กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 294.1 อินทรีไม่บิน

บทที่ 294.1 อินทรีไม่บิน

เด็กที่สวมชุดไว้ทุกข์ใบหน้าเป็นสีขาวออกเขียวผู้นั้นหมุนศีรษะกลับอีกรอบหนึ่งเต็มๆ ถึงได้ติดตามผู้ใหญ่เดินหน้าต่อไปอีกครั้ง จนกระทั่งเงาร่างหายเข้าไปในจุดลึกของตรอกเล็ก

เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ แล้วก็ไม่มองภาพเหตุการณ์ประหลาดของที่แห่งนั้นอีกต่อไป ชำเลืองตามองยันต์สยบปีศาจที่แปะไว้บนประตูใหญ่ เป็นเพียงยันต์กระดาษเหลืองธรรมดา เอามาใช้ก็ไม่เสียดายสักเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้ฝนตกใหญ่ขนาดนั้น บานประตูจึงถูกน้ำฝนเปียกซึมไปหมดแล้ว แต่พอเฉินผิงอันเอายันต์มาแปะไว้บนประตู มันกลับติดแน่นมากผิดปกติ

บนประตูแปะภาพเทพทวารบาลสีสันสดใสสององค์ซึ่งพบเห็นได้บ่อยที่สุดในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ไม่รู้ว่าเป็นอริยะของศาลบู๊ที่ได้เสวยสุขควันธูปอยู่ในใบถงทวีป หรือแม่ทัพใหญ่ผู้มีคุณูปการในประวัติศาสตร์ของแคว้นเฉินเซียงกันแน่

ปีนี้ผ่านไปเกินครึ่งปี เทพทวารบาลที่แปะอยู่บนประตูผ่านลมพัด ผ่านแดดส่อง ผ่านฝนชะ สีจึงซีดจางเต็มที อีกทั้งยังหม่นแสงไร้ประกาย แผ่กลิ่นอายของความเสื่อมสภาพร่วงโรยออกมาเสี้ยวหนึ่ง

หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์ เลือดลมก็เปี่ยมล้น จิตวิญญาณกร้าวแกร่ง วิธีที่เขามองและปฏิบัติต่อฟ้าดินมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วยเล็กน้อย เขาสามารถคว้าจับการหมุนเวียนของปราณวิญญาณซึ่งคล้ายคลึงกับการมองปราณของผู้ฝึกลมปราณ โดยเฉพาะเมื่อสวมชุดจินหลี่ บวกกับระดับการดึงดูดปราณวิญญาณของชุดคลุมอาคมชุดนี้ ต่างฝ่ายต่างช่วยพิสูจน์ยืนยันกันและกัน ผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับจึงมากมหาศาล

เงยหน้ามองเทพทวารบาลสององค์ที่สวมเสื้อเกราะวาววับ แต่งกายน่าเกรงขาม แต่ในความเป็นจริงแล้วความศักดิ์สิทธิ์เสี้ยวหนึ่งที่เคยมีได้สูญหายไปท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานแล้ว เนื่องจากถูกปราณหยินที่ดุร้ายในตรอกประหลาดแห่งนี้ค่อยๆ กัดกิน เผาผลาญไปทีละนิดจนสิ้นซาก

นี่เรียกว่าวีรบุรุษปราณสั้นได้หรือไม่? (เปรียบเปรยถึงคนมีความสามารถที่หมดอาลัยตายอยากเพราะได้พบเจอกับอุปสรรค)

เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งที เขย่งปลายเท้า ใช้ปลายนิ้วลูบรอยยับย่นบนแผ่นยันต์ให้เรียบ ยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแผ่นหนึ่ง หากคิดตามราคาตลาดแล้ว จะสามารถซื้อภาพเทพทวารบาลที่มีสีสันได้กี่คู่? พอคิดถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็หงุดหงิดเล็กน้อย เขารู้ดีถึงจุดประสงค์ของผีร้ายพวกนั้น นี่คือการสำแดงอำนาจบารมี คงเพราะอยากจะให้คนนอกสองคนที่มีปราณหยางเปี่ยมล้นอย่างเขาและลู่ไถรู้กาลควรไม่ควร รีบออกไปจากที่นี่ สองฝ่ายเป็นเหมือนน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

เฉินผิงอันเดินกลับเข้าไปในลานบ้าน ปิดประตูลั่นดาล ส่วนลู่ไถที่ตื่นแล้วก็ไม่มีอารมณ์จะนอนอีก เขาเองก็ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางไว้หน้าประตูห้องเหมือนกับเฉินผิงอัน ไม่รอให้เฉินผิงอันเปิดปาก ลู่ไถก็ชิงอธิบายก่อนว่า “แค่พวกวัตถุหยินที่ตบะตื้นเขิน ได้แค่ข่มขู่ให้กลัวเท่านั้น อย่างมากสุดคือทำร้ายพวกชาวบ้านที่เกิดมาก็มีปราณหยางเบาบาง หากไม่โผล่ออกมาให้พวกชาวบ้านตกใจเวลาเดินทางตอนกลางคืน ฉวยโอกาสขโมยจิตวิญญาณไปเล็กน้อยตอนที่พวกเขาใจสั่น ก็เลือกช่วงเวลาที่ชาวบ้านซึ่งบรรพบุรุษไม่เคยสะสมบุญ แกล้งทำเป็นผีอำตอนพวกเขาฝันร้าย อืม ส่วนคนบางส่วนที่ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ ไปฉี่รดตรงทางสามแพร่งที่เป็นทางผ่านของพวกผีและวิญญาณ นั่นเรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวเอง”

ลู่ไถเอาพัดไม้ไผ่เล่มนั้นออกมาพัดดังพึ่บพั่บ อากาศเย็นเยียบในลานบ้านพลันจางหาย ความอบอุ่นเพิ่มเข้ามาอย่างไร้สาเหตุ ท่ามกลางน้ำฝนมีไอสีเทาเป็นเส้นๆ ลอยขึ้นมา หมุนเป็นเกลียวแล้วหายไป

ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ผีกลุ่มนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย พอๆ กับพวกคนที่มีชีวิตอยู่ในป้อมอินทรีบินนี่แหละ มองความตื้นลึกหนาบางของพวกเราไม่ออกเลยแม้แต่น้อย น่าเสียดายยันต์สยบปีศาจแผ่นนั้น หากเปลี่ยนให้เทียนซือตระกูลจาง หรือนักเวทย์ที่มีวิชาสูงส่งของพรรคหลิงเป่าเป็นคนวาด ด้วยวัสดุชนิดนี้ของเจ้า…”

ลู่ไถหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะจงใจสาดเกลือลงบนบาดแผลของเฉินผิงอัน “แค่แปะยันต์แผ่นเดียวลงบนประตูใหญ่ของป้อมอินทรีบินก็สามารถปกป้องคนหลายร้อยคนของที่แห่งนี้ให้ไม่ต้องถูกพวกวัตถุหยินรุกราน อย่างน้อยก็สามปีห้าปี ไหนเลยจะเหมือนคนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญอย่างเจ้า ได้แต่อาศัยลมปราณบริสุทธิ์เฮือกหนึ่งวาดลงไปบนยันต์ ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่สามารถเชื่อมโยงกับปราณวิญญาณฟ้าดินได้ ยันต์แผ่นนี้ก็คือน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด จะอยู่ได้สักกี่วันกันเชียว?”

เฉินผิงอันนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ทำไมเจ้าไม่ปรากฎตัวให้เร็วกว่านี้?”

ลู่ไถยิ้มบางๆ “จะให้ข้าปรากฏตัวทำไม ให้ออกมาพูดคุยถึงเรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีของที่นี่งั้นหรือ? ถามพวกมันว่าเพื่อออกมาข่มขู่เจ้า ควรจะจัดลำดับการแสดงตัวกันอย่างไร? ทำอย่างไรน้ำฝนถึงกลายเป็นเลือด? ข้ามีแต่จะบอกพวกมันด้วยความหวังดีว่า วิธีผีหลอกคนของพวกมันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย ถึงเวลานั้นข้าอาจจะอดไม่ไหวสอนพวกมันไปอีกหลายกระบวนท่า…”

ลู่ไถยิ่งพูดก็ยิ่งเลื่อนเปื้อน มือที่ถือน้ำเต้าบรรจุเหล้าของเฉินผิงอันชี้นิ้วไปนอกประตู บอกเป็นนัยแก่ลู่ไถว่าถ้าจะออกไปตีสนิทกับพวกมันก็เชิญ

ลู่ไถนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับดุจขุนเขา เขาหุบพัดดังพั่บ “ข้าชอบคบค้าสมาคมกับภูติปีศาจที่ถูกเลี้ยงอยู่ในตระกูลมาตั้งแต่เด็กแล้ว ถึงขั้นพูดได้ว่าอยู่ด้วยกันมานานจนเกิดความเคยชิน หากไม่เป็นเพราะเจ้าเฉินผิงอันรำคาญพวกมัน มีพวกมันลอยไปลอยมาอยู่ข้างนอกทำให้ข้าหลับสนิทฝันดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “ลูกศิษย์สำนักหยินหยางอย่างพวกเจ้าไม่ใช่ว่ามีข้อห้ามในเรื่องนี้หรอกหรือ?”

ลู่ไถแหงนหน้ามองม่านน้ำฝน พูดเบาๆ ว่า “ไม่ใกล้ชิดความชั่วร้ายก็ไม่รู้จักความดีงาม”

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ป้อมอินทรีบินแห่งนี้มีผีร้ายตัวจริงซ่อนอยู่ใช่ไหม?”

ลู่ไถพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นตอนก่อนจะต่อสู้กัน ข้าจะพูดว่า ‘เป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมให้ใส่ความคนอื่น’ ทำไม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เขายังจำเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

ลู่ไถวางมือสองข้างไว้บนที่พักแขนของเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ห้อยลู่ลงมาด้านล่าง “หากพวกเราสองคนตายไป กลายเป็นยวนยางสิ้นชีพอยู่ในป่าลึกแห่งนั้น เจ้าคิดว่าโยนความผิดให้กับคนบ้าบิ่นในยุทธภพอย่างป้อมอินทรีบินแห่งนี้ จะมีคนเชื่อไหม? ย่อมต้องโทษว่าเป็นฝีมือของพวกผีร้ายเหล่านั้นอยู่แล้ว”

ใจของเฉินผิงอันกระตุก พลันลุกขึ้นเดินไปที่ประตูใหญ่

ตรอกเล็กด้านนอกมีเสียงความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นระลอกหนึ่ง แสงสีทองของยันต์สยบปีศาจสว่างเจิดจ้า ครั้นจึงหายวับไป

ลู่ไถหันหน้ามาพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องไปแล้ว ผีพวกนั้นยังไม่ยอมแพ้ ต้องให้เสียเปรียบซะก่อนถึงจะจดจำ ตอนนี้ได้รับบทเรียนไปแล้ว ช่วงนี้ก็น่าจะเคารพพวกเราอยู่ไกลๆ หลังจากนี้ข้าคิดอยากจะได้ยินเสียงสวรรค์ที่ทำให้คนประทับใจ อยากจะนอนหลับฝันดีก็ยากแล้ว”

เฉินผิงอันเปิดประตูใหญ่ เดินข้ามธรณีประตูออกไป เงยหน้ามองประเมินยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจก็เห็นว่านอกจากรอยสกปรกจางๆ หนึ่งจุดแล้ว ก็ไม่มีวี่แววว่าแก่นแท้ของยันต์จะแตกสลาย หรือแสงศักดิ์สิทธิ์จะสั่นคลอน พวกภูติผีที่มาลองดีหยั่งเชิงกับยันต์ตบะไม่สูงอย่างที่ลู่ไถว่าไว้จริงๆ

เฉินผิงอันเดินกลับเข้าไปในลานบ้าน ตัดสินใจแล้วว่า หากอีกฝ่ายยังมาท้าทายราวีไม่เลิก ถ้าอย่างนั้นก็อย่าโทษว่าเขาเป็นเพื่อนบ้านที่ชั่วร้ายแล้วกัน

ลู่ไถสอดมือสองข้างรองไว้ใต้ท้ายทอย “ใบถงทวีปแห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผู้คนหัวโบราณอย่างมาก ไม่ค่อยชอบคนต่างถิ่นที่มาจากทวีปอื่นสักเท่าไหร่ หากคนที่อยู่ตรงนี้เปลี่ยนมาเป็นเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป ป่านนี้คงถูกคนล้อมโจมตีจนร่อแร่ใกล้ตายแล้ว ไหนเลยจะเหมือนแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้าที่ยังสามารถนั่งลงดื่มชา พูดคุยด้วยเหตุผล ต่อรองราคากันอย่างปรองดอง”

เฉินผิงอันขูดดินโคลนที่ติดใต้รองเท้ากับขั้นบันได คิดแล้วก็พูดช้าๆ ว่า “แจกันสมบัติทวีปอยู่ใกล้กับกุรุทวีปมากเกินไป ความสัมพันธ์ระหว่างต้าหลีกับเซี่ยสือก็ค่อนข้างจะลึกลับ ทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ใช่แค่เรื่องของขนบธรรมเนียมท้องถิ่นในทวีปหนึ่งเท่านั้น ลู่ไถ เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

ลู่ไถจุ๊ปากพูด “ใช้ได้ๆ เฉินผิงอัน เดี๋ยวนี้ยิ่งนานเจ้าก็ยิ่งสามารถมองปัญหาในมุมของคนที่ยืนอยู่บนภูเขาแล้ว ไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลที่เคยผ่านภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่มาแล้ว”

เฉินผิงอันเตรียมจะยกเก้าอี้กลับเข้าไปในห้อง ลู่ไถก็พลันพูดขึ้นว่า “เฉินผิงอัน ถ้าหากรวมหม่าว่านฝ่าเข้าไปด้วย อันที่จริงพวกเขารับมือกับผู้ฝึกลมปราณกึ่งโอสถทองคนหนึ่งก็ไม่ยากเลย การที่พวกเราเอาชนะได้ในครั้งนี้ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย”

เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างเก้าอี้เอ่ยถามว่า “หากพวกเราสองคนต้องรับมือกับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง จะมีโอกาสชนะไหม?”

“มี แต่โอกาสชนะมีไม่มาก”

ลู่ไถเอ่ยยิ้มๆ “ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองแทบทุกคนล้วนเป็นพวกที่มีจิตใจแข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีเวทอภินิหารให้ใช้นับไม่ถ้วน ดังนั้นพวกเราต้องทุ่มสุดชีวิตเพื่อสู้กับพวกเขา ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะถูกพวกเขาผลาญพลังจนตายทั้งเป็น เจ้าน่าจะรู้กระมังว่า ขอบเขตเก้าโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณกับขอบเขตเจ็ดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากรวมกับขอบเขตทั้งหลายก่อนหน้านี้ของแต่ละฝ่าย จะถูกเรียกขานว่า ‘พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน’”

เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ ส่ายหน้าพูดว่า “อันที่จริงข้าไม่ค่อยรู้หรอก เจ้าลองเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้ไหม?”

ลู่ไถดวงตาเป็นประกาย “เล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟังแล้ว คราวหน้าที่แบ่งสมบัติกันอย่างเป็นทางการ สามารถลดเงินเกล็ดหิมะที่ต้องมอบให้เจ้าหนึ่งร้อยเหรียญได้ไหม?”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “แค่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ เจ้าก็ยังติดใจด้วยหรือ?”

ลู่ไถหัวเราะฮ่าๆ “ข้าย่อมไม่ติดใจเงินเกล็ดหิมะแค่นี้อยู่แล้ว ข้าแค่ชอบความรู้สึกที่ได้เอาเปรียบคนอื่นเท่านั้น”

เฉินผิงอันยื่นมือออกมาข้างหนึ่งบอกเป็นนัยแก่ลู่ไถว่าเขาได้เงินแล้ว

ลู่ไถอารมณ์ดีอย่างยิ่ง สลัดรองเท้าหุ้มแข้งออก ยกเท้าขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ ยิ้มบางๆ พูดว่า “การเลื่อนจากขอบเขตหกสู่เจ็ดของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ถูกเรียกว่า ‘พลิกแผ่นดิน’ นอกจากจะบอกว่าขอบเขตเจ็ดทะยานลมสามารถช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์ทะยานลมเดินทางไกลได้เหมือนเซียนแล้ว ยังพูดถึงเรื่องที่จิตวิญญาณและความกล้ารวมเป็นหนึ่ง ฟ้าดินที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าก็จะเป็นทัศนียภาพอีกรูปแบบหนึ่ง”

“ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่เลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทอง ‘ผู้ที่สร้างโอสถทอง คือคนรุ่นเดียวกับข้า’ ประโยคที่เป็นกฎเหล็กนี้ถูกคนนำมาพูดกันจนเละเทะ ความลี้ลับที่แท้จริงของมันก็คือ ก่อนที่จะสร้างโอสถทองขึ้นมาได้นั้น การใช้เวทคาถาของผู้ฝึกลมปราณจะเต็มไปด้วยอุปสรรค บุกเบิกเปิดถางช่องโพรงลมปราณไว้ได้กี่แห่ง ก็พอจะกะประมาณจำนวนรวมของปราณวิญญาณที่เก็บสะสมไว้ได้คร่าวๆ เวลาที่ต่อสู้กับคนอื่นก็เหมือนเวลาที่เจ้าเฉินผิงอันคิดจะใช้เงิน แต่จำเป็นต้องจ่ายอย่างประหยัด”

“แต่หลังจากสร้างโอสถทองได้แล้ว การสะสมลมปราณของผู้ฝึกตนจะไม่ถูกจำกัดไว้แค่ในช่องโพรงลมปราณไม่กี่แห่งเท่านั้น แต่จะเหมือนคนรวยที่สร้างห้องน้ำแข็งไว้แห่งหนึ่ง หน้าร้อนก็ยังมีน้ำแข็งให้กิน ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือยังสามารถยืมปราณวิญญาณจากฟ้าดินมาใช้ได้ชั่วคราว สะพานแห่งความเป็นอมตะ คนพูดถึงกันมากมาย แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่? นอกจากเหยียบไปบนเส้นทางแห่งการฝึกตนแล้ว ยังต้องสามารถเชื่อมโยงเข้ากับฟ้าดิน ร่างกายตัวเองก็คือถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก ฟ้าดินก็คือพื้นที่มงคลขนาดใหญ่”

เฉินผิงอันตั้งใจฟังอย่างมาก

ลู่ไถถามยิ้มๆ “ดังนั้นการที่พวกเราสังหารพวกหม่าว่านฝ่าไปได้ตั้งหลายคน แต่อาจจะเอาชนะขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วว่าไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง”

ลู่ไถทำหน้าเหมือนเห็นผี ถามด้วยความสงสัย “คนที่สอนวิชาหมัด เวทกระบี่และการเขียนยันต์ให้กับเจ้า ไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้ให้ฟังเลยหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้ ผู้เฒ่าที่สอนวิชาหมัดให้ข้า สอนแค่ว่า…”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ปล่อยหมัดไปที่ม่านฝนเบาๆ “แค่ปล่อยหมัดออกไปก็สามารถต่อยให้ม่านฝนถอยออกไปได้สิบจั้งร้อยจั้ง”

เฉินผิงอันเก็บหมัด หมุนข้อมือเบาๆ ทำท่าเหมือนกำลังถือพู่กันวาดยันต์ “ต้องปล่อยสัจธรรมแห่งการเขียนยันต์ออกมาจากปลายพู่กัน เพียงมีจิตใจที่ซื่อตรงยิ่งใหญ่ อยู่แห่งหนใดก็เยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน”

เฉินผิงอันเปลี่ยนมาทำท่าจับกระบี่มายาแล้วแกว่งตวัดไปข้างหน้าเบาๆ “สหัสสีโลกธาตุ  เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ข้ามีเพียงหนึ่งกระบี่”

ลู่ไถเหม่อมมองเด็กหนุ่มชุดขาวใต้ชายคาฝั่งตรงข้ามที่คล้ายจะแตกต่างไปจากเวลาปกติ

ลู่ไถขดตัวอยู่บนเก้าอี้ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เงียบงันไปนาน

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง หยิบเก้าอี้มาแล้วทำท่าจะเดินกลับเข้าห้อง “เจ้าเองก็รีบนอนเถอะ”

ลู่ไถถามอย่างจริงจัง “เฉินผิงอัน ระหว่างสามอย่างนี้ หากเจ้าต้องเลือก เจ้าจะเลือกอะไร?”

เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่ที่เดิม เขาไม่เคยคิดถึงคำถามข้อนี้มาก่อนเลยจริงๆ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตอบว่า “ตอนนั้นที่ฝึกวิชาหมัดก็เพื่อต่อชีวิต ถือเป็นรากฐานในการหยัดยืนของข้า หลังจากนั้นมาก็ฝึกหมัดมาโดยตลอด หากมีชีวิตอยู่ได้นานพอ ข้าหวังว่าจะสามารถต่อยหมัดได้สิบล้านหมัด แน่นอนว่าช่วงเวลาระหว่างนี้จะต้องเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์ให้ได้ ส่วนเรื่องการวาดยันต์ นั่นเป็นแค่วิธีการหนึ่งที่ใช้รักษาชีวิตเท่านั้น ข้าไม่มีทางศึกษาอย่างลึกซึ้ง ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่อยากเดินไปให้ได้ไกลจริงๆ ยังคงเป็น…”

เฉินผิงอันชูนิ้วโป้งยื่นไปทางกระบี่ที่อยู่ด้านหลัง “การฝึกกระบี่”

เฉินผิงอันสีหน้านิ่งสงบ สายตาเด็ดเดี่ยว “ข้าจะต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่!”

ลู่ไถเอียงศีรษะ “เพื่ออะไร?”

เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ ไม่ตอบคำถาม ยกเก้าอี้ตัวเล็กวิ่งกลับเข้าไปในห้อง ปิดประตูนอน

ลู่ไถตวัดค้อนตามหลัง ในเมื่อไม่รู้สึกง่วง เขาเลยคลอเพลงพื้นบ้านอยู่ในลำคอเบาๆ อย่างเบื่อหน่าย สุดท้ายก็ลุกขึ้นยืนแล้วร่ายรำอย่างเชื่องช้าอยู่บนเก้าอี้ ขายแขนเสื้อกว้างใหญ่โบกสะบัดดุจสายน้ำไหล จากนั้นก็นั่งกลับลงไปบนเก้าอี้ โบกพัดอ้าปากหาว หากไม่นับนิ้วทำมุทราทำนายโชคชะตา ก็เอนศีรษะวางลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ แลบลิ้นปลิ้นตาเหลือกถลนแกล้งทำเป็นผี…

ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งฟ้าสาง

เฉินผิงอันตื่นนอนตามเวลา เดินไปเปิดประตูเก็บยันต์สยบปีศาจมาก่อน จากนั้นค่อยฝึกหมัดเดินนิ่งกลับไปกลับมาอยู่ใต้ชายคา

ลู่ไถชำเลืองตามองรองเท้าหุ้มแข้งของเฉินผิงอัน “วันหน้าจะหารองเท้าที่ตระกูลเซียนของพวกเราสวมใส่ให้เจ้าสักคู่ จะได้ไม่ต้องกังวลเวลาฝนหรือหิมะตก แพงสักหน่อย แต่ก็อาจถึงขั้นกันน้ำกันไฟได้ด้วย”

เฉินผิงอันพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “จะต้องเอาของเล่นแบบนั้นมาทำไม ต่อสู้กับคนอื่นยังต้องมาคอยกังวลว่ารองเท้าจะพังหรือไม่ เกะกะจะตาย กลายเป็นว่ามีเรื่องให้กังวลเพิ่มขึ้นมาอีก”

ลู่ไถถอนหายใจ “เจ้าน่ะไม่มีชะตาให้เสพสุข”

เฉินผิงอันถาม “ครึ่งคืนหลังของเมื่อคืนไม่มีเรื่องประหลาดอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?”

ลู่ไถพยักหน้ารับ “มีอยู่นะ ดูเหมือนว่าคนของป้อมอินทรีบินจะเจอผีเข้าให้แล้ว ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลนัก ทั้งสองฝ่ายลงไม้ลงมือกัน ถึงขั้นเลือดตกยางออก แต่ไม่มีคนตาย”

เฉินผิงอันครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็น่าจะออกไปเดินเล่นสักหน่อย ดูสิว่าจะค้นพบความจริงไหม เมื่อพอจะมั่นใจแล้ว ค่อยตัดสินใจว่าจะลงมือหรือไม่”

ลู่ไถยังไงก็ได้กับเรื่องนี้

เรื่องฮวงจุ้ยชัยภูมิ ค้นหาช่องโพรงและเส้นทางมังกร ศาสตร์ฉีเหมินตุ้นเจี่ย วิชาแพทย์โหราศาสตร์ เขาล้วนเชี่ยวชาญทั้งหมด ช่วยไม่ได้ พรสวรรค์ที่บรรพบุรุษประทานมาให้ ต่อให้ไม่ตั้งใจเรียน พยายามคิดหาวิธีแอบอู้ก็แล้ว แต่กระนั้นก็ยังนำโด่งทิ้งคนรุ่นเดียวกันไปไกลไม่เห็นฝุ่น นี่ทำให้เขารำคาญใจมากจริงๆ

……

ลู่ไถใช้คำพูดง่ายๆ อย่างผ่อนคลายไม่กี่คำจำกัดความการเข่นฆ่านองเลือดของเมื่อคืน

แต่อันที่จริงสำหรับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วช่างอยู่ไกลเกินกว่าคำว่าผ่อนคลายไปมากนัก

ท่ามกลางม่านน้ำฝนของเมื่อวาน มีคนหนุ่มชุดดำห้อยดาบโบราณไว้ตรงเอวคนหนึ่งเดินทางยามค่ำคืนมากับนักพรตที่หาประสบการณ์มาถึงที่แห่งนี้ สีหน้าของพวกเขาใต้งอบไม้ไผ่ คนหนึ่งพร้อมกระโจนเข้าสู่ความตาย อีกคนหนึ่งเต็มไปด้วยความกังวลใจ

หลังจากที่ฝนเทกระหน่ำเปลี่ยนเป็นฝนพรำๆ คนทั้งสองเดินเข้ามาในตรอกแห่งหนึ่ง มาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่งที่ถูกทิ้งร้างมานานปี

นักพรตหนุ่มที่สวมเสื้อกันฝนสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย “ปราณชั่วร้ายของคืนนี้เข้มข้นผิดปกติ!”

ชายอีกคนที่ถือดาบโบราณมีผิวออกดำ เขากดเสียงลงต่ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดว่า “หากยังรอต่อไป ไม่รู้ว่าคนบริสุทธิ์ต้องตายไปอีกกี่คน รอต่อไปไม่ได้แล้ว!”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท