ลมฟ้าลมฝนกำลังจะมาเยือน
โดยเฉพาะตระกูลฟางหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ
เพราะดูเหมือนว่ามีลูกหลานในตระกูลคนหนึ่งที่ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จนั้นมีไม่พอ แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือได้ไปทำร้ายเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง
เดิมทีเรื่องนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพราะคนที่ลงมือไม่ใช่คนประเภทที่ทำเรื่องเลวร้ายแล้วจะต้องชั่วร้ายให้ถึงที่สุด ถึงขั้นที่ต้องกำจัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก แต่เป็นเพราะตระกูลฟางมีเงิน แล้วก็ยินดีที่จะจ่ายเงิน หากใช้เงินแล้วสามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่ว่าจะปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่ก็ล้วนไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเด็กสาวที่ตายอย่างกะทันหันผู้นี้มีความเกี่ยวข้องเล็กน้อยกับร้านยาฮุยเฉิน ร้านยาคือกิจการของตระกูลฟ่าน แต่ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ แค่ความสัมพันธ์บางเบาเล็กน้อยเท่านี้ คนผู้นั้นกลับคิดเอาจริงเอาจัง คิดเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ
และคนผู้นั้นก็คือแขกสูงศักดิ์ที่ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด
ตระกูลโหวและตระกูลติงมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฟางมาหลายรุ่นหลายสมัย ช่วงที่ผ่านมานี้ทั้งสามตระกูลไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น มีความเคลื่อนไหวถี่ขึ้น
ส่วนตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าที่กำลังจะแต่งหญิงสาวสกุลเจียงอวิ๋นหลินเข้าตระกูลกำลังง่วนอยู่กับการต้อนรับแขกส่งแขก ยุ่งวุ่นวายมาก จึงคร้านที่จะสนใจเรื่องเละเทะประเภทนี้
ส่วนตระกูลซุนที่มีคนหนุ่มซุนเจียซู่เป็นเจ้าประมุขกลับนิ่งดูดายต่อเรื่องนี้ คงจะเป็นเพราะอยากนั่งดูไฟชายฝั่ง
บ้านบรรพบุรุษสกุลซุน ซุนเจียซู่เพิ่งจะได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง
ผู้ฝึกลมปราณสำนักใบถงที่ช่วยต่อชีวิตให้กับตระกูลติงท่านนั้น ตอนนี้ได้พาหญิงสาวสกุลติงกลับคืนมายังนครมังกรเฒ่า เพราะคนผู้นี้มีฐานะสูงส่งในสำนักใบถง ในบรรดาผู้ติดตามของเขาจึงมีเซียนพสุธาขอบเขตก่อกำเนิดอยู่ท่านหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีคนผู้นี้ก็คือหนึ่งในเซียนพสุธาอยู่แล้ว อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าการที่ลูกหลานเสเพลของตระกูลฟางคนนั้นกล้าทำเรื่องที่กำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ก็เพราะบรรพบุรุษมีสหายเป็นผู้ฝึกลมปราณใหญ่คนหนึ่ง ส่วนคนผู้นั้นเป็นใคร เด็กแซ่ฟางก็ดี หรือบิดาของเขาก็ช่าง ล้วนไม่มีใครกล้าพูดอย่างชัดเจน
ดังนั้นแทบทุกคนจึงรู้สึกว่าสถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว
ตอนนี้ซุนเจียซู่ชอบมานั่งตกปลาตรงสถานที่ที่เด็กหนุ่มต้าหลีเคยมา ขอแค่ไม่มีกิจในตระกูลที่สำคัญ ซุนเจียซู่ก็มักจะแอบอู้งานมานั่งอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง
เขารู้สึกลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคราวนี้ควรจะเดิมพันดีหรือไม่ หากเดิมพันแล้ว แล้วควรจะเดิมพันมากเท่าไหร่?
ช่วงนี้ซุนเจียซู่ได้พบกับยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอย เพียงแค่เอ่ยคำเดียวก็ทำให้สภาพจิตใจที่มีจุดด่างพร้อยเล็กน้อยของเขากลับคืนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น
คนผู้นั้นแค่ยิ้มถามด้วยประโยคเดียวว่า “เจ้าซุนเจียซู่แน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายผิด?”
ประหนึ่งวิธีการใช้ไม้กระบองตีหรือตวาดเสียงดังของศาสนาพุทธ (หนึ่งในวิธีที่สำนักพุทธนิกายเซนใช้ต้อนรับผู้ที่เพิ่งเข้าสู่นิกาย หากถามคำถามแล้วอีกฝ่ายตอบไม่ถูกต้องก็จะใช้กระบองตี หรือไม่ก็ตวาดเสียงดัง เพื่อทดสอบความฉลาดเฉลียว บ้างก็เพื่อบอกเป็นนัยและชี้นำให้แก่อีกฝ่าย สามารถใช้เปรียบเทียบถึงการตักเตือนให้ผู้อื่นตื่นมีสติ)
แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นเป็นคนที่มีรากฐานของความฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังสั่งสมสติปัญญาไว้มากพอจนถึงขั้นที่บรรลุได้ หาไม่แล้วต่อให้เกิดเสียงดังสักกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีประโยชน์
ซุนเจียซู่เก็บคันเบ็ดตกปลา ปล่อยปลาทั้งหมดที่ตกมาได้แล้วเก็บไว้ในข้องปลาคืนสู่แม่น้ำ
สุดท้ายซุนเจียซู่ตัดสินใจว่าจะไม่เดิมพันในครั้งนี้
……
เหนือทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่า หญิงสาวกระโปรงเขียวคนหนึ่งเล่นกระโดดข้ามช่องสี่เหลี่ยมเบาๆ ตอนที่พลิ้วกายลงบนพื้น เมฆหมอกก็กระเพื่อมกระเซ็นเป็นระลอก บางครั้งนางจะหยิบไข่มุกแก้วขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งออกมาโยนเล่น
สุดท้ายนางจะเล็งตำแหน่งบางแห่งของทะเลเมฆแล้วพุ่งตัวออกไป ก่อนที่นางจะเอามือสองข้างวางแนบไว้กับด้านนอกต้นขา ขาสองข้างประกบชิดติดกัน จากนั้นก็ทิ้งร่างทิ้งดิ่งลงมายังมุมใดมุมหนึ่งของเมืองฝั่งในนครมังกรเฒ่า
คล้ายกับมีต้นหอมสีเขียวต้นหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้า…
ด้วยความเร็วสูงสุด หนึ่งเค่อก่อนจะกระแทกลงสู่พื้นดิน หญิงสาวนามว่าฟ่านจวิ้นเม่าก็พลิ้วกายลงบนพื้นเบาๆ
ตำแหน่งที่นางพลิ้วกายลงมาก็คือเรือนด้านหลังของร้านยาฮุยเฉิน
เจิ้งต้าเฟิงเถ้าแก่ร้านกำลังนั่งสูบยาอยู่บนขั้นบันได
ฟ่านจวิ้นเม่าถาม “ว่ายังไง?”
ควันยาสูบลอยขโมงอบอวลจนมองเห็นใบหน้าของเจิ้งต้าเฟิงได้ไม่ชัด ได้ยินแต่เสียงชายฉกรรจ์พูดเนิบช้าว่า “ติดหนี้ใช้หนี้ ติดค้างชีวิตใช้คืนด้วยชีวิต ข้ากับหลี่เอ้อร์ไม่เหมือนกัน เขาเล่นงานแต่กับคนแก่ ส่วนข้าจะคนแก่หรือเด็กก็ไม่มีเว้น”
ฟ่านจวิ้นเม่ามองชายฉกรรจ์ที่เดิมทีชอบเฮฮาสนุกสนานทั้งวันด้วยสายตาคลุมเครือ
สุนัขเปลี่ยนนิสัยกินอาจมไม่ได้
ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้วก็ยังมีนิสัยเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเคร่งขรึมมาทั้งชีวิต มีแค่เพียงครั้งนั้นครั้งเดียวที่จริงจัง
ห่างไปไกลแสนไกล ประตูสวรรค์สี่แห่ง ขุนพลเทพสามท่านต่างก็ละทิ้งหน้าที่ด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป เปิดทางให้กับ ‘กองทัพกบฏ’ ที่บุกมาด้วยพลังอำนาจเกินต้านทาน มีเพียงขุนพลเทพที่อยู่ทางทิศตะวันออกซึ่งถูกมองว่ารักตัวกลัวตายมากที่สุดและทำตัวเอ้อระเหยลอยชายมากที่สุดท่านนั้นที่ไม่ยอมเปิดทาง ต่อให้ตายก็ไม่ยอมถอย
แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมถอยก็คือ ตาย
เขาถูกคนใช้หนึ่งกระบี่ปักตรึงตายคาที่อยู่บนเสาใหญ่ของประตูสวรรค์
ไม่ว่าจะฝั่งศัตรูหรือฝั่งของตัวเอง ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ
การรนหาที่ตายของขุนพลเทพผู้นี้ทำให้ผู้คนคิดหาเหตุผลไม่ออกจริงๆ
ฟ่านจวิ้นเม่าถอนหายใจอยู่ในใจหนึ่งครั้ง นางไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด น่าเสียดายที่กลับต้องมารับรู้
……
อริยะหร่วนฉงเปิดสำนักตั้งพรรคอยู่บนภูเขาใหญ่ทางฝั่งทิศตะวันตกอย่างเป็นทางการ และลูกศิษย์ที่รับไว้อย่างเป็นทางการตอนนี้ก็ยังมีแค่สามคน
ร้านกระบี่ริมลำธารหลงซวียังคงเปิดอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ปิดกิจการ หร่วนฉงทิ้งเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์เปิดสำนักเอาไว้ที่นั่น นางขาดนิ้วโป้งที่จะจับกระบี่ ดังนั้นจึงห้อยกระบี่ไว้ทางเอวฝั่งขวา เปลี่ยนมาถือกระบี่ด้วยมือซ้ายแทน
ตอนที่แม่นางหร่วนซิ่วบุตรสาวคนเดียวของหร่วนฉงย้ายไปอยู่ที่ภูเขาเสินสิ่ว ได้ยินว่านางถือกรงใส่ไก่ไปด้วยกรงหนึ่ง พอนางหิ้วอยู่ในมืออย่างนั้นก็ทำให้เทพเซียนจากฝ่ายต่างๆ พากันหันมามองอย่างอดไม่อยู่ เข้าใจผิดนึกว่ามันเป็นสัตว์วิเศษที่ร้ายกาจอะไร ภายหลังผู้ฝึกลมปราณบางส่วนที่เคยไปเยือนภูเขาเสินซิ่วพูดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ก็ล้วนรู้สึกขบขันกันทั้งนั้น ที่แท้นั่นเป็นแค่แม่ไก่และลูกเจี๊ยบฝูงหนึ่ง เป็นแค่สัตว์เลี้ยงที่พบเห็นได้ทั่วไปของชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น
ดังนั้นตระกูลเซียนทั้งหลายที่อยู่บนภูเขาใกล้เคียงจึงรู้สึกว่าจิตใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของแม่นางหร่วนซิ่วต่างหากที่ถึงจะเป็นจิตแห่งมรรคาที่แท้จริง
พวกเขาเอาจริงเอาจังอย่างมาก เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนอายุน้อยบางส่วนที่เพิ่งย้ายมาอาศัยที่จวนใหม่เอี่ยมเริ่มใคร่ครวญความรู้ที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้ ด้วยรู้สึกว่าต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่
ไม่เสียแรงที่เป็นแม่นางซิ่วซิ่ว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ที่ศาลลมหิมะเคยฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ให้
ไม่ว่าทำเรื่องใดก็ล้วนมองทะลุปรุโปร่งถึงความลี้ลับ ทุกเรื่องล้วนสอดคล้องกับมหามรรคา
พอเด็กหนุ่มคิ้วยาวแซ่เซี่ยได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกสนใจ จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่ซิ่วซิ่วฟังเป็นเรื่องตลก ตอนนั้นหร่วนซิ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กสีเขียวมรกต มองแม่ไก่ที่เดินยืดอกเชิดหน้านำฝูงลูกเจี๊ยบกลุ่มน้อยจิกหาอาหารไปทั่ว นางพูดแค่ประโยคเดียวว่า อย่างนี้เองหรือ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
เด็กหนุ่มแซ่เซี่ยผู้มีวาสนามองพี่ซิ่วซิ่วที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางนี้ทำให้คิ้วของเขายิ่งยาวเข้าไปอีก
หร่วนฉงคือผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ อีกทั้งยังมีศาลลมหิมะ ‘บ้านเดิม’ ช่วยหนุนหลัง แล้วก็เพราะเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญการหลอมกระบี่ทำให้เขามีสหายกว้างขวาง ชื่อสำนักของเขาจึงสามารถใส่คำว่าสำนัก (จง) เข้าไปได้ โดยตั้งชื่อเป็นสำนักกระบี่หลงเฉวียน (หลงเฉวียนเจี้ยนจง จงแปลว่าสำนัก/ดั้งเดิม สำนักที่สามารถใช้คำว่าสำนักในชื่อจึงมีอักษรจงอยู่ด้วย)
อันที่จริงแรกเริ่มหร่วนฉงอยากตั้งชื่อแค่ว่า ‘สำนักกระบี่’ (เจี้ยนจง) เท่านั้น เพราะฟังแล้วดูมีบารมีและพลังอันยิ่งใหญ่ แต่หนึ่งเพราะทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีสำนักกระบี่อยู่ก่อนแล้ว นี่จึงไม่สอดคล้องกับกฎที่ลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ สองก็เพราะสหายสนิทที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีได้เกลี้ยกล่อมหร่วนฉงเป็นการส่วนตัวว่า การที่เขาตั้งสำนักอยู่ในเขตพื้นที่ของต้าหลีก็ถือว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ที่เรียกลมมากพอแล้ว อย่าสิ้นเปลืองพละกำลังกับเรื่องนี้อีกเลย
แม้ว่าสุดท้ายหร่วนฉงจะตัดสินใจใช้ชื่อสำนักเป็น ‘สำนักกระบี่หลงเฉวียน’ แต่ลึกๆ ในใจกลับไม่ใคร่จะพอใจนัก ไม่ว่าจะขึ้นเขาหรือลงเขาก็ล้วนไม่ชอบเดินผ่านซุ้มประตูตรงตีนเขาที่แขวนกรอบป้ายชื่อสำนักเอาไว้ เขาบอกให้นักโทษสกุลหลูที่ทางการต้าหลีนำตัวมาเปิดเส้นทางเล็กๆ ให้เขาอีกเส้นหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย เพราะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดี นี่ไม่เท่ากับว่าหลีกเลี่ยงไม่เดินทางสายใหญ่ (มหามรรคา) แต่เลือกที่จะเดินทางฝั่งข้างที่ไม่ตรงประตู (นอกรีตนอกรอย) หรอกหรือ?
แต่หร่วนซิ่วและลูกศิษย์ทั้งสามคนของเขาต่างก็รู้สาเหตุ
หร่วนฉงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้กับคนทั้งสี่ว่า ในอนาคตใครสามารถตัดสองคำว่าหลงเฉวียนออกจากชื่อสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้อย่างถูกทำนองคลองธรรม คนผู้นั้นก็คือเจ้าสำนักคนถัดไป
เวลานี้สำนักกระบี่หลงเฉวียนมีชื่อเสียงและหน้าตามากที่สุดในต้าหลีอย่างที่ใครก็ไม่อาจทัดเทียมได้
เว้นจากภูเขาเสินซิ่วซึ่งเป็นภูเขาหลักของสำนักที่สกุลซ่งต้าหลีมอบให้เป็นของขวัญเปิดสำนักแล้ว ภูเขารอบด้านอย่างภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋น และภูเขาเซียนฉ่าวสามลูกนี้ เฉินผิงอันให้อริยะหร่วนฉงเช่าเป็นเวลาสามร้อยปี จึงถือว่าอยู่ในอาณาเขตของสำนักกระบี่หลงเฉวียนมานานแล้ว
นี่คือการค้าขายที่ดีมากครั้งหนึ่ง
คนอื่นถือหัวหมูไม่เจอศาลเจ้า เข้าประตูไปแล้วคิดจะจุดธูปไหว้ให้สำเร็จอย่างแท้จริงก็ยิ่งยาก
ดังนั้นการค้าครั้งนี้จึงคุ้มค่ามากสำหรับเฉินผิงอันที่ตบะต่ำต้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่กลับได้เป็นเจ้าของที่ดินเขตการปกครองหลงเฉวียน
บวกกับที่เว่ยป้อเทพแห่งขุนเขาเหนือซึ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่เคยพาเฉินผิงอันเดินสำรวจพื้นที่รอบด้าน นี่จึงถือเป็นยันต์คุ้มกันกายสีทองอร่ามอีกชิ้นหนึ่งของเขา
ได้ยินว่าเด็กรับใช้สองคนของเขาก็แขวนป้ายสุขสงบปลอดภัยซึ่งราชสำนักต้าหลีจะแจกจ่ายให้กับผู้ฝึกลมปราณที่มีความดีความชอบ นี่ก็คือยันต์คุ้มกันกายอีกชิ้น
มียันต์คุ้มกันกายสามชิ้นนี้ อยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอย่าว่าแต่เดินเตร่เลย เฉินผิงอันที่โชคดีผู้นั้นคิดจะเดินกร่างก็ยังไม่เป็นปัญหา
น่าเสียดายก็แต่เด็กหนุ่มคนนั้นหายตัวไป ว่ากันว่าเขาออกเดินทางไกล
น่าจะเป็นเพราะเขาเป็นพวกเสวยสุขไม่เป็น
ด้านหนึ่งของภูเขาเสินซิ่วคือหน้าผากเงื้อมชะโงกขนาดใหญ่
มีอักษรโบราณสี่คำสลักอยู่บนหน้าผา เป็นคำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’ หลังจากที่หร่วนฉงตั้งสำนัก จะต้องมีผู้ฝึกลมปราณทะยานลมมาที่นี่แทบทุกวันเพื่อชื่นชมความงามของตัวอักษรใหญ่สี่คำนี้ ด้วยรู้สึกว่าหร่วนฉงเลือกภูเขาเสินซิ่วเป็นภูเขาหลักของสำนัก ไม่แน่ว่าอาจทำตามบัญชาสวรรค์ที่ลึกลับอะไรสักอย่างอยู่ก็เป็นได้
แต่หร่วนซิ่วไม่เคยไปร่วมความครึกครื้นที่นั่น ดูเหมือนว่าจะไม่เคยไปเยือนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
และหร่วนซิ่วที่ไม่ชอบไปไหนมาไหนก็คล้ายว่าจะสูงขึ้นเล็กน้อย อ้วนขึ้นอีกนิด ปลายคางกลมมนมากขึ้น
หร่วนฉงรู้สึกว่าแบบนี้ดีมาก
อันที่จริงคนเป็นบิดาส่วนใหญ่ในใต้หล้าก็มักรู้สึกว่า ไม่ว่ามองอย่างไรบุตรสาวของตัวเองก็ดีไปหมด
มีบางครั้งหร่วนซิ่วจะไปที่ศาลาบนยอดเขาเสินซิ่ว เลือกวันที่อากาศดีท้องฟ้าสดใสทอดสายตามองไปไกล มองธารน้ำที่คดเคี้ยว สุดท้ายไปรวมตัวกันเป็นลำคลองหลงซวี แล้วค่อยไหลซัดกรากกลายไปเป็นแม่น้ำเถี่ยฝู
หร่วนซิ่วไม่ได้ชอบแม่น้ำลำธารพวกนี้ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ นางรู้สึกว่าพวกมันขวางหูขวางตาอย่างมาก
พ่อปู่แม่ย่าลำธาร องค์เทพแห่งสายน้ำ เทพพิรุณ มารดาแห่งเมฆ ฯลฯ ขอแค่เป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับน้ำ นางก็ไม่ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว ได้ยินคำเรียกขานยศตำแหน่งพวกนี้ก็จะหงุดหงิดใจ
นางอยากจะใช้ค้อนทุบพวกมันให้จบๆ กันไปเหมือนตอนทุบกระบี่เล่มใหม่ที่เพิ่งออกจากเตาหลอม
วันนี้หร่วนซิ่วนอนฟุบอยู่บนราวระเบียงของศาลา อ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน
นอกศาลามีเสียงซอยฝีเท้าเร่งร้อนระลอกหนึ่งดังขึ้นมา หร่วนซิ่วหันหน้ากลับไปมอง เห็นว่ามีคนสี่คนจับกลุ่มเดินมาไกลๆ ทุกคนล้วนสวมชุดลัทธิขงจื๊อ บนศีรษะสวมหมวกผ้าโพก
หร่วนซิ่วรู้จักพวกเขาทุกคน เจ้าเมืองอู๋ยวน คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่เลื่อนขั้นในวงการขุนนางเร็วมาก ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของราชครูชุยฉานแห่งต้าหลี
ขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาคนปัจจุบันที่แซ่เฉา และยังมีอีกคนที่แซ่ยวน ทั้งแซ่เฉาและยวนล้วนเป็นแซ่สกุลของเสาหลักค้ำยันแคว้น เทวรูปที่ตั้งบูชาในศาลบุ๋นบู๊ซึ่งสร้างขึ้นบนภูเขาเครื่องปั้นและสุสานเทพเซียนก็คือบรรพบุรุษของสองคนนี้
คนสุดท้ายคือรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาพีอวิ๋น มีชาติกำเนิดเป็นซือหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิง มีนามแฝงว่าเฉิงสุ่ยตง แต่ในความเป็นจริงแล้วคือเจียวเฒ่าตัวหนึ่ง
หร่วนซิ่วลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากศาลา ยกตำแหน่งชมวิวที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา
คนทั้งสี่หันมามองหน้ากันเองแล้วยิ้ม ไม่มีใครคิดประจบเอาใจแสดงความเป็นมิตรเกินเหตุ เพราะถึงอย่างไรหร่วนซิ่วก็คือสตรีคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ พวกเขากระตือรือร้นมากเกินไปคงไม่ดี
หากเปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกลมปราณคนอื่น อย่างน้อยต้องเอ่ยขอบคุณหร่วนซิ่วสักคำ หลังจากนั้นก็แนะนำตัว หวังให้เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของนาง
คนทั้งสี่นัดหมายกันมาเล่นหมากล้อมที่นี่ อู๋ยวนต้องการจะประชันฝีมือกับรองเจ้าขุนเขาเฉิง ชุยฉานอาจารย์ของอู๋ยวนคือนักเล่นหมากล้อมอันดับหนึ่งของแคว้นต้าหลีที่สมชื่ออย่างแท้จริง ตอนที่อู๋ยวนเรียนรู้จากชุยฉาน ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของเขาจึงพัฒนามากขึ้น ถือเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เฉาหยวนสองคนแค่มาชมศึกเท่านั้น
บรรพบุรุษของตระกูลเฉาและตระกูลหยวนคือสหายที่สนิทกันมาก คือหยกคู่แห่งต้าหลี ทว่าหลายร้อยปีต่อมา ทั้งสองแซ่กลับไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ เฉาหยวนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันแทบจะไม่มองสบตากันเลยด้วยซ้ำ
ตอนนี้ต้าสุยกับต้าหลีเป็นพันธมิตรกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ลงนามเป็นพันธมิตรแห่งขุนเขาที่ภูเขาพีอวิ๋นต้าหลีและที่ภูเขาตงซานต้าสุย ทั่วทั้งแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป แทบจะเรียกได้ว่าต้าหลีคือผู้พิชิตเพียงหนึ่งเดียว ตอนนี้แคว้นใต้อาณัติหลายแห่งของต้าสุยซึ่งรวมถึงแคว้นหวงถิงต่างก็เริ่มหันมาเรียกตัวเองเป็นขุนนางคอยส่งบรรณการให้แก่สกุลซ่งต้าหลีแล้ว แน่นอนว่าระหว่างนี้ก็มีอุปสรรคอยู่บ้าง เนื่องจากตระกูลสูงศักดิ์มากมายต่างก็รู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการทรยศหักหลังซึ่งไร้คุณธรรม จากนั้นเสียงกีบเท้าม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็เริ่มดังขึ้น หลังจากที่เสียงกีบม้าหยุดลง ศีรษะของคนมากมายที่แต่เดิมสวมหมวกขุนนางสูง หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงล้วนพากันหลุดออกจากบ่า
ทั่วทั้งราชสำนักของต้าสุย บนภูเขาและในยุทธภพต่างก็เริ่มตกสู่บรรยากาศอึมครึมที่น่าประหลาด
ต้าสุยที่ยิ่งใหญ่ ผู้สืบทอดสายบุ๋นที่แท้จริงทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป กองกำลังแห่งแคว้นแข็งแกร่งรุ่งโรจน์ กลับยอมยกธงขาวทั้งที่ยังไม่ได้สู้ ยอมยกที่ดินให้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อแสวงหาความปรองดอง!
ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงปัญญาชนคนหนึ่งดื่มเหล้าเมามายเดินขึ้นไปบนยอดเขาสูง ก่อนที่จะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ได้ทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ว่า “นับตั้งแต่สกุลเกาต้าสุยก่อตั้งแคว้นมา ปัญญาชนได้รับความอัปยศที่สุดในยุคสมัยนี้ มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้”
นักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นคนหนึ่งของต้าสุยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปครึ่งทวีปถึงกับผ่าโต๊ะหมากล้อมที่ตัวเองรักที่สุดเอามาทำเป็นฟืนเผาไฟ
คนในราชสำนักของเมืองหลวงต้าสุยทยอยกันลาออกไม่ขาดสาย มีตั้งแต่ขุนนางตำแหน่งสูงไปจนถึงขุนนางที่ยังไม่ได้รับบรรจุอย่างเป็นทางการ จำนวนมากถึงร้อยกว่าคน ว่ากันว่าที่ว่าการหกกรมในเมืองหลวงว่างโล่งไปครึ่งหนึ่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา
ไม่ว่าอย่างไร กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีก็เริ่มเดินทางลงใต้แล้ว
ความโกลาหลเริ่มเกิดขึ้นในแจกันสมบัติทวีป
เสียงวางตัวหมากชัดแจ๋วดังมาจากทางศาลาเป็นระยะ
หร่วนซิ่วเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นสนโบราณริมหน้าผา เดินเก็บก้อนหินจากพื้นมาตลอดทาง จากนั้นก็โยนมันไปนอกหน้าผาเบาๆ
ไอเมฆหมอกเหมือนสายน้ำที่ไหลรินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฟ้าดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
นางพลันโยนหินก้อนที่เหลืออยู่ในมือทิ้งไป
วันนี้ยังต้องช่วยท่านพ่อตีเหล็กนี่นา จบกันๆ ไปสายขนาดนี้ คืนนี้ต้องไม่ได้กินเนื้อเค็มตุ๋นหน่อไม้แน่เลย
—–