เฉินผิงอันจำได้ว่าตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา อาวุธวิเศษและสมบัติอาคมไม่กี่ชิ้นที่ขายด้วยราคาสูงสุดบนเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวจากอุตรกุรุทวีปนั้นก็แค่ประมาณหนึ่งถึงสองหมื่นเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
สำหรับคู่พี่น้องสองคนนั้นแล้ว ก็เหมือนกับตอนที่เฉินผิงอันยังเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกร แล้วได้ยินหลิวเสี้ยนหยางพูดอย่างลับๆ ล่อๆ ว่าราคาของบ้านหลังใหญ่บนถนนฝูลวี่นั้นมีราคาหลายพันตำลึง
ตอนนั้นขนาดเศษเงินเม็ด เฉินผิงอันยังเคยเห็นแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลังจากครั้งนั้น จำนวนครั้งที่ชุนสุ่ยกับชิวสือได้เห็นเงินฝนธัญพืชมีมากน้อยแค่ไหน
ลู่ไถง่วนกับการอาศัยปราณวิญญาณที่มีอยู่ในจินหลี่มารักษาอาการบาดเจ็บ จึงไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าหม่นหมองของเฉินผิงอัน เขาแค่นเสียงเย็นพูดว่า “ทุ่มชีวิตเข่นฆ่ากับหม่าว่านฝ่า เชือกห้าสีเส้นนั้นของข้าได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง สมบัติคุ้มกันกายอีกชิ้นหนึ่งก็ถูกทำลายจนย่อยยับไปแล้ว ไม่พูดถึงราคาซ่อมเชือกห้าสี เจ้ารู้หรือไม่ว่าสมบัติคุ้มกันกายชิ้นที่ข้าพูดถึงนั้นมีมูลค่าเท่าไหร่?”
ลู่ไถกะพริบตาปริบๆ “หากเอาสมบัติทั้งหมดที่มีอยู่ในวัตถุฟางชุ่นมอบให้ข้า บวกกับธงค่ายกลที่กระจัดกระจายพวกนั้นก็ถือว่าข้าไม่ขาดทุนอย่างถูไถ พอจะได้กำไรมาบ้าง”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าลืมนับ ‘ยันต์ปลาผ้า’ ที่สามารถเอาไปเก็บไว้ในชั้นหนังสือของตระกูลเล่มนั้น”
ลู่ไถทำท่า ‘กระจ่างแจ้งในฉับพลัน’ “ฮ่าๆ ข้าลืมไปเลย”
เฉินผิงอันชี้ไปยังวัตถุฟางชุ่นที่อยู่ในมือเขา “ยังมีหยกแผ่นนี้อีก ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากเจ้ากับข้าแบ่งกันคนละครึ่งจริงๆ หยกชิ้นนี้มีมูลค่าเท่าไหร่? วัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่ง ถึงอย่างไรก็คงไม่ใช่ถูกๆ หรอกกระมัง?”
ลู่ไถพูดอย่างขุ่นเคือง “เฉินผิงอัน! ข้าบาดเจ็บหนักขนาดนี้ เจ้าจะไม่เห็นใจกันบ้างเลยรึ?”
เฉินผิงอันพูดอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ “ข้าก็บอกแล้วว่านอกจากกระบี่เล่มนี้ ของทุกชิ้นล้วนเป็นของเจ้า เจ้ายังจะพูดวกไปวนมาไม่หยุด ต้องการอะไรกันแน่?”
ลู่ไถถอนหายใจ “ก็เพราะข้ารู้สึกว่าตัวเองเอาเปรียบเจ้าเกินไป ดูไม่มีคุณธรรมไงล่ะ ถึงได้พยายามคิดหาวิธีที่ทั้งทำให้ตัวเองได้กำไรก้อนใหญ่ แล้วก็ทั้งสบายใจด้วย”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เจ้าไม่เบื่อบ้างหรือไง?”
เฉินผิงอันดึงกระบี่ยาวที่อยู่ข้างกายออกมายื่นส่งให้ลู่ไถ บอกให้เขารู้ถึงความผิดปกติหลังจากกระบี่เล่มนี้แทงทะลุหัวใจอย่างคร่าวๆ ลู่ไถโบกมือไม่รับกระบี่ ‘ชือซิน’ ของโต้วจื่อจือเล่มนี้มา พูดเข้าประเด็นโดยตรงว่า “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าใช้มือชั่งน้ำหนักด้วยตัวเองก็รู้แล้วว่านี่เป็นวิธีของพวกนอกรีตนอกรอย”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนถามว่า “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่ชายฉกรรจ์คนนั้นพูดว่า ‘เคยแล้ว’ หมายความว่ายังไง?”
ลู่ไถยิ้มตาหยี “วันหน้าเจ้าก็หัดเข้าหอโคมเขียวบ่อยๆ ดื่มเหล้าเคล้านารีเยอะๆ เดี๋ยวก็ได้รู้เอง”
เฉินผิงอันไม่สนใจคำสัพยอกของเขา วางกระบี่พาดขวางไว้ด้านหน้า ชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ ประกายน้ำฤดูใบไม้ร่วงที่ทำให้คนหนาวเย็นคล้ายมารวมกันบนตัวกระบี่เล่มนี้
ลู่ไถอธิบาย “รู้แค่ว่ามันขายได้ราคาไม่ต่ำแน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้กังขาในเรื่องนี้
หลานชายของซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยเคยตั้งใจไปเยือนท่าเรือตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ตรงเขตเชื่อมต่อระหว่างสองแคว้นเพื่อจ่ายเก้าร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะซื้อกระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่หลอมมาจากบนภูเขา ผลาญสมบัติของหมู่บ้านบนภูเขาไปไม่น้อย
ขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของผู้อาวุโสซ่งพอๆ กับของโต้วจื่อจือ
แต่คนทั้งสองที่เป็นมือกระบี่ชั้นสูงในยุทธภพกลับมีรากฐานในการยืนหยัดและสัจธรรมแห่งเวทกระบี่ที่แตกต่างกันมาก
ซ่งอวี่เซาที่เป็นปรมาจารย์วิถีกระบี่ซึ่งชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพไร้ที่พึ่ง มีแค่กระบี่เล่มเดียว
สำหรับในข้อนี้ โต้วจื่อจือก็เป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่ในด้านของกระบี่พกติดกาย เขากลับให้ความสำคัญอย่างเต็มที่
เมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณที่มีสมบัติอาคมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีแล้ว เรียกได้ว่าแตกต่างราวฟ้ากับเหวจริงๆ
ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่อยู่ในยุทธภพ แต่อยู่บนฟ้าก็ยิ่งตรงไปตรงมา แสวงหาในข้อที่ว่าหนึ่งกระบี่ฝ่าทลายหมื่นอาคม
เฉินผิงอันถามถึงอาคมสับเปลี่ยนหลังจากที่อาจารย์คุมทัพผู้นั้นตบยันต์ให้แตก ลู่ไถเองก็เพิ่งเคยเห็นกับตาเป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ลูกหลานสกุลลู่ที่มีความรู้กว้างขวางผู้นี้พูดจ้อไม่หยุด และถือโอกาสพูดให้เฉินผิงอันฟังถึงการร่วมมือกันระหว่างยันต์และค่ายกล เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าที่แท้การใช้ยันต์ย่อพื้นที่สองแผ่น ‘ทับซ้อนกัน’ สามารถสำแดงประสิทธิผลอย่างที่คาดไม่ถึงได้
เวทอภินิหารบนภูเขาเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์นับร้อยนับพันรูปแบบอย่างแท้จริง
“พอสมควรแล้ว สยบอาการบาดเจ็บเอาไว้ได้แล้ว หลังจากนี้แค่สงบใจพักฟื้นก็พอ”
ลู่ไถลุกขึ้นยืน ใช้ปลายนิ้ว ‘จับ’ ชุดคลุมอาคมสีทองออกมา โยนไปให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันแค่กางสองแขนออกกว้างจินหลี่ก็สวมลงบนร่างเขาด้วยตัวเองเหมือนมีสาวใช้ปรนนิบัติสวมใส่ให้
ลู่ไถเก็บหยกสีเขียวเข้มแผ่นนั้นเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ พูดยิ้มๆ ว่า “นั่งลงแบ่งของโจร กลัวเรื่องอะไรมากที่สุด”
ลู่ไถถามเองตอบเอง “แบ่งของได้ไม่เท่ากันแล้วขัดแย้งกันเอง ดังนั้นข้าลองคำนวณดูแล้ว ตอนนี้ข้าติดค้างเจ้าเฉินผิงอันเป็นราคาครึ่งหนึ่งของแผ่นหยก หากคิดเป็นเงินเกล็ดหิมะล่ะก็…”
ลู่ไถร้องโอ้ยหนึ่งที ยกมือกุมหัวใจ ขมวดคิ้วมุ่น “พอพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็เจ็บหัวใจขึ้นมาทันทีเลย”
เฉินผิงอันตบหัวลู่ไถหนึ่งป้าบ ด่ายิ้มๆ “เกเร”
ตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อมักจะทำแบบนี้กับเด็กชายชุดเขียวบ่อยๆ
ลู่ไถอึ้งตะลึง แต่แล้วก็ไม่ได้ถือสาเฉินผิงอัน
“ข้าจะไปดูความเคลื่อนไหวรอบด้านสักหน่อย ยังไม่ต้องรีบร้อนไปไหน”
เฉินผิงอันพูดจบก็กระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้สูง ทอดสายตามองไปรอบด้าน
ลู่ไถเงยหน้ามองตาม ลังเลอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดก็ปลุกความกล้าให้ตัวเองขึ้นไปยืนบนกิ่งไม้ เพียงแต่ยังไม่ลืมใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันกับลำต้น ถึงจะพอวางใจลงได้บ้าง
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือกระบี่ชือซิน อีกมือหนึ่งปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าอย่างที่หาได้ยาก “ลู่ไถ อันที่จริงข้ารู้ว่า หากไม่สังหารหม่าว่านฝ่า ย่อมทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลังไม่มีที่สิ้นสุด หลังจากนี้จะต้องเจอกับปัญหาความวุ่นวายไปตลอดทาง ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่ตัดสินใจแล้วว่าจะกัดไม่ปล่อย ข้าเองก็เคยเจอมาก่อนที่แคว้นซูสุ่ย ดังนั้นข้ามีแค่กระบี่เล่มนี้ก็พอแล้ว เจ้าไม่ต้องให้เงินเกล็ดหิมะข้าเพิ่มหรอก”
ลู่ไถกำลังจะอ้าปากพูด
แต่เฉินผิงอันกลับหันหน้ามาส่งยิ้มบางๆ ให้เสียก่อน “แต่พอได้รู้จักกับเจ้า ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ควรใช้เหตุผลของตัวเองฝ่ายเดียว ทุกเรื่องล้วนกลัวความสุดโต่งมากที่สุด หากเจ้าไม่สบายใจจริงๆ ข้าจะรับเงินไว้ด้วยก็ได้”
ลู่ไถไม่ได้พูดอะไร เขาถือโอกาสเอนตัวพิงลำต้น คลี่ยิ้มหยิบกระจกออกมาส่องซ้ายส่องขวา เริ่มจัดผมข้างจอนหูของตัวเองอย่างประณีตพลางคลอเพลงในลำคอไปด้วย
ม้าไม่กินหญ้าตอนค่ำไม่อ้วน คนไม่มีโชคลาภก็ไม่รวย
เฉินผิงอันทนเห็นภาพนี้ไม่ไหวจึงไม่มองเขาอีก แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้ว “มีคนกำลังมาทางนี้”
ลู่ไถมองตามสายตาของเฉินผิงอันไป แต่แล้วก็ส่องกระจกหวีผมของตัวเองต่ออีกครั้ง “ก็แค่พวกคนบ้าบิ่นในยุทธภพเท่านั้น น่าจะเป็นคนของปราสาทแห่งนั้น เจ้าสวมชุดจินหลี่ ยืนให้พวกเขาฟันสักหลายสิบมีดก็ยังไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันกล่าว “มีเรื่องเพิ่มขึ้นไม่สู้มีเรื่องน้อยลง หากเจ้าเคลื่อนไหวได้แล้วพวกเราก็ออกเดินทางขึ้นเหนือกันต่อเถอะ”
ลู่ไถสองจิตสองใจ ถามหยั่งเชิงว่า “พวกเราหยุดพักผ่อนกันสักสองสามวันได้ไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้สิ”
……
คนกลุ่มหนึ่งออกจากปราสาทเข้ามาในป่า เรือนกายของพวกเขาแต่ละคนแข็งแรงปราดเปรียว ดูก็รู้ว่าเป็นพวกผู้ฝึกยุทธ์ที่มีรากฐานแข็งแกร่งแน่นหนา
เพียงแต่ว่าความแข็งแกร่งแน่นหนาที่ว่านี้แค่เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปในยุทธภพเท่านั้น
ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือผู้เฒ่าเครายาวสวมชุดเขียวที่มีบุคลิกสุภาพสง่างาม ลมหายใจของเขาทอดยาว ฝีเท้าแผ่วเบา น่าจะเป็นยอดฝีมือวิชาหมัดมวยภายใน
หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวสองคนที่อยู่ด้านหลังอายุประมาณยี่สิบปี สวมใส่อาภรณ์งดงามหรูหรา บุรุษหล่อเหลาสง่างาม หญิงสาวงดงามอ่อนหวาน คนทั้งสองหน้าตาคล้ายกันอยู่สี่ส่วน น่าจะเป็นพี่น้องกัน
ด้านหลังบุรุษสะพายคันธนู หญิงสาวสวมรองเท้าหุ้มแข้งปักลาย ข้อมือสวมกำไลทองรูปงูที่ทำขึ้นอย่างประณีต เป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกที่ยอดเยี่ยมคู่หนึ่ง
ถัดจากพวกเขาก็คือข้ารับใช้วัยฉกรรจ์สิบกว่าคน ทุกคนต่างก็สวมชุดรัดรูปที่เรียบง่ายคล่องตัว
จากนั้นพวกเขาก็เห็นคุณชายอายุน้อยสองคนเดินสวนทางมาในป่า ทุกคนล้วนหยุดเดิน เอื้อมมือไปกุมอาวุธไว้แน่น เต็มไปด้วยความระแวดระวังและกริ่งเกรง
ผู้เฒ่าที่เป็นผู้นำยิ้มพลางยกมือขึ้นกุมคารวะ “ข้าน้อยเหอหยาผู้ดูแลป้อมอินทรีบิน ไม่ทราบคุณชายทั้งสองท่านเห็นว่าบริเวณใกล้เคียงนี้มีเซียนซือหรือปีศาจผ่านมาบ้างหรือไม่?”
ลู่ไถยิ้มตาหยี “บนโลกนี้มีเทพเซียนและปีศาจซะที่ไหน? ท่านผู้เฒ่ากำลังเล่าเรื่องตลกอยู่หรือ?”
ผู้เฒ่าพูดต่อไม่ออก
สตรียังสาวผู้นั้นเห็นลู่ไถที่ลักษณะเหมือนเซียนในตำรา ดวงตาก็พลันเป็นประกาย สีหน้ามีชีวิตชีวาขึ้นมาโดยพลัน
แต่พี่ชายของนางกลับเยือกเย็นสุขุม สายตามองประเมินแขกที่ไม่ได้รับเชิญทั้งสองคนนั้นไม่หยุด
ในรัศมีร้อยลี้ใกล้เคียงป้อมอินทรีบินไม่มีทิวทัศน์งดงามให้มาเที่ยวชม มีแค่ภูเขาและแม่น้ำที่ธรรมดาที่สุด อีกทั้งเส้นทางบนภูเขาสองเส้นที่ทอดยาวไปยังป้อมอินทรีบิน ทางเส้นหนึ่งกว้างขวาง อีกเส้นหนึ่งแคบเหมือนไส้แกะ เมื่อออกห่างจากป้อมอินทรีบินไประยะหนึ่ง ฝ่ายแรกกลายเป็นทางตัน ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกเดินตามเส้นทางสายใหญ่มาเจอเข้ากับป้อมอินทรีบินที่เร้นกายจากโลกภายนอก
เมื่อสามสิบสี่สิบปีก่อนป้อมอินทรีบินยังเป็นผู้พิชิตแห่งยุทธภพของแคว้นเฉินเซียง แต่หลังจากผ่านหายนะมาครั้งหนึ่งก็เริ่มเก็บตัวอย่างสันโดษ เป็นฝ่ายทำลายเส้นทางใหญ่สายนั้น น้อยครั้งที่ลูกศิษย์จะออกไปหาประสบการณ์ภายนอก แต่ก็ไม่ถึงขั้นตัดขาดจากโลกภายนอกเสียทีเดียว ยังคงไปมาหาสู่กับพ่อค้าบางส่วน บางครั้งคนในยุทธภพที่มีความสัมพันธ์กันก็มาพักผ่อนเป็นแขกในปราสาท บ้างก็มาประลองฝีมือขอความรู้ด้านวรยุทธ์
การที่คนสองคนตรงหน้าปรากฏตัวที่นี่ เดิมทีก็เป็นเรื่องประหลาดมากพอแล้ว ก่อนหน้านี้ทางป้อมสังเกตเห็นว่ามีเทพเซียนต่อสู้กันอย่างน่าครั่นคร้าม หากไม่ใช่ควันดำก็เป็นประกายแสงพร่างพราว สุดท้ายยังมีกายธรรมร่างทองที่เปี่ยมไปด้วยพลานุภาพลอยตัวอยู่กลางอากาศ โดดเด่นเหนือพงไพร
คนส่วนใหญ่ในป้อมอินทรีบินล้วนไม่เคยเห็นภาพปรากฎการณ์เช่นนี้มาก่อน ผู้คนจึงพากันหวาดหวั่นพรั่นพรึง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่
ดังนั้นหลังจากปรึกษากันไปรอบหนึ่ง เจ้าประมุขของปราสาทจึงสั่งให้ผู้ดูแลเหอหยามาตรวจสอบที่นี่ ส่วนชายหนุ่มกับหญิงสาวกลับแอบทุกคนออกมา พวกเขามาเจอกันกลางทาง นี่จึงทำให้ผู้ดูแลเหอหยารู้สึกระอาใจ ได้แต่ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง จงใจอ้อมทางไปไกลกว่าเดิม ถึงได้มาถึงที่นี่อย่างเชื่องช้า สุดท้ายได้ก็มาเจอกับคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าซึ่งกำลังเดินกินลมชมทิวทัศน์
สีหน้าของเหอหยาเหมือนจะผ่อนคลาย แต่ในความเป็นจริงแล้วหัวใจของเขากลับบีบรัดตัว เพราะกลัวว่าคุณชายสองคนที่มองดูเหมือนเทพเซียนจะลงมือทำร้ายผู้คน
ในป้อมอินทรีบินนอกจากเหอหยาที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพซึ่งมีอายุมากแล้ว ต่อให้เป็นเจ้าปราสาทคนปัจจุบัน สำหรับเรื่องลับแปลกประหลาดที่อยู่ในยุทธภพแต่ไม่อยู่ในโลกเหล่านั้น ต่อให้เขาเคยได้ยินมาก่อน ทว่าขอแค่ไม่เคยได้เห็นกับตาตัวเอง ย่อมไม่ได้มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งนัก ทว่าเหอหยานั้นไม่เหมือนกัน ผู้ดูแลเฒ่าเคยท่องยุทธภพมาก่อน เคยไปเยือน ‘กึ่งกลางภูเขา’ อยู่หลายครั้ง
ดังนั้นภายใต้การยืนหยัดของผู้ดูแลเฒ่าจึงมีกฎเกณฑ์มากมายที่ทำให้คนหนุ่มสาวรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นวันปีใหม่ เทศกาลฉงหยาง ฯลฯ ของทุกปี ประตูบานใหญ่หนาหนักหลายบานของป้อมอินทรีบินจะต้องแปะยันต์อักษรสีแดงที่ไปขอมาจากอารามเต๋าด้านนอก เวลาที่พวกเด็กๆ ตกใจจะมีพิธีเรียกขวัญ ซึ่งผู้เฒ่าก็มักจะไปปักธูปตรงทางแยก พร้อมทั้งวางถาดผลไม้และขนมเอาไว้เพียงลำพัง คนนอกไม่รู้เลยสักนิดว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
และทุกครั้งที่ในป้อมอินทรีบินมีคนตาย หากไม่ใช่การตายปกติอย่างการจมน้ำหรือป่วยแบบเฉียบพลัน กฎเกณฑ์ของผู้เฒ่าก็จะยิ่งมีมาก ต้องให้ชายฉกรรจ์คนไหนยกโลงไปฝัง ฝังที่ไหน คนที่เกิดวันเวลาเท่าไหร่ต้องทำหน้าที่เฝ้าโถงวิญญาณกี่วัน ธูปที่ต้องจุดในเจ็ดวันแรก เป็นต้น นี่ทำให้พวกคนหนุ่มสาวรำคาญใจอย่างยิ่ง
ลู่ไถถามผู้เฒ่าก่อนว่าได้มาจากปราสาทหลังนั้นหรือไม่ หลังจากได้รับคำตอบที่แน่ชัดแล้วก็พูดยิ้มๆ ว่าจะขอไปพักค้างคืน นอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ท่ามกลางป่าเขาในช่วงที่ผ่านมานี้ เขาลำบากมากจริงๆ
ผู้ดูแลเฒ่าลังเลตัดสินใจไม่ได้ แต่สตรีที่ตรงข้อมือสวมกำไลสีทองกลับพยักหน้าก่อนแล้ว
เฉินผิงอันส่ายหน้าน้อยๆ
สตรีผู้นี้ประมาทเกินไปแล้ว ไม่กลัวว่าจะชักศึกเข้าบ้านบ้างเลยหรือไร
ผู้ดูแลวัยชรามองคุณชายชุดเขียวที่ยิ้มตาหยีมองตน แล้วก็พลันคลี่ยิ้มสง่างาม “ผู้ที่มาเยือนล้วนเป็นแขก คุณชายทั้งสองเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ในเมื่อได้มาเจอกันแล้ว ป้อมอินทรีบินก็ควรจะให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี”
ลู่ไถกับเฉินผิงอันเดินตามคนทั้งกลุ่มไปยังป้อมอินทรีบินที่ห่างออกไปประมาณสิบกว่าลี้
เส้นทางบนภูเขาคดเคี้ยว เส้นทางจริงๆ จึงไม่ใช่แค่สิบกว่าลี้เท่านั้น
ตลอดทางล้วนเป็นหญิงสาวคนนั้นที่ชวนลู่ไถคุย เหอหยาผู้ดูแลเฒ่าที่อยู่ข้างหน้าคอยเงี่ยหูฟังตลอดเวลา ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่คำเดียว
เจ้าของป้อมอินทรีบินแซ่หวน
หญิงสาวชื่อหวนซู พี่ชายของนางชื่อหวนฉาง
ตามลำดับเทียบวงศ์ตระกูลของสกุลหวน เมื่อหกร้อยปีก่อนพวกเขาหลบเลี่ยงไฟสงครามโดยการย้ายจากแคว้นฉางอี๋ที่อยู่ทางทิศเหนือมายังแคว้นเฉินเซียง ชื่อของศาลบรรพชนคือศาลฉงอิง (กลับคืนมาเป็นวีรุบุษอีกครั้ง)
เฉินผิงอันฟังเรื่องพวกนี้ไม่เข้าใจ ส่วนลู่ไถกลับพูดคุยได้ทุกเรื่อง เขาบอกกับหญิงสาวว่าแซ่ ‘หลวน’ นี้คือแซ่ที่ดี จากนั้นก็สรรหาคำอ้างอิงมากมายมาเสริมคำพูดของตัวเอง เฉินผิงอันก็ยังฟังไม่เข้าใจอยู่ดี
พอขยับเข้าไปใกล้ป้อมอินทรีบิน ใต้ฝ่าเท้าก็มีเส้นทางราบเรียบสายหนึ่งโผล่ขึ้นมา ลู่ไถเงยหน้าขึ้นมองแล้วคลี่ยิ้ม
ตรงรั้วระเบียงของหอเรือนแห่งหนึ่งที่สูงที่สุดของปราสาท มีสตรีแต่งงานแล้วที่ห่มเสื้อคลุมหนังเตียวเหมือนคนขี้หนาวกำลังสอดส่ายสายตามองมายังเส้นทางนอกปราสาทอย่างร้อนใจ พอมองเห็นเงาร่างของบุตรชายหญิงได้เลือนๆ ถึงจะวางใจลงได้
เพียงแต่สตรีแต่งงานแล้วไม่รู้เลยว่า ในป้อมอินทรีบินไม่เคยมีใครที่ได้เห็นสภาพอเนจอนาถที่เลือดสดหลั่งไหลลงมาจากทวารทั้งเจ็ดของนาง
นอกรั้วระเบียง แสงแดดสาดส่องให้ความอบอุ่น ด้านในราวระเบียงกลับหนาวเย็น หากขยับเข้าใกล้สตรีแต่งงานแล้ว ยืนอยู่ข้างกายนางนานหน่อยก็จะทำให้คนรู้สึกว่าผิวหนังเย็นชื้นคล้ายแช่ร่างลงไปในแม่น้ำ
ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้สาวใช้ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วจึงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก และทุกคนต่างก็กลายมาเป็นคนขี้โรคโดยไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่พอออกห่างจากสตรีแต่งงานแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนหายดีได้
นานวันเข้า เรื่องประหลาดจึงไม่ประหลาดอีกต่อไป กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดา
—–