่อยๆ ไม่ได้ พอคิดถึงแล้วก็เหม่อลอย เหม่อลอยเสร็จก็จะตรงมาหาเจ้า พอกลับไปถึงบ้านก็รีบร้อนจัดการธุระในตระกูลให้เสร็จสิ้น แล้วก็ดูเหมือนว่าวันหนึ่งจะผ่านไปเช่นนี้ ก่อนเข้านอนก็จะรอคอยให้ได้พบเจ้าในวันพรุ่งนี้”
นี่ก็คือหนิงเหยา
ฉีจิ้งชุนเคยเตือนจ้าวเหยาลูกศิษย์ในโรงเรียนที่หลงรักนางตั้งแต่แรกเห็นว่า ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ชอบหนิงเหยา เพราะนางคือกระบี่คมกริบที่ไร้ฝักเล่มหนึ่ง ง่ายที่จะทำร้ายคนใกล้ตัว หรือแม้กระทั่งตัวนางเอง
หนิงเหยามองโลกนี้โดยแบ่งแยกถูกผิด แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจนจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเย็นชาไร้น้ำใจ
เพียงแต่ว่าตอนนี้มีเฉินผิงอันเพิ่มมาหนึ่งคน
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “อย่างมากสุดสามวัน ข้าจะไปจากที่นี่ จากนั้นจะไปอุตรกุรุทวีปที่เหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ทั้งฝึกหมัดและฝึกกระบี่ พยายามเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด เมื่อมีคุณสมบัติเข้าร่วมการรบของที่นี่แล้ว ข้าจะกลับมาหาเจ้าใหม่!”
หนิงเหยาเงียบงัน รู้ดีว่าทำอย่างนี้ถูกต้องที่สุด แต่นางก็ยังไม่เต็มใจจะพูดมันออกไป ไม่เต็มใจจะพยักหน้า
กลับกันนางยังอดบ่นเจ้าคนข้างกายผู้นี้ไม่ได้ว่า ทำไมต้องตัดสินใจเร็วขนาดนี้
เฉินผิงอันอยากดื่มเหล้า แต่หนิงเหยากลับกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในมือแน่น แถมนางยังจงใจเปลี่ยนมือที่ถือน้ำเต้าคล้ายอยากให้มันอยู่ห่างๆ จากเฉินผิงอัน
หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “ในประวัติศาสตร์การโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเผ่าปีศาจจะยาวนานติดต่อกันประมาณยี่สิบสามสิบปี ให้เวลาเจ้าสิบปีในการเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด พอหรือไม่?”
แล้วหนิงเหยาก็พูดต่อด้วยสีหน้าขึงขัง “แค่สิบปี จะมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”
เฉินผิงอันขยับก้น หันหน้าเข้าหาหนิงเหยา พูดด้วยรอยยิ้ม “ตกลง แต่เจ้าก็ต้องรอข้าด้วยนะ”
หนิงเหยาเองก็เบี่ยงตัวกลับมาหันหน้าเข้าหาเขา ยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คืนให้เขาแล้วถึงได้พยักหน้ารับ “ตกลง”
เฉินผิงอันรับกาเหล้ามาแล้วก็แหงนหน้าดื่มเหล้า
หนิงเหยาพูดเบาๆ “ข้ามีข้อเสียมากมาย”
เฉินผิงอันยิ้มบาง “ไม่เป็นไร ข้าชอบเจ้า”
หนิงเหยาน้ำตาคลอ
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งที่สั่นเทาน้อยๆ ไปวางประคองลงบนแก้มนางเบาๆ
หนิงเหยาหน้าแดงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ปฏิเสธ นางแค่หลับตา เพราะไม่กล้ามองสบตาเขา
และในช่วงเวลาที่ฟ้าดินเงียบสงัดราวกับว่าบนโลกนี้เหลือแค่คนทั้งสองนั้นเอง เสียงกระแอมเบาๆ ก็ดังขึ้นอย่างไม่ถูกเวลา
เฉินผิงอันรีบหดมือกลับ ดื่มเหล้าปกปิดความกระอักกระอ่วนของตัวเอง ส่วนหนิงเหยาหันหน้าไปมอง บนคิ้วที่แคบยาวอัดแน่นไปด้วยปราณสังหาร แขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นก็คือปู่เฉินเซียนกระบี่เฒ่า เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่ไม่ห่างจากคนทั้งสองนัก พูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กลัวว่าเดี๋ยวจะลืม เลยต้องรีบมาพูดกับเฉินผิงอัน”
“พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ”
หนิงเหยารับกาเหล้ามาแล้วก็ขยับตัวหันหน้าไปทางเมือง หันหลังให้เซียนกระบี่เฒ่า
เฉินผิงอันกระโดดลงจากหัวกำแพง เอ่ยถาม “ท่านปู่เฉิน มีเรื่องอะไรหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ทางทิศใต้มีภาพวาดของผู้เฒ่าตาบอดที่สวยงาม ทางทิศตะวันตกมีน้ำแกงไก่ของลาหัวโล้นเฒ่าที่อร่อย ภาคกลางมีตัวอักษรของบัณฑิตที่สง่างาม ข้ารู้สึกว่าคนเหล่านี้น่าสนใจมาก แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือตาแก่พวกนี้ แต่ละคนหนังเหนียวกันทั้งนั้น”
หนิงเหยาหันหน้ามาอย่างอดไม่อยู่ “ท่านปู่เฉิน ตามคำพูดของท่านก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าทะเลบูรพายังมีนักพรตจมูกวัวหน้าเหม็นอยู่อีกคนหรอกหรือ?”
เซียนกระบี่เฒ่าพยักหน้ารับ “ก็เพราะว่าคิดถึงเจ้าหมอนั่นถึงได้มาพูดกับเฉินผิงอันอย่างไรล่ะ”
หนิงเหยาฉงนสนเท่ห์
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าชี้นิ้วไปที่เฉินผิงอัน “จะซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าหรือไม่ อันที่จริงไม่ได้มีความหมายมากนัก ไม่สู้เลือกใช้วิธีอื่น ดังนั้นจึงต้องไปหานักพรตคนนี้ ทว่าก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าจะถูกปฏิเสธ แต่ข้ารู้สึกว่าในเมื่อเจ้าสามารถเดินมาถึงที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นข้อยกเว้น”
หัวใจของเฉินผิงอันบีบรัดตัว เอ่ยถามว่า “ท่านปู่เฉิน ควรจะไปหายอดฝีมือท่านนี้ที่ไหน ไปที่ทะเลบูรพาอย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าแจกันสมบัติทวีปของพวกเราก็ตั้งอยู่บนทะเลบูรพาอยู่แล้วนะ”
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไปที่อาคเนย์ใบถงทวีป ไปหาอารามกวานเต๋าแห่งหนึ่ง”
เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เขาลังเลเล็กน้อย นี่ไม่ค่อยสอดคล้องกับความตั้งใจเดิมของเขาสักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเซียนกระบี่ผู้เฒ่าพูดขนาดนี้แล้ว แสดงว่าต้องมีความนัยที่ลึกซึ้งอย่างอื่นแน่นอน แต่เฉินผิงอันก็ยังกังวลใจกับคำสัญญาสิบปีนั้น ความยากลำบากในการเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของตนทำให้เฉินผิงอันไม่กล้ามองโลกในแง่ดีต่อการเลื่อนขอบเขตอีกสามลำดับอย่างห้าหกเจ็ดเท่าใดนัก
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “กล่องกระบี่ไม้ไหวของเจ้ามีที่มาไม่ธรรมดา ไม่สู้ให้ข้ายืมสักสิบปี ข้าสามารถเอากระบี่อีกเล่มหนึ่งมาแลกกับเจ้า สิบปีให้หลังค่อยมาแลกกลับคืนไป และเมื่อเจ้าไปถึงใบถงทวีปแล้ว กระบี่เล่มนี้จะช่วยชี้ทางให้เจ้าคร่าวๆ ช่วยให้เจ้าตามหานักพรตเฒ่าแห่งทะเลบูรพาผู้นั้น ส่วนข้อที่ว่าหลังจากเจ้าโชคดีตามหาเขาเจอแล้ว เขาจะยินดีช่วยเหลือเจ้าหรือไม่ ก็ต้องดูที่โชควาสนาของเจ้าเฉินผิงอันเองแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง!”
เฉินผิงอันปลดกล่องกระบี่ ดึงกระบี่ไม้ไหวปราบมารออกมา หนิงเหยาถามว่า “ทิ้งกระบี่ไม้ไหวไว้ให้ข้าได้ไหม? ข้าเองก็จะเอากระบี่เล่มหนึ่งมาแลกกับเจ้าเหมือนกัน”
เฉินผิงอันเกาหัว “กระบี่ไม้ไหวเป็นของที่อาจารย์ฉีมอบให้ข้า ไม่สามารถส่งต่อให้เจ้าได้ แต่หากเจ้าอยากเก็บไว้ข้างตัวก็ไม่มีปัญหา อีกอย่าง เจ้าไม่ต้องมอบกระบี่ให้ข้าหรอก กำแพงเมืองปราณกระบี่ขาดแคลนกระบี่ขนาดนี้ แถมข้าเองก็ยังไม่ได้ใช้”
หนิงเหยากวักมือ เฉินผิงอันจึงโยนกระบี่ไม้ไหวไปให้นางเบาๆ จากนั้นก็ส่งกล่องกระบี่ไปให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่า
ยันต์แผ่นที่เดิมทีเอาใส่ไว้ในกล่องกระบี่ไม้ได้ถูกเฉินผิงอันเก็บใส่กระบี่บินสืออู่ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามายังกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว หาไม่แล้วเกรงว่าผีสาวโครงกระดูกก็คงแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีอยู่ที่นี่ไปนานแล้ว
วินาทีที่มือของผู้เฒ่าสัมผัสกับกล่องกระบี่ไม้ไหว มันก็หายไปท่ามกลางความว่างเปล่า
จากนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วแล้วปาดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ระหว่างผู้เฒ่าและเฉินผิงอันมีกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าใช้สายตาบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันรับไป
เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมา กระบี่ยาวหล่นลง เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะสามารถรับกระบี่เล่มนี้ไว้ได้ง่ายๆ ผลกลายเป็นว่าเขาเซถอยหลังเกือบจะล้มก้นจ้ำเบ้า
เซียนกระบี่ผู้เฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “กระบี่ชื่อว่าปราณยาว ฝักและตัวกระบี่หนักแค่เจ็ดจินเท่านั้น (ประมาณสามกิโลครึ่ง) ทว่าปราณกระบี่กลับหนักถึงแปดสิบจิน (สี่สิบกิโล) ผู้ที่แบกกระบี่ไว้ด้านหลังจะสามารถหล่อหลอมจิตวิญญาณได้ทั้งวันทั้งคืน”
เฉินผิงอันไม่มีกล่องกระบี่แล้วจึงไม่สามารถนำ ‘ปราณยาว’ เล่มนี้มาสะพายไว้ด้านหลังได้ ได้แต่ยืนกอดกระบี่ด้วยสองมือเท่านั้น
เซียนกระบี่ผู้เฒ่ามองประเมินเฉินผิงอันแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ในที่สุดก็มีท่าทางของเซียนกระบี่สักที”
หนิงเหยาพลันหันขวับไปมองทางทิศใต้
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงมารบกวนพวกเจ้าสองคน”
สายตาของหนิงเหยาเฉียบกร้าว ขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศในทันที
ผู้เฒ่าหันหน้ามาพูดกับเฉินผิงอัน “รีบบอกลากับแม่หนูหนิงซะ ข้าจะส่งเจ้ากลับภูเขาห้อยหัว”
เฉินผิงอันยืนกอดกระบี่ แหงนหน้ามองหนิงเหยา แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
หนิงเหยาเองก็ก้มหน้าลงมา นางรีบโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เฉินผิงอัน
ผู้เฒ่าพูดยิ้มๆ “ความรักของหนุ่มสาวมากล้นไม่แพ้ปราณกระบี่เลย ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ ความรักความอาลัยที่อัดแน่นเต็มอก เก็บไว้ค่อยมาพูดกันคราวหน้าเถอะ”
ผู้เฒ่างอนิ้วดีดเบาๆ เฉินผิงอันที่เพิ่งจะรับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พลันถอยกรูดไปด้านหลัง
นาทีถัดมา รอจนเฉินผิงอันยืนได้มั่นคงแล้วก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนหัวกำแพง แต่มาอยู่ตรงลานกว้างตีนเขาภูเขาเดียวดาย
ที่นี่มีเพียงดวงตะวันที่ส่องแสงแรงกล้า ไม่ได้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่พระจันทร์ลอยพร้อมกันสามดวงอย่างใต้หล้าแห่งนั้น
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ามองเด็กหนุ่มถือกระบี่หิ้วน้ำเต้าที่ยืนเซ่อ
ก็แค่จากลาเท่านั้น
แต่กลับทำให้เฉินผิงอันถึงขนาดลืมไปว่าตัวเองมีสุราให้ดับทุกข์
บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม่นางน้อยมัดผมแกละคนหนึ่งนั่งอยู่ริมขอบกำแพง สองขาแกว่งไกว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าอยากเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เวลาดีใจก็ผลิดอกเบ่งบานในฤดูใบไม้ร่วง เวลาเสียใจก็ปลิดใบร่วงหล่นในฤดูใบไม้ผลิ”
—–