ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้คือผู้ฝึกลมปราณที่ศึกษาเวทไม้คนหนึ่ง น่าจะเป็นเขาที่คอยอำพรางร่องรอยทุกอย่าง ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะเลี้ยงปีศาจบุปผาหรือภูติดอกไม้เอาไว้ จำไว้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นต้องระวังพวกเถาวัลย์หรือพืชหญ้า เพราะว่าไม่สะดุดตา แต่จะอันตรายและรับมือได้ยากยิ่งกว่ากระบี่บินของอาจารย์กระบี่
เฉินผิงอันจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ พลางจ้องมองชายฉกรรจ์และอาจารย์กระบี่ผู้นั้นไปด้วย ส่วนหางตาก็คอยชำเลืองตามองนักพรตของพรรคมหายันต์ แค่นเสียงเย็นพูดว่า “ในเมื่อข้ากับสหายกล้าทุ่มเงินมากมายต่อหน้าทุกคนตอนอยู่บนถนนเรียกสวรรค์ ก็หมายความว่าไม่เคยกังวลว่าจะทำให้ใครอิจฉาตาร้อน”
ชายฉกรรจ์หัวเราะขำไม่หยุด “เจ้าลูกกระต่ายน้อย อย่าได้คิดจะพูดปั่นหัวข้า คนต่างถิ่นสองคนที่แม้แต่ภาษาทางการของใบถงทวีปก็ยังพูดได้ไม่คล่อง ต่อให้พวกเจ้ามาจากสำนักใหญ่โตแล้วอย่างไร? มีอาจารย์เป็นเซียนดินแล้วอย่างไร? คิดว่าตัวเองร้ายกาจมากนักรึ?”
อาจารย์กระบี่ที่อยู่ข้างกายชายฉกรรจ์ร่างกำยำคือบุรุษสวมชุดคลุมยาวสีดำที่มีเรือนกายเพรียวบางคนหนึ่ง กรอบตาของเขาลึกโบ๋ ลักษณะเย็นชาอำมหิตอย่างเห็นได้ชัด เขากล่าวกลั้วหัวเราะ “ย่อมต้องร้ายกาจอยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่แส้ยาวฟาดมาไม่ถึง”
ชายฉกรรจ์พลันหัวเราะเสียงดัง อาจารย์กระบี่ก็หัวเราะตามไปด้วยอย่างรู้ใจกัน
คนทั้งสองที่สนิทสนมกันมากต่างก็มองไปยังลู่ไถที่อยู่สูงกว่า อาจารย์กระบี่วัยกลางคนถามว่า “ตลอดทางมานี้เห็นพวกเจ้าสองคนออดอ้อนกระหนุงกระหนิงกัน ทำเอาข้าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก เจ้าต้องรับผิดชอบ หากรู้อะไรควรไม่ควร ไม่แน่อาจจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ได้”
ลู่ไถไม่ได้สนใจคำท้าทายจากคนผู้นี้ เขายังคงอธิบายสถานการณ์ให้เฉินผิงอันฟังต่อไปด้วยสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ
ทางฝั่งทิศเหนือด้านหลังเจ้าและข้าคืออาจารย์คุมทัพสำนักหยินหยางคนหนึ่งที่กำลังจัดขบวนรบ บริเวณใกล้กันยังมีเด็กหนุ่มเด็กสาวอีกคู่หนึ่ง น่าจะเป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจของคนผู้นี้ อันที่จริงอาจารย์คุมทัพคนนี้ต่างหากที่รับมือได้ยากมากที่สุด
เฉินผิงอัน หากมีโอกาสข้าจะฆ่าคนผู้นี้ก่อน
การที่พวกเขาไม่รีบร้อนลงมือตอนนี้ก็เพราะรอให้อาจารย์คุมทัพจัดขบวนย้ายขุนเขาเส็งเคร็งนั่นให้เสร็จสิ้นเสียก่อน วางใจเถอะ ข้าจะหาโอกาสเหมาะในการลงมือ จะไม่ปล่อยให้พวกเขาอาจารย์และศิษย์สามคนทำสำเร็จเด็ดขาด แต่ก่อนที่ข้าจะลงมือ เจ้าต้องเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาเสียก่อน ต่อให้พวกเขาเสียสมาธิแค่แวบเดียวก็เพียงพอแล้ว
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างเงียบเชียบ
ลู่ไถจึงเปิดเผยความลับของฝ่ายตรงข้ามต่อไปอีกครั้ง
นอกจากอาจารย์คุมทัพและลูกศิษย์ของเขาสองคนแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนลัทธิมารอีกคนหนึ่ง จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิง ทั่วร่างมีปราณหยางที่ชั่วร้ายท่วมท้น ผู้ฝึกลมปราณประเภทนี้จะคอยป้วนเปี้ยนอยู่ระหว่างสุสานไร้ญาติตลอดทั้งปี พวกเขาสามารถจับดวงวิญญาณเร่ร่อนมากักขังอยู่ในภาชนะวิเศษ ใช้วิธีเลี้ยงกู่พิษมาบ่มเพาะให้เกิดผีร้ายไว้ให้ตัวเองเรียกใช้งาน
สองฝั่งซ้ายขวาของพวกเราที่อยู่ห่างไปยังมีคนยืนอยู่อีกสองคน แต่แค่มาเพื่อช่วยคุมท้ายขบวนเท่านั้น หากเจ้าและข้าหนีไปได้ พวกเขาก็จะเข้ามาขัดขวาง
เมื่ออนุมานตามนี้ พลังการต่อสู้หลักของอีกฝ่ายจึงอยู่ทางทิศใต้
อาจารย์กระบี่วัยกลางคนผู้นั้นเห็นว่าลู่ไถไม่สะทกสะท้าน นอกจากจะมีโทสะอยู่ในใจแล้วยังเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้าง จึงกล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “พวกเจ้าสองคนเคยแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันฟังไม่เข้าใจเลยสักนิด คิดแค่ว่าอาจารย์กระบี่คนนั้นพูดภาษาของผู้เชี่ยวชาญบนภูเขา หรือไม่ก็เป็นคำพูดประหลาดที่ไม่จำเป็นต้องสนใจ
แต่เขากลับสัมผัสได้ว่าลู่ไถพลันเดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ดังนั้นลู่ไถจึงไม่ใช้คำพูดในใจคุยกับเฉินผิงอันอีกต่อไป เขาเปลี่ยนความคิด หันมาจ้องอาจารย์กระบี่วัยกลางคนผู้นั้นเขม็ง แล้วพูดด้วยสีหน้ามืดทะมึน “เฉินผิงอัน หายนะครั้งนี้ เดิมทีก็เป็นข้าที่หาเรื่องใส่ตัว เจ้าเดินทางไปยังทิศเหนือต่อได้เลย ข้าจะจัดการกับพวกเขาเอง”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าตัวคนเดียวสามารถฆ่าพวกเขาทุกคนแล้วหนีรอดไปได้อย่างปลอดภัยงั้นรึ?”
ลู่ไถไม่ตอบ
เฉินผิงอันจึงพูดเสียงขุ่น “เจ้าชอบที่จะตายโดยไร้ที่ฝัง แม้แต่หลุมศพก็ยังหาไม่เจอขนาดนี้เชียวรึ?”
ลู่ไถร้องเพ้ยๆๆ อยู่หลายทีแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าอย่าแช่งข้าสิ”
เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกอยู่ที่เดิม เงียบไปพักใหญ่กว่าจะตอบมาประโยคหนึ่งว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พูดจาไร้สาระให้น้อย ฆ่าคนให้ได้มากๆ”
ลู่ไถพลันส่งเสียงทางจิตให้กับเฉินผิงอัน “ลงมือ!”
เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ
เขาสะบัดยันต์ย่อพื้นที่ที่เขียนตามมหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาดซึ่งอยู่ในชายแขนเสื้อทันที
พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป
หัวใจของอาจารย์กระบี่วัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีดำชายแขนเสื้อกว้างหดตัวรัดเกร็ง รู้ได้ว่าท่าไม่ดีแล้ว
ยังดีที่ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนนั้นได้เดินออกมาแล้วหนึ่งก้าว ไม่เพียงแต่ขวางอยู่เบื้องหน้าอาจารย์กระบี่ ยังฟาดแส้ไปท่ามกลางความว่างเปล่าเบื้องหน้าตัวเองอย่างรวดเร็วด้วย “น่าสนใจไม่น้อยเลย!”
เฉินผิงอันที่มาโผล่อยู่ตรงหน้าคนทั้งสองไม่เพียงแต่ไม่หลบเลี่ยงแส้เหล็กที่ฟาดมาอย่างดุดัน กลับยิ่งตัดสินใจได้อย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะต่อสู้ประชิดตัวกับอีกฝ่าย แต่เขาก็เอียงศีรษะหลบเล็กน้อย ค้อมตัวลง ใช้ ‘ปราณกระบี่’ กระบี่ยาวที่สะพายไว้ข้างหลังต้านรับแส้เหล็กนั้น ส่วนตัวเองก็ปล่อยหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าเข้าใส่หน้าอกของชายฉกรรจ์
หมัดหนึ่งปล่อยไปแล้วก็ย่อมตามด้วยสิบหมัด ร้อยหมัด
หากปณิธานเปี่ยมล้นมากพอ เมื่อพละกำลังหมัดแล้วหมัดเล่าของข้าทบซ้อนเท่าทวี ต่อให้เจ้าเป็นเซียนอรหันต์ร่างทอง หรือร่างทองมิพ่ายอย่างที่เล่าลือกันในตำนาน ข้าก็ยังต่อยให้ร่างของเจ้าพินาศวอดวายได้อยู่ดี!
อาจารย์กระบี่วัยกลางคนแค่สติหลุดไปชั่วขณะ แต่เพียงไม่นานแสงสีเขียวเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากชายแขนเสื้อของเขา
เลือดสดพุ่งทะลักออกจากปากของชายฉกรรจ์ เขาเซถอยหลังไปห้าหกก้าว มือข้างที่ถือแส้เหล็กแกว่งสะบัดอยู่ตรงหน้าตัวเองจนแม้แต่น้ำสักหยดก็เข้าไปใกล้ไม่ได้ ขณะเดียวกันเขาก็คำรามสุดเสียงว่า “ปกป้องอาจารย์คุมทัพ!”
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหว เอ่ยเรียกเบาๆ ว่า “สืออู่”
รุ้งกระบี่เล็กบางสีเขียวมรกตเส้นหนึ่งพุ่งพรวดออกไปจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอว
นักพรตพรรคมหายันต์คนนั้นหัวเราะเสียงเย็น “คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งจริงๆ ด้วย”
ชายฉกรรจ์รู้สึกเพียงว่าไหล่ข้างซ้ายปวดแปลบเหมือนเนื้อฉีกขาด หัวใจพลันสั่นสะเทือน เหตุใดถึงเร็วขนาดนี้?!
ระหว่างที่หนึ่งหมัดของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าโดนเป้าหมาย ปณิธานหมัดก็ชักนำไปถึงหมัดที่สาม
สืออู่เพิ่งออกจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ส่งเสียงดังเคร้ง แสงกระบี่ที่เพิ่งจะพุ่งไปหมายตัดเอวของอาจารย์กระบี่วัยกลางคนก็ถูกยันต์ที่เปล่งแสงวาบสีแดงปกคลุมไว้ภายใน สืออู่จึงพุ่งชนกำแพงไปทั่วอย่างสะเปะสะปะ
สีหน้าของอาจารย์กระบี่เหี้ยมเกรียม โบกชายแขนเสื้อใหญ่อีกครั้ง ก็มี ‘กระบี่บิน’ อีกเล่มบินออกมาจากชายแขนเสื้อ
เฉินผิงอันมองเมินฝีมือเชี่ยวชาญในการควบคุมกระบี่ของอาจารย์กระบี่ท่านนี้ หลังจากมาโผล่อยู่ด้านหลังชายฉกรรจ์อย่างที่แทบจะเรียกได้ว่าผีไม่รู้เทพไม่เห็นก็ปล่อยหมัดที่สามลงไปยังหัวใจด้านหลังของชายร่างกำยำหนักๆ เน้นๆ
หมัดที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังหนักหน่วงทะลุไปยังหัวใจของคนผู้นี้โดยตรง
หมัดที่สี่เลื่อนลงล่างขยับไปทางขวามือ ต่อยลงบนกระดูกสันหลังของชายผู้นี้จังๆ
นักพรตใช้ยันต์ลับล้ำค่ากักขัง ‘ชูอี’ ที่ออกมาสะบั้นฟันแสงสีเขียวของอาจารย์กระบี่อีกครั้ง
นักพรตสีหน้าเขียวคล้ำ หนังตากระตุกถี่ยิบ รู้สึกถึงเพียงเลือดที่หลั่งอยู่ในใจ เสียดายอย่างถึงที่สุด เจ้าตะพาบน้อยสารเลวผู้นี้มีกระบี่บินถึงสองเล่มเชียวรึ?!
หรือว่ากาเหล้าสีชาดที่ห้อยอยู่ตรงเอวของเด็กหนุ่มคือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่?
คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของนักพรตก็ฉายประกายเร่าร้อน ดีๆๆ!
ไม่เสียแรงที่ข้าผู้เป็นนักพรตยอมสละสมบัติก้นกรุรวดเดียวถึงสองแผ่น ขอแค่ทำสำเร็จก็ยังได้กำไรมหาศาลอยู่ดี!
พอโดนหมัดที่สาม ลมปราณอันแกร่งกร้าวที่ปกป้องทั่วเรือนกายของชายฉกรรจ์ก็แตกฉานซ่านเซ็น ดังนั้นหมัดที่สี่นี้ของเฉินผิงอันจึงกระแทกลงบนกระดูกสันหลังของเขาเน้นๆ จังๆ
เกิดเสียงลั่นเปรี๊ยะเบาๆ ดังมาเป็นระลอก คนอื่นจะไม่ใส่ใจก็ได้ แต่ตัวชายฉกรรจ์เองกลับตกใจจนอกสั่นขวัญหายไปแล้ว
หากยังโดนอีกหมัด กระดูกสันหลังนี่อาจจะหักออกจากกันเข้าจริงๆ!
ชายฉกรรจ์ไม่กล้าอำพรางฝีมืออีกต่อไป เขากระทืบเท้าหนักๆ หนึ่งครั้ง มือซ้ายจับข้อมือของมือขวา มือขวาประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ตั้งท่าเหมือนพยัคฆ์สะบัดไหล่ ดวงตาของเขาพลันกลายมาเป็นสีขาวหิมะ เลือดลม เส้นเอ็นและกระดูกพลันแกร่งกร้าวไปทุกสัดส่วน…
ประหนึ่งองค์เทพเยื้องกรายลงมายังโลกมนุษย์
จากนั้นก็ถูกหมัดที่ห้าของเฉินผิงอันต่อยให้กระเด็นปลิวลิ่วออกไปเหมือนว่าวสายป่านขาด ก่อนจะกระแทกลงบนพื้นอย่างหนัก
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ แผ่นหลังที่ต้านรับแส้เหล็กของชายฉกรรจ์ไปหนึ่งที แม้ว่าจะกระแทกลงบน ‘ปราณยาว’ แต่ก็ยังมีกำลังถึงสี่ห้าส่วนที่กระแทกเข้ามาในร่าง
หลังจากนั้นชูอีกับสืออู่ก็ถูกนักพรตพรรคมหายันต์ใช้เวทลับกักตัวเอาไว้ ยังไม่อาจสลัดได้หลุด เพื่อปล่อยหมัดที่ห้าของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าออกไปได้สำเร็จ เขาต้องรับแสงกระบี่เส้นหนึ่งจากอาจารย์กระบี่วัยกลางคนที่แทงผ่านไหล่จนเลือดโชก
แต่พลังอำนาจของทั้งร่างเฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ลดลงต่ำ กลับยังเพิ่มขึ้นสูง จิตวิญญาณรวมตัวกันได้อย่างแน่นหนา ปณิธานหมัดพลุ่งพล่านจนแทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่มีวี่แววของคนที่ดิ้นรนก่อนตายแม้แต่น้อย หนำซ้ำพลังยังเพิ่มทะยานพรวดพราดขึ้นอย่างต่อเนื่องอีกด้วย
ราวกับพระอาทิตย์ขึ้นทางทะเลตะวันออกที่ไม่ช้าก็เร็วต้องลอยตัวสูงเด่นอยู่กลางนภา
เขาอดแสยะปากยิ้มไม่ได้
บาดแผลเล็กน้อยแค่นี้จะนับเป็นอะไรได้
—–