กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 290.1 ส่งหัวคนไกลพันลี้

บทที่ 290.1 ส่งหัวคนไกลพันลี้

เด็กหนุ่มชุดขาวตกอยู่ในวงล้อม ไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี กลับกันยังบุกรุดหน้า หลังจากปล่อยไปหลายหมัดเข้าก็ทำเอาสหายของพวกเขาไร้เรี่ยวแรงให้เอาคืน

นี่ทำให้ทุกคนที่เข้าร่วมการล้อมโจมตีครั้งนี้อดรู้สึกกระวนกระวายในใจไม่ได้

หากไม่เป็นเพราะชายฉกรรจ์ส่งเสียงเอ่ยเตือน อาจารย์คุมทัพที่อยู่ทางทิศเหนือก็อาจจะตายคาที่ไปแล้ว

เวลานั้นผู้เฒ่าที่ช่วยสร้างค่ายกลย้ายภูเขารินน้ำให้กับทุกคนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น จัดวางธงเล็กสีเหลืองดินหลายผืนกระจายไปทั่ว ต่อให้สัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติเขาก็ยังตบอกตัวเองหนึ่งที ตบยันต์ตัวตายตัวแทนราคาแพงที่ซ่อนอยู่ให้แตกออกอย่างไม่ลังเล ดังนั้นตำแหน่งของเขากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์จึงสลับสับเปลี่ยนกันในเสี้ยววินาที

ทันใดนั้นกระบี่บินเล่มหนึ่งที่ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็นจริงหรือมายาก็พุ่งลงมาจากฟ้า ประหนึ่งตะเกียบที่แทงลงไปในน้ำแล้วกระชากให้เกิดริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก ความเร็วนั้นมากอย่างถึงที่สุด

เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสีหน้างงงันถูกกระบี่บินใหญ่ยักษ์ผ่าแสกหน้าเรื่อยลงมาตั้งแต่ศีรษะจรดบั้นเอว หนึ่งร่างแยกออกเป็นสองส่วน ก่อนที่ศพซึ่งแยกออกเป็นสองร่างนี้จะล้มตึงลงไปบนพื้น ไส้ทะลักไหลนองตายคาที่ สภาพน่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้

กระบี่บินที่ใหญ่มหึมายิ่งกว่ากระบี่ที่ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปพกติดตัวไม่ได้ปักลงบนพื้น แต่หายวับไป กระบี่บินจมลงเบื้องล่างโดยที่พื้นผิวดินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง

นาทีถัดมาอาจารย์คุมทัพก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปตรงตำแหน่งหัวใจ ราวกับว่าจะใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนอีกครั้ง ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะใช้ชีวิตของศิษย์ผู้สืบทอดคนที่สองมาแลกกับความปลอดภัยของตัวเอง

เพียงแต่ว่าคราวนี้ผู้ฝึกลมปราณพรรคมารที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันรับมือไหวตัวได้ทันแล้ว เขาไม่ได้นิ่งดูดายเฉยๆ แม้ว่าจะยืนอยู่ห่างไปไกลแต่ก็ควักหม้อดินขนาดเล็กสีดำที่สลักเต็มไปด้วยอักขระยันต์ใบหนึ่งออกมา ท่องคาถาพลางแกว่งมันเบาๆ อยู่หลายครั้ง ควันดำขุมหนึ่งที่มืดทะมึนเยียบเย็นก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นฟ้า พอออกมาจากหม้อดินแล้วก็แยกเป็นสามส่วน แบ่งกันพุ่งไปหาอาจารย์คุมทัพ เด็กสาวและลู่ไถที่ยืนบังคับกระบี่อยู่บนกิ่งไม้สูง

กระบี่บินปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าอีกครั้ง ยังคงฟันลงมาแสกหน้าอยู่เหมือนเดิม

แต่ไม่ได้พุ่งตรงไปยังอาจารย์กระบี่ที่ตบยันต์ กลับตรงเข้าหาเด็กสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด

ควันดำกลิ้งหลุนๆ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของผีร้ายและวัตถุหยินจำนวนนับไม่ถ้วนบังอยู่เหนือศีรษะของเด็กสาว เหมือนช่วยกางร่มกันฝนให้กับนาง

ทว่ากระบี่บินใหญ่ยักษ์มีพลังอำนาจมากเกินไป มันพุ่งลงมาดุจผ่าลำไม้ไผ่ แหวกทลายควันดำที่กีดขวางอย่างรวดเร็ว และยังคงผ่าเด็กสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

เด็กสาวเยาว์วัยกลับต้องมาตายก่อนวัยอันควรอยู่บนมหามรรคาเช่นนี้

แสวงหาชีวิตอมตะอย่างยากลำบาก ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นยี่สิบปี

สีหน้าของลู่ไถที่ใช้มือข้างหนึ่งค้ำยันลำต้นของต้นไม้ไม่ค่อยน่าดูนัก

ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้งจริงๆ

อาจารย์คุมทัพผู้นั้นไม่ได้ใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนจริงๆ การตบอกครั้งที่สองเป็นแค่อุบายที่ล่อให้ปลายกระบี่ของเขาเบนเข้าหาเด็กสาวเท่านั้น

ลู่ไถที่แพ้ไปหนึ่งกระดานกลับไม่รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น การฝึกตนบนภูเขา ข้อแรกคนโง่ย่อมไม่มีคุณสมบัติให้ข้ามผ่านธรณีของประตูภูเขาไปได้ ข้อสองต่อให้เป็นคนที่เบาปัญญาแค่ไหน แม้จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเป็นดั่งสุนัขตัวหนึ่ง แต่หลายสิบปีหลายร้อยปีผ่านไป ต่อให้เป็นสุนัขจริงๆ ก็ควรจะกลายเป็นภูตผีปีศาจได้แล้ว

ดังนั้นจึงไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน

แม้ว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นจะมีขนาดใหญ่มาก แต่ความเร็วของมันกลับน่าเหลือเชื่อ ลู่ไถยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ควันดำพุ่งกระโจนเข้าใส่อย่างดุดัน หลังจากกระบี่บินสังหารเด็กสาวไปแล้ว พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้านายอย่างลู่ไถ ซัดกระแทกให้ควันดำที่เต็มไปด้วยความอาฆาต เสียงคร่ำครวญ และใบหน้าที่ดุร้ายแตกสลาย

นักพรตลัทธิมารแกว่งหม้อดินเผากลางฝ่ามือไม่หยุด พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัวไปด้วยว่า “กล้าทำลายวัตถุหยินของข้า อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีปราณวิญญาณให้เอามาผลาญสักเท่าไหร่!”

ควันดำบินออกมาจากหม้อดินเผาเส้นแล้วเส้นเล่า คล้ายดอกไม้ขนาดมหึมาสีดำดอกหนึ่งที่ผลิบานอยู่กลางฝ่ามือของเขา

อาจารย์คุมทัพกลัวจริงๆ ว่าไอ้หมอนั่นจะปล่อยกระบี่ใส่ตนอีกครั้ง ด้วยความจนใจจึงต้องควักเอาไข่มุกสีขาวหิมะกำใหญ่ออกมาโปรย ไข่มุกหลายสิบเม็ดหยุดลอยอยู่รอบกายเขา สามปฏิญาณ สี่ลักษณะ เจ็ดดาว แปดกว้า เก้ากง (ชื่อเรียกตามหลักโหราศาสตร์ของจีน) ไข่มุกจำนวนไม่เท่ากันลอยอยู่ในตำแหน่งที่พิถีพิถันอย่างมาก สร้างขึ้นเป็นค่ายกลคุ้มกันกายค่ายแล้วค่ายเล่า หลังสร้างค่ายกลสำเร็จ แสงสว่างก็พลันเจิดจ้า ส่องสว่างให้ตัวของอาจารย์คุมทัพผู้เฒ่าเจิดจ้ายิ่งใหญ่อย่างที่มิอาจหาสิ่งใดมาทัดเทียมได้

เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ค่ายกลที่เขาวางไว้ก่อนหน้านั้นจึงต้องถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้าไปอีกไม่น้อย

และผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นก็รู้ดีว่าคำพูดแค่ไม่กี่คำไม่อาจโน้มน้าวอาจารย์คุมทัพผู้เฒ่าที่รักตัวกลัวตายผู้นี้ได้สำเร็จ ขณะเดียวกันกับที่เขาบังคับควันดำให้พุ่งเข้าหาลู่ไถก็เอ่ยเตือนไปด้วยว่า “รีบจัดวางค่ายกลซะ หาไม่แล้วครั้งนี้ที่พวกเราเดินทางมานับพันลี้ก็ถือว่าเสียเที่ยว อีกอย่างหากสังหารสองคนนั้นไม่ได้ ย่อมมีภัยร้ายตามมาเบื้องหลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เจ้าลองชั่งน้ำหนักดูเอาเองก็แล้วกัน!”

สีหน้าของอาจารย์คุมทัพผู้เฒ่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน แล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาดสลายค่ายกลเล็กออกไปครึ่งหนึ่ง เก็บไข่มุกหลายสิบเม็ดมา เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเร็วในการจัดวางค่ายกลแห่งต่างๆ จึงเร็วกว่าเดิมอีกหลายส่วน

สนามรบทางทิศใต้

ชายฉกรรจ์ร่างกำยำล้มฟุบลงไปบนพื้น กระอักเลือดไม่หยุดราวกับว่าจะขย้อนเอาอวัยวะข้างในออกมาด้วย พื้นดินทั้งแถบอาบย้อมไปด้วยสีแดงสด น่าอนาถอย่างถึงที่สุด

เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง สั่งสมพลังจากการหล่อหลอมเรือนกายทั้งวันทั้งคืนมาเนิ่นนาน จึงเป็นคนที่รับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด

เพียงแต่ว่าบนวิถีวรยุทธ์ หากไม่เคยได้รับคำแนะนำจากพระวิสุทธิจารย์ การเดินย่อมเป็นไปอย่างยากลำบาก หากรากฐานขอบเขตสามหลอมร่างกายปูได้ไม่แน่นพอ เต็มไปด้วยรูรั่ว แม้การใช้ทุกวิธีโดยไม่สนผลลัพธ์สามารถเลื่อนจากสี่ไปห้าได้ก็จริง แต่หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ไม่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตหกไปได้ตลอดชีวิต

คนมีชีวิตอยู่จะปล่อยให้ตายเพราะอั้นฉี่คงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกเดินบนเส้นทางที่เบี่ยงเบน วิธีเชิญเทพของเขามาจากตำราครึ่งเล่มที่ไม่สมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าได้มาจากการ ‘ล่าอาหารป่า’ เพราะมีแค่ตำราครึ่งหนึ่งของช่วงต้น จึงรู้แค่ว่าควรจะเชื้อเชิญอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าควรจะส่งกลับอย่างไร เชิญเทพมาง่ายส่งกลับยากก็คือหลักการนี้

ทุกครั้งที่เทพเข้าสิงร่างต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล คลำทางมาเกือบยี่สิบปี วิ่งวุ่นขอให้คนอื่นช่วยเหลือไปทั่วทิศ ซื้อตำราลับของเซียนประเภทเดียวกันนี้มาเป็นจำนวนมาก กว่าจะควบคุมต้นตอโรคร้ายที่ทิ้งไว้ภายหลังของวิชาลับนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย

โดยเฉพาะวันนี้ที่เชิญเทพมาครึ่งทาง กลับถูกเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นต่อยให้ ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ถอยกลับไปที่แท่นบูชาเทพ สำหรับการอัญเชิญเทพที่มีกฎระเบียบเข้มงวดแล้ว นี่ถือว่าไร้มารยาทอย่างถึงที่สุด ดังนั้นพลังสะท้อนกลับจึงรุนแรงอย่างยิ่ง จิตวิญญาณแต่ละกลุ่มล่องลอยออกไปจากช่องโพรงลมปราณเหมือนควันจากธูปสามดอกที่ลอยกรุ่น

หลังจากธูปทั้งสามดอกเผาไหม้จนหมดสิ้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลง ตลอดทั้งแผ่นหลังของชายฉกรรจ์มีควันลอยกรุ่น ต้องรู้ว่าควันเหล่านี้คือตัวแทนถึงพละกำลังและความกล้าหาญของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า คือพลังต้นกำเนิดอันเป็นรากฐานของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง

ชายฉกรรจ์พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ช่วยข้าด้วย!”

ผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญเวทไม้ห้าธาตุคนนั้นขมวดคิ้วแน่น จำต้องถอนวิชาย้ายภูเขาลากไม้ที่ใช้รับมือกับเด็กหนุ่มชุดขาวโดยเฉพาะออก มาหยุดอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์แล้วนั่งยองลง นิ้วมือของมือทั้งสองข้างทำมุทรา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ แสงดาวหม่นมัวลอยมาจากพื้นดินเบื้องล่างแล้วล้อมวนอยู่รอบปลายนิ้วทั้งสิบ จากนั้นก็ถูกผู้ฝึกลมปราณตบเข้าไปที่แผ่นหลังของชายฉกรรจ์

ร่างของชายฉกรรจ์ที่ล้มกองอยู่ในดินพลันดีดเด้ง สีหน้าแดงปลั่งในชั่วพริบตา ข้อต่อใหญ่ๆ ตลอดทั้งร่างส่งเสียงลั่นดังเหมือนเสียงถั่วเหลืองระเบิด ประหนึ่งไม้แห้งเหี่ยวที่ได้เจอกับฤดูใบไม้ผลิ ชายฉกรรจ์พลิกตัวกลับมา ดีดตัวขึ้นในท่านอนหงาย มือถือแส้คู่แล้วลุกขึ้นยืน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ไม่เหลือความห่อเหี่ยวอีกแม้แต่น้อย

ผู้ฝึกลมปราณที่ให้ความช่วยเหลือเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “จดไว้ในบัญชีด้วย”

ชายฉกรรจ์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองไปยังเด็กหนุ่มชุดขาวที่ลงมือได้อย่างน่าตะลึงพลางพยักหน้ารับ “จัดการแพะอ้วนสองตัวนี้ได้ ทุกเรื่องล้วนพูดง่าย!”

บนถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีในคืนนั้น เจ้าคนที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าสตรีผู้นั้นจ่ายเงินอย่างมือเติบจนทำให้ผู้ฝึกอิสระขอบเขตโอสถทองละอายใจที่สู้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งไม่สามารถหาเงินร้อนน้อยได้มากมายขนาดนั้น แต่ต้องรู้ว่าของที่คุณชายผู้หล่อเหลาซื้อไปล้วนเป็นของเล่นที่ผลาญเงินอย่างสัตว์มันแพะ แมงมุมฝันวสันต์ คนกระดาษยันต์ ซึ่งไม่ใช่สมบัติจู่โจมที่ใช้สังหารศัตรู และไม่ใช่อาวุธสำคัญที่ใช้ในการปกป้องชีวิต!

ผู้ฝึกตนของใบถงทวีป ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือที่ได้รับการสืบทอดอย่างเป็นระบบหรือผู้ฝึกตนอิสระ ใครบ้างที่พูดภาษาทางการของใบถงทวีปได้ไม่คล่อง?

คนหนุ่มสองคนที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนต่างถิ่นมาจากทวีปอื่น ตลอดทางมานี้แค่เดินทางระหว่างป่าเขาและตลาด ขึ้นเหนือมาพันลี้ไม่เคยแวะเยี่ยมเยียนตระกูลเซียนระหว่างทางเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่เคยมีผู้ฝึกตนใหญ่คนใดตั้งใจเดินทางมาพบพวกเขา นี่หมายความว่าอะไร? นี่หมายความว่าลูกนกหัดบินทั้งสองคนนี้มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ เป็นพวกคนรวยที่เอวร้อยเงินหมื่นกว้าน ย่อมมีชีวิตที่สุขสบายมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยรู้เลยว่าน้ำในยุทธภพนั้นลึก ลมบนภูเขาพัดแรง!

ไม่จัดการกับเจ้าคนมุทะลุที่รวยเหมือนหมูที่อ้วนจนมันเยิ้มสองคนนี้ จะไม่ผิดต่อการฝึกตนอย่างยากลำบากตลอดหลายปีของตนหรอกหรือ? นอกจากออกตามหาโชควาสนาไปทั่วทิศ ใช้มีดดื่มเลือดคนอื่น ยังต้องก้มหัวทำตัวเป็นสุนัขรับใช้พวกตระกูลเซียนบนภูเขา คอยเก็บเงิน ช่วยพวกเขาจัดการเรื่องสกปรกที่เจ้าตัวดูแคลนจะทำเอง แบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุด?

ตั้งแต่ชายฉกรรจ์ถูกกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าต่อยรัวติดต่อกันห้าหมัด อาการร่อแร่ใกล้ตาย จนกระทั่งผู้ฝึกลมปราณใช้เวทลับดึงเอาโชคชะตาน้ำและภูเขาของที่แห่งนี้มารักษาชายฉกรรจ์ได้สำเร็จ ทั้งหมดนี้กินเวลาสั้นๆ แค่ดีดนิ้วไม่กี่ครั้งเท่านั้น

เฉินผิงอันถูกอาจารย์กระบี่วัยกลางคนบังคับปราณกระบี่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามาขัดขวาง ทำให้ไม่สามารถสังหารชายฉกรรจ์ถือแส้เหล็กได้สำเร็จในรวดเดียว

ใช้ลมปราณควบคุมกระบี่ เมื่ออยู่ในยุทธภพถือเป็นวิชาอภินิหารของตระกูลเซียนที่ร้ายกาจมากแล้ว

ในสถานที่กันดารมากมาย คำกล่าวในตำราหรือบทกวีที่บอกว่ากระบี่บินตัดหัวพันลี้นั้น อันที่จริงไม่ได้หมายถึงผู้ฝึกกระบี่ แต่หมายถึงอาจารย์กระบี่ที่มักจะเผยโฉมต่อหน้าผู้คนบ่อยๆ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่บนภูเขากับมือกระบี่ในยุทธภพแล้ว อาจารย์กระบี่ที่เป็นดั่งน้ำครึ่งถัง สูงไปก็รับไม่ไหว ต่ำไปก็ไม่เอามักชื่นชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอมเสียมากกว่า

อาจารย์กระบี่ท่านหนึ่งควบคุมกระบี่ให้สังหารศัตรู วัตถุที่ออกมาจากชายแขนเสื้อมักจะมีทั้งปราณกระบี่และกระบี่จริง ฝ่ายแรกได้เปรียบที่จำนวนมีมาก ฝ่ายหลังมีดีที่พละกำลังมหาศาล

สวมชุดเกราะเบาคุมทัพ ช่วงชิงความได้เปรียบ สวมชุดเกราะหนักเจาะทะลวงขบวนรบ บรรลุชัยชนะ สองฝ่ายร่วมมือกัน จะขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว

เห็นได้ชัดว่าอาจารย์กระบี่ที่คุมเชิงอยู่กับเฉินผิงอันท่านนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ชายแขนเสื้อของเขาพองโป่ง ภายนอกของชายเสื้อมีประกายแสงสีเขียวกระเพื่อมเป็นระลอก ปราณกระบี่สีเขียวแต่ละเส้นที่พุ่งออกมาจากข้างในนั้นคมกริบมากเป็นพิเศษ

ยังดีที่การควบคุมปราณกระบี่ในแต่ละครั้งของอาจารย์กระบี่อย่างมากสุดก็แค่สองกลุ่มเท่านั้น

เฉินผิงอันจึงหลบเลี่ยงได้อย่างผ่อนคลาย ไม่ถึงขั้นที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ แต่ก็ถูกควบคุมไว้ค่อนข้างตายตัว

เฉินผิงอันไม่ได้ใช้วิธีฆ่าศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย ก่อนหน้านี้หลังจากทำให้ชายฉกรรจ์บาดเจ็บสาหัสได้แล้ว เนื่องจากมีอาจารย์กระบี่คอยถ่วงรั้งอยู่ ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญวิชาไม้ห้าธาตุจะช่วยชายฉกรรจ์เอาไว้ได้ แต่ก็ยังทำให้เกิดจังหวะติดชะงัก เดือดร้อนให้อาจารย์กระบี่คาดการณ์ผิดพลาด ปล่อยปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งไปรออยู่ใกล้กับร่างของชายฉกรรจ์ ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันพลันเพิ่มความเร็วกระโจนเข้าใส่อาจารย์กระบี่จนเข้ามาใกล้ในรัศมีหนึ่งจั้งเบื้องหน้าเขา

ทำเอาอาจารย์กระบี่ตกใจจนเหงื่อแตกท่วมร่าง จำต้องใช้ท่าไม้ตายที่แท้จริง

กระบี่เล็กของจริงเล่มนั้นไม่ได้ออกมาจากชายแขนเสื้อ แต่มาโผล่อยู่บนมวยผมเหนือศีรษะของเขาอย่างเงียบเชียบ ที่แท้ปิ่นหยกสีเขียวชิ้นนั้นก็คือ ‘ฝักกระบี่’ ที่ใช้อำพรางกระบี่เล่มเล็ก

นั่นคือกระบี่เล่มเล็กไร้ฝักที่มีลักษณะเหมือนใบหลิ่วสีเขียวมรกต เรียวบางอย่างยิ่ง มันหมุนติ้วๆ บินรอบกายอาจารย์กระบี่พาให้เกิดประกายแสงสีเขียวอ่อนเป็นกลุ่มๆ

นักพรตพรรคมหายันต์คนนั้นเอ่ยเตือนเสียงเฉียบ “ยันต์บ่อแห้งสองใบของข้าอยู่ได้มากสุดอีกแค่ชั่วดีดนิ้วยี่สิบครั้ง! รีบรบรีบจบ รีบสังหารเจ้าตะพาบน้อยคนนั้นให้ได้! หากกระบี่บินของเขาฝ่ากรงขังออกมาได้ ถึงเวลานั้นพวกเราก็เตรียมเข้าแถววางคอรอให้คนเขาเชือดได้เลย!”

นักพรตเฒ่าใบหน้าแห้งตอบ นิ้วทั้งสิบผอมแห้ง ระหว่างที่พูดก็ขยับหมุนมือสองข้างอย่างเชื่องช้า น่าจะกำลังควบคุมยันต์สองแผ่นที่กักตัวชูอีกับสืออู่ นักพรตเฒ่าโมโหจนเสียงสั่นไปหมด “ในรายงานลับของพวกเจ้า เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่มือกระบี่ผู้ฝึกยุทธ์หรอกหรือ? ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกกระบี่ เจ้าลูกกระต่ายนี่ยังมีกระบี่บินอีกสองเล่มด้วย สองเล่ม! หากไม่ใช่เพราะข้าผู้อาวุโสมีสมบัติอยู่เล็กน้อย เสียสละยันต์สองแผ่นที่เดิมทีคิดจะเอาไว้เป็นมรดกตกทอด คราวนี้พวกเราก็คงจบเห่กันไปแล้ว! ส่วนแบ่งที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว!”

ชายฉกรรจ์คนนั้นสีหน้าย่ำแย่ ก้าวยาวๆ เข้าหาเฉินผิงอัน พูดเสียงหนักโดยไม่แม้แต่จะชายตามองผู้เฒ่า “เรื่องแก้ไขส่วนแบ่ง พูดง่าย ถึงอย่างไรก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องขาดทุน”

นักพรตเฒ่าแค่นเสียงเย็นหนึ่งที

ในใจเหมือนมีแม่น้ำและมหาสมุทรโถมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง จ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นเขม็ง

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้ฝึกกระบี่มีร่างกายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้?

แล้วยังมีคุณชายหล่อเหลาที่ยังยืนอยู่บนต้นไม้คนนั้นอีก มันเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหมือนกัน มิน่าเล่าคนทั้งสองถึงกล้ามาเดินอาดๆ อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ผู้ฝึกกระบี่สองคน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่ม ต่อให้พวกเขาเดินอาดๆ จากสำนักกุยหยกไปถึงสำนักใบถงของใบถงทวีป ขอแค่ไม่ไปท้าทายตระกูลเซียนทั้งหลายก่อน ช่วงเวลาปกติจะมีผู้ฝึกตนอิสระสักกี่คนที่กล้าไปหาเรื่อง?

พวกเขากลุ่มนี้เหมือนปลากับมังกรที่ปะปนกัน เดิมทีย่อมไม่มีทางมาอยู่เป็นพวกเดียวกันได้ แต่นี่ล้วนเป็นเพราะผลประโยชน์ แม้ว่าตบะและขอบเขตของทุกคนล้วนไม่ถือว่าสูง แต่ต่างคนต่างก็มีข้อดี อีกทั้งตลอดทางมานี้ยังมียอดฝีมือคอยวางแผนการให้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นต่อให้คิดจะสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง ขอแค่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวมาก่อน พวกเขาก็ล้วนสามารถงัดข้อด้วยได้ ไม่แน่อาจได้กลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืนเลยก็เป็นได้

ยกตัวอย่างเช่นการลงมือของเขาครั้งนี้ก็เพราะหมายตาสัตว์มันแพะอายุน้อยตัวนั้น

และต้องได้มันมาครอบครองเท่านั้น!

อันที่จริงก็ถือว่าพวกเขาประเมินเด็กหนุ่มทั้งสองคนไว้สูงพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนทั้งสองจะรับมือได้ยากขนาดนี้

 

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท