กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 286.2 ชาดหนึ่งตลับ

บทที่ 286.2 ชาดหนึ่งตลับ

คืนวันนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเขียนยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นที่สองเสร็จ เขาก็ยังคงไม่พอใจเท่าไหร่นัก

นี่ก็เหมือนการขึ้นรูปเผาเครื่องปั้น ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปสองชิ้นที่มองดูเหมือนคล้ายกันมาก แต่หากผู้เชี่ยวชาญมองอย่างละเอียดก็สามารถมองออกถึงความต่างราวฟ้ากับเหวในปราดเดียว

หรือว่าจะต้องไปตามหาวิญญาณวีรบุรุษที่ยังคงเข่นฆ่าสังหารไม่หยุดในซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่งจริงๆ ถึงจะสามารถทำให้ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์มีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบได้? ถึงเวลานั้นถึงจะสามารถควบคุมยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว?

เฉินผิงอันขมวดคิ้วครุ่นคิดลึกซึ้ง แล้วจู่ๆ ก็หันขวับไปมอง เห็นเพียงว่าลู่ไถเดินลงบันไดมา พอหยุดเดินแล้วก็ยื่นมือไปเคาะผนังเหมือนแขกที่เคาะประตู จากนั้นเขาก็นั่งลงบนขั้นบันได ส่งยิ้มมาให้ แต่ไม่ได้เดินลงมาที่ชั้นหนึ่ง

เฉินผิงอันกำลังคิดว่าจะเอา ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ปิดทับยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนั้น ลู่ไถกลับหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ขึ้นมาเสียก่อน “จะปกปิดอำพรางไปทำไม แค่ยันต์โบราณที่หายสาบสูญไปแล้วแผ่นเดียวเท่านั้น แถมระดับขั้นก็ไม่ได้สูง แค่มีดีที่ความบริสุทธิ์เพราะกลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมที่แท้จริงเท่านั้น เมื่อครู่นี้ข้าชำเลืองมองไปแวบหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจก็เจ็บปวดจนหัวใจสั่นไปหมด จนถึงตอนนี้ยังปวดหัวใจอยู่เลย”

เฉินผิงอันถาม “หมายความว่าอย่างไร?”

ลู่ไถชี้ไปยังยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนั้น “ยันต์คุ้มกันกายชิ้นนี้มีที่มายิ่งใหญ่มาก ตลอดทั้งตระกูลลู่ คนที่อายุพอๆ กับข้า เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถมองรากฐานของมันออก ดังนั้นการที่ข้าเจ็บปวดหัวใจก็เพราะหนึ่ง เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว เขียนยันต์โบราณบริสุทธิ์ออกมาได้แย่ขนาดนี้ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก…”

เฉินผิงอันอดพูดแทรกไม่ได้ “ผู้ฝึกยุทธ์เขียนยันต์ถึงจะไม่สมเหตุสมผลมากกว่ากระมัง?”

ลู่ไถกระตุกมุมปาก “อ้อ แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นบันทึกในตำราตระกูลลู่ของข้าก็คงมีข้อผิดพลาด หรือไม่ก็เป็นข้าที่ความรู้ตื้นเขิน”

ลู่ไถไม่อยากลงลึกในหัวข้อนี้ จึงแค่พูดต่อว่า “สอง การวาดยันต์ของเจ้า ส่วนใหญ่แล้วล้วนอาศัยพู่กันด้ามนั้น ไม่ใช่อาศัยความรู้ความเข้าใจที่เจ้ามีต่อยันต์แผ่นหนึ่งว่าลึกซึ้งเท่าไหร่ อืม อาจจะเป็นประมาณว่าเจ้ามองเห็นทัศนียภาพที่แท้จริง แต่เส้นทางที่เจ้าเดินไปยังทัศนียภาพแห่งนั้นบิดๆ เบี้ยวๆ ดังนั้นยันต์ที่วาดออกมาจึงใช้ได้ แต่แค่ใช้ไม่ได้ผลมากนัก สาม ระดับขั้นของกระดาษยันต์แผ่นนี้ดีมาก แต่กลับถูกเจ้านำมาทำเป็นการค้าแค่ครั้งเดียวก็ยิ่งสิ้นเปลืองของดี สำหรับเรื่องนี้จะพูดแค่ว่าเป็นการกระทำนอกรีตนอกรอยไม่ได้ ต้องพูดว่าทำผิดอย่างร้ายแรงด้วยซ้ำ เพราะหากให้ยอดฝีมือสำนักมหายันต์ลัทธิเต๋ามาเห็นเข้า ต้องคิดอยากจะทุบเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียวแน่นอน”

เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น ขบคิดคำพูดของลู่ไถอย่างละเอียด ต้องการแยกแยะให้ได้ก่อนว่าจริงหรือเท็จแล้วค่อยตัดสินว่าดีหรือเลว แต่ว่าลู่ไถเป็นคนลึกลับเกินไป จึงยากที่เฉินผิงอันจะได้ข้อสรุป

ลู่ไถถามยิ้มๆ “ช่วยยกยันต์แผ่นนั้นขึ้นมาให้ข้าดูเนื้อวัสดุอย่างละเอียดได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้มองแค่ปราดเดียว ยังไม่ค่อยกล้ายืนยัน”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังคีบยันต์แผ่นนั้นขึ้นมา เพียงแต่ว่าให้ลู่ไถได้ดูแค่ด้านหลังของแผ่นยันต์เท่านั้น

ลู่ไถยิ้มบางๆ ไม่ได้ถือสากับท่าทางระแวดระวังของเฉินผิงอัน มองอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ากล่าวว่า “เป็นวัสดุล้ำค่าของยันต์คืนวสันต์จริงๆ ด้วย ยันต์ที่เขียนลงไปบนวัสดุประเภทนี้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีกครั้ง ยันต์แผ่นหนึ่งที่วาดสำเร็จ ระดับขั้นสูงหรือต่ำ อานุภาพมากหรือน้อย กระดาษยันต์ดีหรือร้ายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยันต์ที่ดีอย่างแท้จริงในโลกใบนี้ หากไม่นับประเภทที่แสวงหาอานุภาพยิ่งใหญ่อย่างสุดโต่ง ส่วนใหญ่ก็ล้วนเอากลับมาใช้ซ้ำได้อีกครั้ง หากเอ่ยตามคำพูดที่มีอารมณ์ขันของบุรพาจารย์ท่านหนึ่งของสำนักมหายันต์ อย่างเจ้าน่ะเรียกว่าความเยาว์ร่วงโรย ใบไม้ปลิดปลิว อืม สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือ ‘รั้งไว้ไม่อยู่’ เฉินผิงอันเจ้าว่ามันน่าเสียดายหรือไม่ล่ะ? กระดาษยันต์ โดยเฉพาะกระดาษยันต์คืนวสันต์นั้นเผาผลาญเงินอย่างมาก อืม อย่างข้าน่ะถือว่าเจ็บปวดใจเสียดายแทนเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าเฉินผิงอันก็มีตระกูลใหญ่โตมีกิจการยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องสนใจเงินเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้”

เฉินผิงอันมองลู่ไถแวบหนึ่ง แล้วก็หันมามองยันต์คำสั่งกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะอีกครั้ง

ลู่ไถรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยกสองมือเท้าแก้ม มองไปยังเด็กหนุ่มท่าทางหงุดหงิดที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะแล้วถามยิ้มๆ “คนที่มอบกระดาษยันต์ล้ำค่าพวกนี้ให้เจ้าไม่เคยพูดให้ฟังหรือ? คนนำทางที่สอนเจ้าวาดยันต์ไม่เคยบอกเจ้าหรือไงว่า นักเขียนยันต์ครึ่งๆ กลางๆ อย่างเจ้าควรต้องประหยัดเอาไว้?”

เฉินผิงอันถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที

ลู่ไถกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเจ็ดแปดเก้าน่าจะสามารถเขียนยันต์ที่ไม่เลวออกมาได้แล้ว อาศัยลมปราณที่แท้จริงหนึ่งเฮือก เขียนให้เสร็จในรวดเดียว น่าเสียดายที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่พอมาถึงขั้นนี้ แต่ละคนที่ก้าวเดินขึ้นสู่ยอดเขาล้วนมีจิตใจที่แข็งแกร่งปานเหล็กกล้ามานานแล้ว ใครจะยังหันไปวาดยันต์อยู่อีก? เจ้าเองก็เพราะโชคดี ได้ครอบครองกระดาษยันต์และพู่กันเขียนยันต์ที่ล้ำค่าขนาดนี้ สุดท้ายถึงสามารถวาดยันต์ที่ไม่เลวออกมาได้ ไม่อย่างนั้นการวาดยันต์ทุกแผ่นก็เท่ากับว่าต้องเผาตั๋วเงินปึกใหญ่ อืม เจ้าดีขึ้นมาหน่อย แค่เท่ากับว่าเผาตั๋วเงินครึ่งปึกเท่านั้น”

เฉินผิงอันถลึงตาดุดันใส่เจ้าคนที่สาดเกลือลงบนแผลสดของเขาผู้นี้

ลู่ไถหัวเราะร่า “เฉินผิงอัน เจ้านี่ก็น่าสนใจจริงๆ ผู้ฝึกยุทธ์วาดยันต์ แถมยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่บิน ที่เกินเหตุสุดๆ ก็คือยังตั้งใจเรียนหนังสือทุกวันด้วย? เจ้าไม่กลัวว่าไม่ทำเรื่องที่ควรทำแล้วจะส่งผลต่อการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ กลายเป็นคนประเภทหัวมังกุท้ายมังกร ทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่องงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำพูดเยาะเย้ยเสียดสีของเขา เขาเก็บยันต์คำสั่งกระบี่ แล้วเริ่มเปิด ‘จารึกภูเขาและทะเล’ เล่มนั้นออกอ่าน

ลู่ไถลุกขึ้นกลับไปยังที่พักบนชั้นสามอย่างเงียบเชียบ

หลังจากนั้นลู่ไถก็เริ่มออกจากเรือนภูเขาร่มเงา บ้างก็ไปพายเรือชมทะเลสาบน้ำมรกต หรือไม่ก็ไปเที่ยวชมคลังสมบัติที่ปลาวาฬกลืนสมบัติทุกตัวต้องมี การที่ปลาวาฬกลืนสมบัติมีชื่อเรียกเช่นนี้ก็เพราะท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน มันจะต้องกลืนเรือใหญ่ที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรลงท้อง และเรือข้ามฟากที่สามารถข้ามทวีปได้ก็มักจะถูกเรียกว่า ‘เรือสมบัติ’ ดังนั้นในท้องของปลาวาฬกลืนสมบัติทุกตัวจึงต้องมีสมบัติล้ำค่าแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน

หรืออาจถึงขั้นซุกซ่อนร่างทองที่ถูกลอกคราบทิ้งไว้ของเซียนที่ตายไปในสนามรบ

ตอนบ่ายของวันหนึ่ง ลู่ไถเริ่มนำอุปกรณ์ชงชาชุดหนึ่งที่เรียกได้ว่ายิบย่อยมากชิ้นออกมาจากวัตถุฟางชุ่น ใช้วิชาลับดึงเอาแก่นของน้ำพุที่อยู่ในทะเลสาบน้ำมรกตออกมา แล้วเริ่มชงชาอย่างสบายอารมณ์อยู่บนระเบียงทางเดินของชั้นหนึ่ง

กลิ่นหอมของชาทำให้จิตใจคนสงบปลอดโปร่ง

เฉินผิงอันไม่ได้ขอชาจากอีกฝ่ายดื่ม แค่ฝึกวิชากระบี่อยู่ในห้องของตัวเอง

หลังจากนั้นลู่ไถก็จะต้องมาชงชาทุกวัน ดื่มชาชมทัศนียภาพอยู่เพียงลำพัง และมักจะนั่งนานตลอดบ่าย

ใกล้เที่ยงของวันหนึ่ง เฉินผิงอันใกล้จะฝึกเดินนิ่งเสร็จก็เห็นว่าลู่ไถพายเรือแจวลำเล็กกลับมาจากทิศไกลด้วยตัวเอง

ผูกเรือแจวลำเล็กเรียบร้อยแล้ว ลู่ไถก็กระโดดขึ้นมาบนระเบียงแล้วยืนอยู่ที่เดิม ตอนที่เฉินผิงอันซึ่งฝึกหมัดเดินผ่านข้างกายเขาไป เขาชูมือขึ้นสูง กลางฝ่ามือมีตลับชาดหลายตลับวางทับซ้อนกันอยู่ น่าจะกำลังอวดให้เฉินผิงอันเห็นถึงผลเก็บเกี่ยวของเขาในวันนี้ ห่างจากหอสูงใจกลางทะเลสาบน้ำมรกตไปไม่ไกล มีเรือนหลายหลังซึ่งเป็นแหล่งผลาญเงินที่เรือข้ามฟากนำสินค้ามาขายโดยเฉพาะ เฉินผิงอันเคยไปเยือนแค่หนึ่งเดียว รู้สึกว่าพวกเขาใจดำเกินไป เขาลองเลือกดูสินค้าที่คล้ายกันมาสองสามชิ้นก็ค้นพบว่าราคาที่ตั้งไว้สูงเกินจริงยิ่งกว่าที่ภูเขาห้อยหัว จึงหมดอารมณ์ที่จะซื้อของจากที่นั่นอย่างสิ้นเชิง

ลู่ไถเขย่งปลายเท้า จากนั้นกระโดดไปข้างหลังเบาๆ หนึ่งครั้ง นั่งลงบนรั้วระเบียงหยกขาว เปิดตลับเครื่องประทินโฉมหนึ่งในนั้นออก หยิบกระจกบานเล็กออกมา เม้มปาก งอนิ้วข้างหนึ่ง ใช้ท้องนิ้วปาดคิ้วยาวของตัวเองเบาๆ ท่าทางนุ่มนวลและพิถีพิถัน

เฉินผิงอันเพียงแค่ฝึกหมัดเลียบไปตามระเบียงต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ชำเลืองตามาแลเลยสักครั้ง

ตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านข้างกายไปอีกครั้ง ลู่ไถที่นั่งเขียนคิ้วอยู่บนรั้วก็ขยับกระจกบานนั้นเบี่ยงออกเล็กน้อย ถามด้วยรอยยิ้มว่า “สวยหรือไม่?”

เฉินผิงอันไม่ได้มองลู่ไถที่กำลังผัดแป้งแต่งหน้า แล้วก็ไม่ได้ตอบคำถาม

จากนั้นทุกครั้งที่เฉินผิงอันเดินนิ่งผ่านไป ลู่ไถจะต้องถามคำถามที่แตกต่างกันไปทุกครั้ง

“เฉินผิงอัน เจ้าว่าสีแก้มของข้าแดงเกินไปหรือเปล่า?”

“คิ้วนี่ควรจะวาดให้เรียวกว่านี้หน่อยดีไหม?”

“ใช้ปิ่นเรียวเล็กของเรือนฮวาลู่คู่กับตลับชาดที่เลือกออกมาจากกล่อง ดูแล้วเป็นธรรมชาติมากกว่าจริงๆ ด้วย เจ้าคิดว่าไง?”

เฉินผิงอันแค่เดินไปเงียบๆ ตามแผนการเดิมที่วางไว้ เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยหยุดฝึกวิชาหมัด

ครั้งสุดท้ายลู่ไถไม่ได้สอบถามเฉินผิงอัน เพียงแค่เอากระจกบานเล็ก ปิ่นและชาดหลายตลับวางไว้บนรั้วข้างตัว หันหน้าไปมองใบบัวสีเขียวมรตบานสะพรั่ง สายตาบนใบหน้าที่ถูกประทินโฉมงดงามเลื่อนลอย

เฉินผิงอันกำลังคิดว่าจะเดินกลับไปยังประตูหน้าของชั้นหนึ่ง ลู่ไถก็เปิดปากถามขึ้นอีกครั้งโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา “เจ้าคิดใช่ไหมว่าบุรุษอย่างข้า…น่าหัวเราะเยาะมาก? หรือถึงขั้นที่ลึกๆ ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียนด้วย?”

เฉินผิงอันหยุดเท้า หมุนตัวเดินไปทางลู่ไถ หยุดอยู่ห่างจากเขาประมาณห้าหกก้าว เขานั่งลงบนรั้วระเบียงโดยหันหน้าเข้าหาน้ำ หันหลังให้ระเบียง

ลู่ไถที่ไม่ได้รับคำตอบไม่ได้อารมณ์เสีย กลับยังยิ้มหวานอยู่กับตัวเอง เลือกชาดมาหนึ่งตลับ รู้สึกว่าสีของมันไม่ดีนัก ไม่สมกับชื่อเสียง วันหน้าจะไม่ใช้มันแล้ว เลยทำท่าจะโยนมันทิ้งลงน้ำ

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ชาดตลับนี้ขายเท่าไหร่?”

ลู่ไถอึ้งตะลึง ก่อนจะหันตัวกลับมานั่งหันหน้าเข้าหาทะเลสาบเช่นกัน เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ถือว่าแพงมาก ทุกตลับขายหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย เพิ่งออกใหม่ของปีนี้ โด่งดังเป็นที่นิยมมาก เทพธิดาที่มีชื่อเสียงหลายคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่างก็ชอบใช้มัน เฮ้อ แต่ดูท่าแล้วคงจะเป็นอุบายของลูกหลานสำนักการค้าที่ถูกความโลภบังตาเสียมากกว่า ข้าถูกพวกเขารวมหัวกันหลอกซะแล้ว”

เฉินผิงอันทอดถอนใจ “หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย นั่นก็เท่ากับหนึ่งร้อยเงินเกล็ดหิมะ หนึ่งแสนตำลึงเงิน ข้ารู้สึกว่า…”

หยุดชะงักไปชั่วครู่ เฉินผิงอันที่ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้าก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อของที่ใจรัก เจ้าซื้อมัน อาจจะรู้สึกว่าไม่แพง แต่คนบางคนที่พอได้ยินราคาแล้วต้องอึ้งงันแน่นอน ตีให้ตายก็ไม่มีทางเชื่อว่าบนโลกจะมีเครื่องประทินโฉมที่ดีเลิศขนาดนี้”

ลู่ไถสงสัยเล็กน้อย “หืม?”

เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะวางมือสองข้างไว้บนหัวเข่า เล่าเรื่องชายฉกรรจ์ที่เป็นกะเทยในเตามังกรบ้านเกิดให้ลู่ไถฟัง

เฉินผิงอันไม่ได้เล่าให้ดูร้ายแรง น้ำเสียงไม่หนัก สีหน้าไม่จริงจัง เล่าเรื่องชีวิตที่น่าสงสารของคนคนหนึ่งซึ่งตายไปแล้วให้บุรุษข้างกายฟัง

เขาที่อยู่ข้างกาย ตรงเอวรัดเข็มขัดหลากสี สีหน้าสดใสร่าเริง คือคนในกลุ่มของเทพเซียน งดงามยิ่งกว่าหญิงสาวที่แท้จริงในโลกเสียอีก

ส่วนบุรุษในบ้านเกิดคนนั้นกลับมีเรือนกายผอมบาง แถมยังมีตอหนวดอยู่บนใบหน้า หน้าตาไม่ได้ดีไปกว่าสตรีแต่งงานแล้วในหมู่ชาวบ้านเลยสักนิด ต่อให้ทุกวันตอนเช้าเขาจะจัดการตัวเองจนสะอาดเอี่ยมเรียบร้อย แต่ถึงเวลาเลิกงาน ขี้ดินดำสกปรกก็อุดเต็มเล็บมืออยู่ดี ดังนั้นเวลาที่บุรุษผู้นั้นจีบนิ้วจึงไม่มีอะไรชวนให้น่าหวั่นไหวแม้แต่น้อย

อีกทั้งเขายังไม่รู้จักน้ำค้างบำรุงผิวหน้า ผงดอกท้ออะไรทั้งหลาย ยิ่งไม่รู้จักประเภทของเครื่องประทินโฉมที่แยกกันใช้ทาปาก ปัดแก้มหรือเขียนคิ้ว

สุดท้ายเฉินผิงอันมองไปยังทิศไกลด้วยความรู้สึกเศร้าเล็กน้อย “ถึงท้ายที่สุด ข้าก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นคนประหลาดมาก ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย แต่ทำไมถึงชอบแต่งกายให้ตัวเองเหมือนผู้หญิง แต่วันนั้นก่อนที่เขาจะใช้กรรไกรแทงตัวเองตายและใช้ผ้าห่มปิดทับ เคยขอร้องข้าเรื่องหนึ่ง ทว่าข้าไม่ได้รับปาก และข้าก็เสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ หากข้ารู้ว่าเขาจะทำอย่างนั้น ข้าต้องรับปากเขาแน่นอน”

“วันนั้นเขาพูดคุยกับข้าเยอะมาก สุดท้ายยิ้มพูดว่าเขาจะไม่ทำตัวให้เหมือนผู้หญิงอีกแล้ว ดังนั้นหวังว่าข้าจะช่วยเก็บชาดตลับนั้นเอาไว้ เขาจะได้ข่มใจตัวเองไม่ให้ใช้มันได้”

“ตอนนั้นข้าหรือจะยอมรับปากกับเรื่องแบบนี้ ให้ตายก็ไม่ยอมรับ เขาโน้มน้าวข้าอยู่สองครั้งก็ไม่พูดอะไรอีก”

“พอเขาตายไป ไม่ว่าใครก็ไม่ได้เห็นชาดตลับนั้น และอันที่จริงก็ไม่มีใครสนใจด้วย”

เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้ลู่ไถที่งดงามดั่งโฉมสะคราญงามล่มเมือง “ชาดที่แพงขนาดนี้จะโยนทิ้งไปทำไม?”

ลู่ไถเอียงศีรษะ ปิ่นไข่มุกงามประณีตชิ้นนั้นจึงเอนเอียงตามไปด้วย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นข้ายกให้เจ้าดีไหม? วันหน้าเมื่อเจ้ากลับไปบ้านเกิดก็เอาชาดตลับนี้ไปที่หลุมศพของคนผู้นั้น บอกกับเขาว่า เขาได้มีชาดแต่งหน้าที่ดีถึงขนาดนี้ บอกให้ชาติหน้าเขาไปเกิดในครอบครัวที่ดี ได้เป็นสตรีสมดังใจ เอาชาดทาหน้าตัวเองให้เต็มที่ มีกี่จินก็ทาลงไปเท่านั้น ไม่ต้องเสียดายเงินอีกต่อไปแล้ว…”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับ มองไปยังทิศไกล ส่ายหน้าเบาๆ “แม้แต่หลุมศพของเขาข้าก็ยังหาไม่พบ จะเอาของสิ่งนี้ไปให้เขา ไปพูดแบบนี้กับเขาได้อย่างไร”

เด็กหนุ่มชุดขาวที่หน้าตาสะอาดสะอ้านสอดสองมือรองไว้ท้ายทอยแล้วไม่เอ่ยคำใดอีก

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท