เฉินผิงอันมาที่หอสูงใจกลางทะเลสาบแห่งหนึ่ง กวาดตามองไปรอบด้านก็เห็นน้ำทะเลสาบสีเขียวมรกต คลื่นน้ำกระเพื่อมแผ่เป็นวงกว้าง ไอหมอกลอยกรุ่น เหนือทะเลสาบมีหอเรือนร้อยกว่าแห่งลอยตัวอยู่ ระหว่างหอเรือนมีเส้นทางสายเล็กเชื่อมโยงพวกมันเข้าด้วยกัน หอเรือนแต่ละหลังผูกเรือแจวสองสามลำไว้รอให้คนล่องไปชมทัศนียภาพของทะเลสาบ
สี่ด้านแปดทิศของหอสูงมีเด็กสาวชุดกระโปรงสีเขียวหุ่นอรชรอ้อนแอ้น ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยสิบสามสิบสี่ปี แต่ละคนหน้าตาโดดเด่น คอยทำหน้าที่ชี้นำทางให้แก่ผู้โดยสาร
หอเรือนที่เฉินผิงอันพักอาศัยมีชื่อว่า ‘เรือนภูเขาร่มเงา’ ตอนที่ซื้อป้ายหยก อีกฝ่ายแนะนำว่าหอเรือนแห่งนี้สูงสามชั้น สามารถอยู่อาศัยร่วมกับคนอื่นได้หลายคน ประหยัดได้มากกว่าเดิม เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็เลือกที่จะปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
ทางฝ่ายของเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติไม่รู้สึกว่ามีอะไรประหลาด ผู้ที่บำเพ็ญตนมักชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพัง นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่หาเงินได้อย่างยากลำบากมักจะเคยชินกับการคิดคำนวณอย่างรอบคอบ จึงเต็มใจที่จะพักอาศัยร่วมกับคนแปลกหน้า เพราะไม่แน่ว่าอาจเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ใหม่ๆ ขึ้นมา บนมหามรรคา มีสหายมากหน่อย ต่อให้จะเป็นเพียงความสัมพันธ์ผิวเผินที่แค่เคยผงกศีรษะทักทายกันก็ไม่ใช่เรื่องร้าย ไม่แน่ว่าวันใดโชคดีก็อาจได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่
หลังจากหญิงสาวชุดกระโปรงสีเขียวของทะเลสาบน้ำมรกตช่วยบอกทิศทางให้ เฉินผิงอันก็ลงจากหอสูง เดินช้าๆ ไปบนทางสายเล็กสายหนึ่งที่อยู่เหนือทะลสาบ สองฝั่งข้างกายหรือไม่ก็เหนือศีรษะมีเซียนซือขี่กระบี่ บ้างก็ทะยานลมผ่านไปเป็นระยะ เฉินผิงอันเดินไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ด้านหลังก็มี ‘สาวงาม’ ยกชายกระโปรงวิ่งเหยาะๆ ตามมาด้วยท่าทางน่ารักซุกซน
เฉินผิงอันคือคนที่ไม่กลัวความลำบาก ตั้งแต่ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรซึ่งต้องทำงานหนักคอยรองรับคำด่า ไปจนถึงตอนที่คุ้มกันพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวไปส่งที่สำนักศึกษาต้าสุย ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ล้วนเป็นเฉินผิงอันที่คอยให้การดูแลอย่างใส่ใจ เฉินผิงอันไม่กลัวความลำบากประเภทนี้ก็จริง แต่เขากลับกลัวความลำบากอีกชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นนักพรตสำนักหยินหยางที่ชื่อว่าลู่ไถคนนี้ แม้ลางสังหรณ์ของเฉินผิงอันจะไม่เกิดความรู้สึกที่ไม่เหมาะสมใดๆ ไม่ได้รู้สึกกดดันและอึมครึมเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับฝูหนันหัวหรือชุยฉานในช่วงแรกๆ แต่หากยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเรื่องหนึ่งจะดีหรือเลว เฉินผิงอันก็เคยชินที่จะทำให้ตัวเองแน่ใจก่อนว่าเรื่องนั้นๆ ‘ไม่เลว’
ที่ภูเขาห้อยหัว มีคนมากน้อยแค่ไหนที่แม้แต่ตอนหลับฝันก็ยังปรารถนาจะได้ข้ามธรณีประตูจวนหยวนโหรวของตระกูลหลิว?
แต่เฉินผิงอันที่หลังจากได้ยินคำกล่าวว่า ‘หอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ข้างจวนหยวนโหรว’ และพอจะแน่ใจน้ำหนักของตระกูลหลิวในธวัลทวีปคร่าวๆ แล้ว เรื่องแรกที่เขาทำก็คือขีดเส้นความสัมพันธ์กับหลิวโยวโจวที่สร้างความประทับใจไม่เลวแก่เขาคนนั้นทันที อาจเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันเอนเอียงเข้าหาความรู้สึกที่ได้ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยวในถ้ำสวรรค์หลีจูมากกว่า เนื่องจากความรู้สึกนั้นได้ฝังลึกตรึงอยู่ในใจเขามาเนิ่นนานแล้ว
ลูกหลานสกุลลู่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่บอกว่าตัวเองชื่อลู่ไถเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน หันหน้ามามองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันแล้วยิ้มหวานพูดว่า “โกรธหรือ? เป็นผู้ชายจะใจแคบแบบนี้ได้อย่างไร ต้องใจกว้างหน่อย เมื่อใจกว้างแล้วก็สามารถรองรับโชควาสนาได้มากตามไปด้วย เจ้าคงจะเคยได้ยินคำว่าวิญญูชนมิใช่เครื่องใช้ภาชนะของลัทธิขงจื๊อมาบ้างกระมัง?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้ามามองคนประหลาดผู้นี้ “เจ้าคอยมาอยู่ข้างกายข้าเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่? คำทำนายมหามงคลนั่นของเจ้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าสักหน่อย…”
ลู่ไถยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร ข้าใช้เงินฝนธัญพืชเหรียญที่เจ้ามอบให้ข้ามาทำนายเชียวนะ เกี่ยวกับเจ้ามากเลยล่ะ ในโชควาสนาครั้งนี้เจ้าก็คือคนที่…”
คราวนี้เป็นเฉินผิงอันบ้างที่ตัดบทคำพูดของเขา “เงินฝนธัญพืชไม่ได้ให้เจ้า ให้ยืม”
ลู่ไถขมวดคิ้วที่โก่งงอนเรียวบางเหมือนสตรี ตั้งใจคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พูดถึงแต่เรื่องเงินจะทำลายความสัมพันธ์เอาได้ ไม่สู้พวกเรามาทำการค้าเล็กๆ กันสักครั้ง ข้าจะเอาสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่ข้ารักมาแลกเปลี่ยนกับเงินฝนธัญพืชจากเจ้า?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ติดไว้ก่อนเถอะ”
ลู่ไถพูดเหมือนน้อยใจ “ทำไมเจ้าต้องกลัวข้าขนาดนี้ด้วย? ทำไมต้องมองข้าเป็นดั่งภัยพิบัติชั่วร้าย? เจ้าคิดดูนะ บนเส้นทางของการฝึกตน เมื่อได้พบเจอคนที่ถูกชะตา จับมือกันท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ชื่นชมภูเขาและแม่น้ำไปด้วยกัน นั่นจะเป็นเรื่องที่งดงามขนาดไหน?”
เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที
ที่แท้ใต้หล้านี้ก็มีเรื่องที่ใช้เหตุผลมาพูดไม่ได้จริงๆ เขาไม่รู้แล้วว่าควรจะเปิดปากอธิบายอย่างไร
คนทั้งสองเดินหน้าไปด้วยกันเงียบๆ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ส่วนลู่ไถเหลียวซ้ายแลขวา พูดพึมพำกับตัวเองว่า “พื้นที่ลับแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของถ้ำสวรรค์น้อยฉุยฮวา เทพธิดาสาวท่านหนึ่งที่ชอบเก็บรวบรวมน้ำพุในโลกเป็นผู้ครอบครอง น่าเสียดายก็แต่สุดท้ายนางล้มเหลวตอนขอบเขตบินทะยาน ไม่เพียงแต่ร่างดับมรรคาสลาย ยังถูกวิถีสวรรค์แว้งกลับมาโจมตี เดือดร้อนให้ถ้ำสวรรค์ฉุยฮวาแตกสลายตามไปด้วย ชิ้นส่วนส่วนใหญ่สลายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน ทะเลสาบน้ำมรกตแห่งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เพราะน้ำทะเลสาบในรัศมีสามร้อยลี้นี้ล้วนเป็นหนึ่งในน้ำพุมีชื่อเสียงที่เทพธิดาสาวเก็บรวบรวมเอาไว้ในปีนั้น ขอแค่เจ้าคว้าจับสายน้ำเล็กๆ เส้นหนึ่งซึ่งมีแก่นของน้ำพุซ่อนอยู่มาได้ ก็เหมาะที่จะนำมาต้มชาดื่มมากที่สุด”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว หลังจากเดินไปได้ประมาณสี่ห้าลี้ก็เห็นเรือนภูเขาร่มเงาที่สูงสามชั้นแห่งนั้น รอบด้านของหอเรือนคือระเบียงทางเดินที่อยู่ใต้ชายคาซึ่งโอบล้อมด้วยราวระเบียงหยกขาว ยังมีท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีเรือแจวสองลำจอดเทียบท่า บริเวณใกล้เคียงกับเรือนภูเขาร่มเงามีดอกบัวชูช่อเป็นผืนใหญ่ หญิงสาวเก็บดอกบัวคนหนึ่งกำลังพายเรือลอดไปตามช่องว่างพลางคลอบทเพลงพื้นบ้านอยู่ในลำคอ เป็นภาพที่นุ่มนวลน่าประทับใจ
เฉินผิงอันหยุดเดินแล้วเอ่ยเตือนว่า “ข้าถึงแล้ว”
ลู่ไถพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันเห็นว่าเขาแกล้งไขสือก็ถามเข้าประเด็นโดยตรง “วันนี้ข้าคงไม่เชิญเจ้าเข้าไปนั่งข้างในแล้ว หากว่างเมื่อไหร่ข้าจะไปหาเจ้าแล้วกัน เจ้าพักอยู่ในหอเรือนใด?”
ลู่ไถชี้ไปที่เรือนภูเขาร่มเงา
เฉินผิงอันยิ้มจืดชืด “คุณชายลู่เลิกล้อเล่นเถอะ”
ลู่ไถชูสองมือขึ้นทำท่าว่ามีเงินร้อนน้อยอยู่ในมือกอบใหญ่ “เมื่อครู่ตอนอยู่หอสูงใจกลางทะเลสาบ ด้วยจำต้องหาทางเอาชีวิตรอด แล้วก็คิดว่าพวกเราสนิทกันขนาดนี้ ถึงอย่างไรเจ้าก็น่าจะยอมให้ข้าพักด้วย เลยขายที่พักของข้าให้กับเทพเซียนคนหนึ่งที่มีเงินมากไปแล้ว”
สีหน้าของเฉินผิงอันไม่ค่อยน่ามองนัก
บนโลกมีคนที่หน้าด้านเกาะติดคนอื่นเหนียวหนึบยิ่งกว่าตังเมแบบนี้ได้อย่างไร?
ลู่ไถพลันหัวเราะ “ก็ได้ๆ ข้าจะบอกกับเจ้าตามตรงก็แล้วกัน การเดินทางไปใบถงทวีปในครั้งนี้ นอกจากข้าจะทำนายได้เซียมซีดีเยี่ยมว่า ‘แต่งตั้งโหว’ แล้ว อันที่จริงยังทำนายได้ด้วยว่าโชควาสนาครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่วัตถุล้ำค่า แต่อยู่ที่ ‘ขึ้นดาดฟ้าพิศมรรคา’ ห้าคำนี้ เดินทางร่วมกับเจ้า อาศัยสภาพจิตใจของเจ้า ไม่ว่าจะดีเลวหรือสูงต่ำก็ล้วนสามารถขัดเกลาจิตแห่งเต๋าของข้าได้ นี่เรียกว่าใช้หินของภูเขาลูกอื่นมาเกลาเป็นหยก…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่ไถก็หัวเราะหึหึแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “ผิดแล้วๆ ต้องพูดว่าอาศัยหยกของภูเขาคนอื่นมาตีหิน!”
เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาคำพูดของลู่ไถ แต่พอลู่ไถเอ่ยสองคำว่า ‘พิศมรรคา’ (ตรงกับคำว่ากวานเต๋าของอารามกวานเต๋าที่เฉินผิงอันกำลังตามหา) ออกมา เฉินผิงอันก็ทั้งกังวลใจและทั้งวางใจ
วางใจเพราะลู่ไถน่าจะไม่ได้พูดจาส่งเดช ดังนั้นจึงไม่ได้มีแผนการร้ายที่หมายเล่นงานเขาเฉินผิงอันโดยเฉพาะ กังวลก็เพราะตนต้องไปตามหาอารามกวานเต๋าและนักพรตเฒ่า แล้วนี่ดันมีลู่ไถที่ไม่รู้ชาติกำเนิดเพิ่มมาคนหนึ่ง ไม่เรียกว่าปัญหาแทรกซ้อนจะเรียกว่าอะไร?
ลู่ไถลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกัดฟันพูดเหมือนเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ “หากเจ้าระแวดระวังข้าทุกเรื่องขนาดนี้ต้องส่งผลกระทบต่อวาสนาการ ‘พิศมรรคาแต่งตั้งโหว’ ของข้าอย่างแน่นอน ข้าสามารถช่วยพยากรณ์อย่างจริงจังให้เจ้าได้หนึ่งครั้ง ขอแค่ไม่ได้เกี่ยวพันกับบุคคลใหญ่ที่ร้ายกาจจนเกินไป การทำนายของข้าก็นับว่าแม่นยำอยู่เหมือนกัน แต่หากเกี่ยวพันกับเทพเซียนห้าขอบเขตบน ข้าก็ต้องลำบากแน่ ลำบากยิ่งกว่านอนอยู่บนเรือลำเล็กอะไรนั่นนับร้อยนับพันเท่า! เฉินผิงอัน โอกาสหาได้ยาก อย่าได้พลาดเด็ดขาดเชียว!”
ดูเหมือนลู่ไถกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อจึงจ้องหน้าเฉินผิงอันเขม็ง “ไม่ได้หลอกเจ้า!”
เฉินผิงอันถอนหายใจ โบกมือปฏิเสธคำแนะนำของลู่ไถ พูดแค่ว่า “เจ้าพักอยู่ในเรือนภูเขาร่มเงานี่ไปเถอะ แต่หลังจากนี้เจ้ากับข้าต่างคนต่างฝึกตน น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง”
ลู่ไถมีสีหน้าประหลาด เหม่อมองแผ่นหลังของเฉินผิงอันอยู่พักหนึ่งก็พลันคืนสติ สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นโล่งอก รีบเดินเร็วๆ ตามไป
สุดท้ายเฉินผิงอันพักอาศัยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ลู่ไถเลือกชั้นสาม ตรงกลางมีชั้นสองกางกั้น
ลู่ไถนอนอยู่บนเตียงที่ชั้นสามอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้าเกียจคร้านและพึงพอใจ เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะร่า ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดจริงๆ
ในเมื่อมาแล้วก็ควรพักอยู่ที่นี่อย่างสงบ
เฉินผิงอันไม่สนใจลูกศิษย์สำนักหยินหยางที่ลึกลับเหมือนมีเมฆหมอกปกคลุมผู้นั้นอีก นอกจากกระบี่ยาวที่สะพายไว้ข้างหลังและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวแล้ว เขาก็ไม่มีของนอกกายอย่างอื่นอีก เดินทางเพียงลำพังสบายตัวอย่างมาก อย่างเดียวที่ไม่ดี แน่นอนว่าคือลู่ไถที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิต
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะติดกับหน้าต่าง หยิบเอาตำราปึกหนึ่งออกมาจากวัตถุฟางชุ่นสืออู่ได้แก่ ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ซึ่งเป็นตำราเทพเซียน หนังสือสองเล่มที่สอนภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและของใบถงทวีป รวมไปถึงบันทึกภูเขาและแม่น้ำหลายเล่มที่ได้มาจากแคว้นไฉ่อี ทั้งหมดถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็หยิบแผ่นไม้ไผ่ล้ำค่าที่มาจากภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ คิดว่านอกจากจะอ่านหนังสือแล้วจะถือโอกาสสลักตัวอักษรลงไปด้วย
ทุกวันตอนเช้าจะฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ตอนบ่ายฝึก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ตอนกลางคืนอ่านหนังสือ เรียนรู้ภาษาทางการของสองทวีป
ที่น่าประหลาดมากก็คือ ทั้งๆ ที่เป็นแค่พื้นที่ลับที่ปริแตก ที่ทะเลสาบน้ำมรกตแห่งนี้กลับยังมีภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขึ้นและตกอยู่เหมือนเดิม แล้วก็มีการแบ่งแยกกลางวันกับกลางคืน ไม่รู้ว่าเป็นเวทอำพรางตาชั้นเยี่ยมของเซียน หรือคือกฎอันเป็นเอกลักษณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหลังถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลปริแตกแล้ว?
เวลาที่เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งจะต้องวนรอบระเบียงวงกลมที่ล้อมอยู่รอบหอเรือน
ลมเย็นพัดโชย กลิ่นหอมของดอกบัวลอยมาปะทะจมูก ยังคงได้ยินเสียงบทเพลงพื้นบ้านของหญิงสาวเก็บดอกบัวดังลอยมาแว่วๆ เด็กหนุ่มชุดขาวออกหมัดอย่างเชื่องช้า
ฝึกกระบี่ตอนกลางวัน เฉินผิงอันจะอยู่แค่ในชั้นหนึ่งที่กว้างขวางเท่านั้น ไม่ได้ออกไปที่ระเบียงนอกหอเรือน แล้วก็ยังคงทำท่าจับกระบี่มายา
เพราะ ‘ปราณกระบี่’ กระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังสามารถหล่อหลอมจิตวิญญาณได้ เดิมทีก็ถือเป็นการฝึกตนอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ต่อให้นอนหลับตอนกลางคืน เฉินผิงอันก็ไม่ได้ปลดมันลงมา แต่เลือกที่จะนอนหลับด้วยท่าตะแคงข้าง
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แขวนสูงไว้ด้านหน้าเตียง ตอนนี้เขาไม่ได้ดื่มเหล้าบ่อยๆ อีกแล้ว จึงไม่ได้เอามันมาห้อยไว้ที่เอวเป็นประจำ จิตใจของเขาเชื่อมโยงกับสองบรรพบุรุษน้อยอย่างชูอีและสืออู่นานแล้ว ตลอดระยะทางนับพันนับหมื่นลี้ที่ผ่านมา ได้อยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็ยิ่งรู้ใจกันมากขึ้น การสื่อสารยิ่งราบรื่น ดูเหมือนว่าสติปัญญาของกระบี่บินทั้งสองเล่มเริ่มสุกงอมเหมือนผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว
หลังจากที่เฉินผิงอันนอนหลับก็มอบหน้าที่ให้พวกมันช่วยดูแลบ้านให้ ชูอีไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนสืออู่ที่อ่อนโยนว่าง่ายมากกว่ากลับ ‘พยักหน้าตกลง’ อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างยินดี
ตอนกลางคืนระหว่างที่อ่านหนังสือ เฉินผิงอันก็จะหยิบ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มนั้นออกมาจากสืออู่ชั่วคราว หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ เขาค้นพบว่าตัวเองสามารถวาดยันต์เพิ่มขึ้นได้อีกสองชนิด ชนิดหนึ่งคือ ‘ยันต์คำสั่งกระบี่แม่น้ำภูเขา’ ภูเขาในที่นี้แบ่งเป็นสามภูเขา แต่คือสามภูเขาใดบ้าง ในหนังสือกลับไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด การอธิบายคำว่าแม่น้ำของยันต์นี้ก็กว้างและคลุมเครืออย่างมาก พูดแค่ว่ามีเทพพิทักษ์แม่น้ำ ทำหน้าที่ ‘กำจัดความชั่วร้ายทำลายความเลวทราม’ ชอบ ‘เขมือบกลืนหมื่นวิญญาณ’
ยันต์คำสั่งกระบี่คือยันต์ประเภทที่ใช้คุ้มกันกาย ส่วนยันต์ประเภทที่สองคือ ‘ยันต์ขอฝน’ มีความหมายตรงกับชื่อ ว่าเมื่อ ‘ฟ้าดินมืดอึมครึม ฝนห่าใหญ่ไหลท่วมทับ’ ยันต์นี้ถือเป็นหนึ่งในยันต์ที่ใช้ทำพิธีบวงสรวง เป็นยันต์ที่พระอาจารย์ผู้ทำพิธีที่มีวิชาสูงส่งส่วนใหญ่เชี่ยวชาญ เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกสนใจเท่าใดนัก
เมื่อเทียบกับยันต์ปราณหยางส่องไฟ ยันต์กำจัดคราบสกปรกและยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแล้ว ระดับขั้นของยันต์สองชนิดนี้สูงกว่าเล็กน้อย เฉินผิงอันค่อนข้างให้ความสำคัญกับยันต์คำสั่งกระบี่ จึงเอากระดาษสีเหลืองที่ธรรมดาที่สุดมาเขียนเป็นยันต์หนึ่งแผ่น เขาเขียนได้สำเร็จอย่างถูไถ หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์แล้ว จิตวิญญาณก็ยิ่งมั่นคงและแน่นหนามากขึ้น ตอนที่สามจิตแล่นผ่านทะเลสาบหัวใจ เขาก็มักจะได้ยินเสียงน้ำหยดดังมาแว่วๆ เสมอ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมองออกว่าพลังจิตในการเขียนยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนี้ไม่มากพอ เพียงแต่ว่าอานุภาพที่แน่นอนจะมีมากเท่าไหร่ เพราะชั้นบนมีลู่ไถอาศัยอยู่ด้วยจึงไม่มีโอกาสได้พิสูจน์
ผ่านไปสิบวัน บางครั้งจะได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ชั้นสอง แต่จำนวนครั้งไม่มากนัก ลู่ไถไม่เคยลงมารบกวนเฉินผิงอันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เฉินผิงอันจึงพอจะวางใจได้บ้างเล็กน้อย
โชควาสนาที่พุ่งมาหาตนอย่างไร้สาเหตุ ไม่ได้คาดหวังให้เป็นบุญสัมพันธ์ ขอแค่ไม่ใช่กรรมสัมพันธ์ก็พอแล้ว
—–