ในเมื่อสิ่งประหลาดของบ่อน้ำเป็นฝ่ายวิ่งเข้ามาหาด้วยตัวเอง เฉินผิงอันจึงให้สืออู่พายันต์สยบปีศาจไปสยบบ่อน้ำ ตัดขาดทางถอยของน้ำในบ่อ
น้ำในบ่อถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ไหนเลยจะเร็วเท่าความเร็วของกระบี่บินสืออู่
สืออู่ไปถึงด้านข้างของบ่อน้ำที่ราวกับมีสตรีแต่งงานแล้วกำลังส่งเสียงสะอื้นร่ำไห้ ปลายกระบี่ทิ่มเข้าไปในปากบ่อ ตรึงยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจที่ส่องสีทองอร่ามแผ่นนั้นลงไปตรงริมขอบบ่อ
จากนั้นมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ บินวนไปรอบบ่อ
น้ำในบ่อที่ปีนออกมาจากก้นบ่อแผ่นองไปรอบด้าน กระเพื่อมไหวเป็นระลอก เผยให้เห็นใบหน้าบิดเบี้ยวของหญิงสาวหลายคนที่แสดงความอาฆาต พยาบาทและเคียดแค้น ระหว่างนี้ยังมีน้ำสายหนึ่งแยกออกมาแล้วพุ่งไปที่ปากบ่ออย่างไม่ยอมแพ้ แต่ไม่นานก็ระเหยกลายเป็นควันทั้งหมด เป็นอย่างนี้อยู่สามครั้งห้าครั้ง ยันต์ที่แปะอยู่บนปากบ่อก็ยังไม่สะทกสะท้าน แสงศักดิ์สิทธิ์ยังคงเต็มเปี่ยม น้ำในบ่อที่พยายามพุ่งไปหาบ่ออย่างต่อเนื่องถึงได้ยอมตัดใจ พวกมันมารวมตัวกัน สุดท้ายกลายมาเป็นวัตถุหยินรูปคนที่พอจะเห็นได้ลางๆ ว่ามีสองแขนสองขา สูงหนึ่งจั้ง น้ำบ่อที่อยู่บนร่างกระเพื่อมเคลื่อนไหวไม่หยุด ทำให้คนมองโฉมหน้าที่แท้จริงไม่ออก
กระบี่บินสืออู่มองมันเป็นศัตรูโดยอัตโนมัติ พุ่งทะลุผ่านศีรษะของวัตถุหยินน้ำในบ่อตนนั้นแล้วพลันชะงักนิ่ง ก่อนจะบินทะลุมาจากหัวใจด้านหลังอีกครั้ง ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมาอย่างสนุกสนานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
บางทีอาจเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าปณิธานกระบี่ของกระบี่บินเล่มนี้จะเปี่ยมล้น น้ำบ่อที่เพิ่งจำแลงร่างเป็นคนก็พลันสลายพรวด กลับคืนมาเป็นผืนน้ำที่นองไปทั่วผืนดินแล้วเริ่มซัดหลุนๆ เผ่นหนี
สืออู่ไม่สนใจลูกเล่นพวกนี้ เอาแต่จิ้มแทงกระบี่ลงไปในน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
ทางฝ่ายของตรอกเล็ก บุรุษวัตถุหยินที่เดิมทีหวังให้น้ำบ่อมา ‘รวมร่าง’ เผยความหวาดกลัวออกมาให้เห็น ไม่เพียงแต่ไม่มีความคิดจะประมือกับเฉินผิงอัน กลับยังบินไปทางกำแพงที่อยู่สุดตรอก
เฉินผิงอันก้าวออกไป ชิงเอามือฟาดลงบนกำแพงของทางตันเส้นนี้ก่อน
แปะยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจลงไปอีกหนึ่งแผ่น
กำแพงแถบนั้นพลันเผยสภาพดั้งเดิมที่แท้จริง โครงกระดูกอัดกันแน่น ระหว่างนั้นยังมีโครงกระดูกของเด็กเล็กสอดแทรกอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีบางส่วนเป็นทารกที่คล้ายถูกคนคว้านออกมาจากท้อง น่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้
เมื่อกำแพงแห่งนี้ปรากฏ พวกเด็กๆ ที่นั่งซุกหัวกอดเข่าอยู่ตรงกำแพงก็พากันร้องไห้คร่ำครวญทันที
ภาพนี้ทำให้เฉินผิงอันเคียดแค้นอย่างยิ่ง
บุรุษผู้นั้นเตรียมจะทะยานขึ้นกลางอากาศหนีไปจากตรอกแห่งนี้ แต่กลับถูกเฉินผิงอันที่หมุนตัวกลับด้วยความเดือดดาลสุดขีดยื่นฝ่ามือไปคว้าใบหน้าที่ไร้เครื่องหน้าทั้งห้านั้น นิ้วทั้งห้าเป็นดั่งตะขอ ชายแขนเสื้อของชุดคลุมอาคมจินหลี่โบกสะบัด แผ่ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ราวกับได้เสพสุขจากควันธูปมานับพันปีออกมาเป็นระลอก วัตถุหยินตนนั้นส่งเสียงร้องอ้อนวอนมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ มือขวาของเฉินผิงอันขยุ้มวัตถุหยิน มือซ้ายต่อยไปที่หัวใจของมัน แขนทั้งแขนระเบิดแสงสีทองสว่างจ้า มีทั้งพายุหมัดของตัวเขาเอง และมีทั้งปราณวิญญาณจากจินหลี่
เฉินผิงอันหมุนมือขวาแหวกทะลุหัวใจของวัตถุหยินจนเกิดเป็นช่องโพรงขนาดใหญ่
แล้วก็ยังไม่เลิกราง่ายๆ เฉินผิงอันยังพยายามจะกระชากดึงจิตวิญญาณทั้งหมดของวัตถุหยินให้แหลกละเอียด อีกทั้งยังจงใจควบคุมพละกำลัง ค่อยๆ ดึงออกมาทีละเส้นทีละเส้นเหมือนการสาวไหม คล้ายการลงทัณฑ์ถลกหนังดึงเส้นเอ็น กระชากวิญญาณเข้ามาในชายแขนเสื้อของเสื้อคลุมอาคมจินหลี่ทีละนิด ด้วยต้องการให้วัตถุหยินตนนี้ทนรับความเจ็บปวดของการถูกแร่เนื้อเถือหนังอย่างที่คนเป็นๆ ได้รับ
ลู่ไถลุกขึ้นยืน เอ่ยเตือนเสียงเบา “เฉินผิงอัน พอเถอะ”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง คลายนิ้วทั้งห้าของมือซ้ายออก ดึงมือขวาออกมาจากหัวใจวัตถุหยิน แล้วปล่อยหมัดต่อยให้วัตถุหยินแหลกสลาย สะบัดชายแขนเสื้อแรงๆ เก็บรวมเศษซากทั้งหมดของมันเข้ามาในชายแขนเสื้อชุดอาคมจินหลี่ เศษเสี้ยวควันสีเทายิบย่อยจึงพากันไหลกรูเข้าไป
เฉินผิงอันมองไปเบื้องหน้า วัตถุหยินเด็กที่นั่งอยู่ใต้กำแพงพวกนั้นไม่ได้หนีไปไหน เพียงแต่ตัวสั่นสะท้านรุนแรงมากขึ้น พวกมันยังคงกอดเข่าแน่น นั่งนิ่งๆ รอความตาย ทุกตนต่างก็ส่งเสียงร้องฮือๆ ไม่รู้ว่ากำลังบอกเล่าอะไรอยู่ แต่คล้ายว่าจะได้รับความเจ็บปวดและทรมานมหาศาล
เฉินผิงอันหันไปมองยันต์ที่แปะไว้บนกำแพงโครงกระดูกแผ่นนั้นแล้วรีบดึงมันลงมา
พอเก็บยันต์สยบปีศาจแล้ว เฉินผิงอันเดินหนึ่งก้าวก็ขยับไปเจ็ดแปดจั้ง ย่อตัวนั่งลงข้างกายวัตถุหยินเด็กที่นั่งซุกหัวกอดเข่าตนหนึ่งที่เป็นร่างวิญญาณอายุแค่ประมาณสองสามปี เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป แม้ว่าจะพยายามเก็บปณิธานหมัดและปราณวิญญาณของจินหลี่ไว้สุดกำลัง พยายามทำให้เสื้อคลุมอาคมเปลี่ยนมาเป็นไม่ต่างจากเสื้อคลุมทั่วไป แต่เด็กคนนั้นก็ยังตัวสั่นอย่างรุนแรง
เฉินผิงอันรีบม้วนชายแขนเสื้อสองข้างขึ้น ม้วนไปจนแทบจะถึงไหล่ ก่อนจะลูบศีรษะของเด็กคนนั้นเบาๆ
เฉินผิงอันไม่พูดอะไร
บนโลกนี้มีความยากลำบากหลากหลายรูปแบบ แม้ว่าผลกรรมในอดีตชาติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็น่าจะรอให้เด็กๆ โตขึ้นจนรู้ความก่อนกระมัง?
เฉินผิงอันรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ถูก แบบนี้ไม่ดี
เพราะเขาสามารถรับรู้ความรู้สึกนี้ได้ดีที่สุดเหมือนเผชิญด้วยตัวเอง
เฉินผิงอันดึงมือกลับ ใช้หลังมือเช็ดดวงตา หันหน้าไปมองลู่ไถแล้วถามว่า “มีวิธีหรือไม่?”
ลู่ไถเดินมาหาช้าๆ ไม่ได้มีท่าทางผ่อนคลายสบายใจอย่างก่อนหน้านี้อีก พยักหน้ารับกล่าวว่า “เจ้ามียันต์ปราณหยางส่องไฟไม่ใช่หรือ ขอแค่วาดยันต์นี้ย้อนกลับก็จะกลายมาเป็นยันต์ปราณหยินนำทาง จากนั้นข้าก็จะวาดยันต์ข้ามฟากสู่ยมโลกอีกแผ่นหนึ่ง ก็จะถือว่าช่วยโปรดสัตว์เจ้าเด็กน้อยพวกนี้ ยันต์แผ่นนั้นที่เจ้าวาดก็เพื่อโน้มน้าววัตถุหยินที่ยังไม่มีสติปัญญาเหล่านี้ ให้พวกมันอาศัยสัญชาตญาณลุกขึ้นมาเดินด้วยตัวเอง ส่วนยันต์แผ่นนั้นของข้าก็เพื่อเปิดประตูบานหนึ่งให้กับพวกมัน พวกมันจะได้มีทางให้เดินหน้าไปอย่างต่อเนื่อง”
ในใจเฉินผิงอันเรียกกระบี่บินสืออู่กลับมาเบาๆ
มันจึงพุ่งกลับมาจากอีกฝั่งหนึ่งของตรอก
เฉินผิงอันเอากระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งและเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่น แล้วจึงนั่งลงขัดสมาธิ มือหนึ่งถือพู่กัน อีกมือหนึ่งวางกระดาษไว้กลางฝ่ามือ เริ่มทดลองวาดยันต์ปราณหยางส่องไฟย้อนกลับตามการชี้นำของลู่ไถ แต่เป็นเพราะจิตใจไม่นิ่ง สุดท้ายจึงล้มเหลว ลู่ไถเองก็ไม่ได้พูดอะไร เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หยิบกระดาษยันต์ออกมาอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ผล สำหรับเฉินผิงอันที่ได้ฝึกวิชาหมัดแล้ว นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากอย่างถึงที่สุด
ขนาดตัวเฉินผิงอันเองยังรู้สึกเลื่อนลอย
ลู่ไถถอนหายใจหนึ่งครั้ง
เพราะเศษเสี้ยวหนึ่งบนกระจกหัวใจของเฉินผิงกำลังสั่นไหว
ลู่ไถเอาพัดไม้ไผ่ออกมาโบกเบาๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ โดยไม่ได้แม้แต่จะมองเฉินผิงอัน “อย่าเอาตัวเองไปวางไว้ในทุกเรื่องและทุกคน ต้องหัดเรียนรู้ที่จะทำตัวเป็นคนนอกบ้าง”
“ไม่ต้องรีบร้อนวาดยันต์ ทนลำบากมาได้ตั้งหลายปีขนาดนี้ เจ้าตัวน้อยพวกนั้นคงไม่ถือสาหากต้องรออีกสักครู่หนึ่ง”
ลู่ไถพัดลมเย็นสดชื่น ช่วยให้ตรอกที่อบอวลไปด้วยปราณหยินและลมชั่วร้ายแห่งนี้ได้รับแสงอาทิตย์ที่มองไม่เห็นซึ่งแทรกซอนลงมาผ่านเมฆดำเหนือศีรษะ เอ่ยเนิบช้าว่า “รอให้เรื่องของทางฝั่งนี้คลี่คลาย ข้าจะไปหาฮูหยินของเจ้าประมุขที่หอหลักโดยตรง เฉินผิงอัน เจ้าไม่ต้องตามข้าไป เพราะข้าต้องการให้เจ้าช่วยสลายควันดำรวมไปถึงพวกวัตถุหยินที่แอบซ่อนอยู่ในที่มืด ตบะอาจจะไม่ต่ำนัก ทางฝ่ายของข้า เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที
ลู่ไถเงยหน้ามองฟ้า “พอจะแน่ใจในความจริงได้คร่าวๆ แล้ว การที่ป้อมอินทรีบินมีธาตุหยินรุ่งโรจน์ธาตุหยางเสื่อมโทรมมาตลอดหลายสิบปีนี้ เป็นเพราะเกิดจากความตั้งใจของใครบางคน เพื่อให้ฮูหยินของเจ้าประมุขที่เกิดมาก็มีธาตุหยินเข้มข้นคนนั้นตั้งครรภ์ทารกผีที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบสักครั้ง ซึ่งจะถือกำเนิดขึ้นมาในช่องโพรงหัวใจของหญิงสาว ไม่ใช่การตั้งท้องสิบเดือนเหมือนสตรีทั่วไป จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี กินเลือดลมและพลังต้นกำเนิดของหญิงสาวเป็นอาหาร คำสุภาษิตที่บอกว่าผีร้ายถือกำเนิดขึ้นในใจก็หมายถึงสถานการณ์เช่นนี้ ฮูหยินคนนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน ดังนั้นพลังต้นกำเนิดจึงไม่มากพอ นี่จึงเป็นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดมากมายขึ้นในป้อมอินทรีบิน ก็เพื่อช่วยต่อชีวิตให้หญิงสาว เมื่อใดที่ทารกผีแหวกหัวใจนางออกมา นั่นก็คือเวลาตายของนาง และนี่ยังเป็นการสร้างบาปกรรมที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง เมื่อสตรีผู้นั้นตายไป ก็อย่าได้หวังว่าวิญญาณของนางจะได้รับความสงบสุข ตอนมีชีวิตอยู่ อยู่ไม่สู้ตาย พอตายไปก็ตายไม่สู้อยู่ น่าเวทนายิ่งนัก”
เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น
ลู่ไถเอ่ยช้าๆ “ตามคำบันทึกในตำราลัทธิเต๋าที่เก็บไว้ในหอหนังสือของบ้านข้า หากสิ่งสกปรกเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมา ก็จะมีตบะขอบเขตหก รับมือได้ยากยิ่ง เพราะเดี๋ยวมันก็รวมร่างเดี๋ยวก็แยกย้าย เว้นเสียจากว่าจะฆ่าให้ตายด้วยการโจมตีเดียว หาไม่แล้วก็ยากที่จะกำจัด มันชอบกินอวัยวะภายในของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ หากไม่มีใครจัดการกับมัน ไม่ต้องถึงหนึ่งร้อยปี ขอแค่ให้มันกินคนหลายแสนคนในหลายๆ เมืองก็จะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่น เดิมทีทารกผีก็จับตัวได้ยากมากอยู่แล้ว ถ้าเป็นทารกผีขอบเขตเซียนดินตนหนึ่ง เกรงว่าหากไม่มีเซียนดินสามท่านร่วมมือกันสังหาร ก็อย่าได้หวังว่าจะถอนรากถอนโคนมันได้ ถ้าผู้ฝึกตนขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งเป็นฝ่ายเดินเข้าหามันเพียงลำพัง ก็มีแต่จะตกเป็นเหยื่อของมันเท่านั้น”
ลู่ไถหัวเราะเสียงเย็น “วิธีการเช่นนี้ไม่นับเป็นอะไรได้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แต่หากมาอยู่ที่ใบถงทวีปก็ถือว่าลงทุนอย่างมากแล้ว”
จากนั้นลู่ไถก็ไม่พูดอะไรอีก มือโบกพัด ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ข้าสามารถวาดยันต์ต่อได้แล้ว”
ลู่ไถชำเลืองตามองเฉินผิงอันที่อยู่ข้างกายแล้วคลี่ยิ้ม
ครั้งนี้ในที่สุดก็ทำสำเร็จ! เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วเตรียมจะเก็บยันต์ปราณหยินนำทางชิ้นนั้นลง ลู่ไถมีสีหน้ามึนงง “นี่เจ้าจะทำอะไร?”
เฉินผิงอันตอบ “วัสดุที่ใช้วาดยันต์ไม่สูงมากพอ ข้าแค่เอามาฝึกเขียนเท่านั้น…”
ลู่ไถแย่งยันต์แผ่นนั้นไป พูดเสียงขุ่น “เจ้าโง่หรือไง แค่เจ้าตัวน้อยกลุ่มเดียวเท่านั้น ยันต์แผ่นนี้แผ่นเดียวก็เหลือเฟือ หากดีกว่านี้ ไม่แน่ว่าอาจชักนำให้พวกมันเกิดความละโมบ เลือกที่จะเป็นผีเร่ร่อนอยู่ระหว่างโลกมนุษย์และยมโลกต่อไป นั่นกลับจะทำให้เรื่องเลวร้าย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ส่งเหล็กหมาดหิมะด้ามเล็กให้กับลู่ไถก่อน ก่อนจะหยิบแผ่นยันต์ออกมาก็ถามว่า “ถึงอย่างไรยันต์ข้ามฟากสู่ยมโลกแผ่นนั้นของเจ้าก็ต้องแหวกเส้นแบ่งระหว่างหยินและหยาง ไม่เหมือนกับยันต์นำทางที่เรียบง่ายแผ่นนี้ของข้า ดังนั้นวัสดุที่ใช้วาดยันต์ยิ่งดีเท่าไหร่ก็ยิ่งศักดิ์สิทธิ์มากเท่านั้นใช่หรือไม่?”
ลู่ไถขยับปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันรู้คำตอบแล้ว จึงหยิบกระดาษยันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมา
ลู่ไถไม่ได้รับมา แต่ถามว่า “คุ้มแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ลู่ไถกลับส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่าไม่คุ้ม”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเด็กน้อยที่นั่งเรียงกันสองแถวใต้กำแพงแล้วหันกลับมายิ้มกว้างให้ลู่ไถ สายตาเด็ดเดี่ยว “เจ้าใช้กระดาษยันต์แผ่นนี้ให้วางใจเถอะ แต่อย่าวาดผิดเด็ดขาดเชียว”
ลู่ไถถอนหายใจหนึ่งที หลับตากลั้นหายใจทำสมาธิอย่างจริงจังก่อนครู่หนึ่งแล้วถึงลืมตาขึ้น กำเหล็กหมาดหิมะไว้แน่น ครั้นจึงวาดยันต์ข้ามฟากลงบนกระดาษสีทอง นี่เป็นยันต์เฉพาะของสกุลลู่สำนักหยินหยางทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ภาพที่วาดคือเรือแจวหนึ่งลำ บนเรือมีผู้เฒ่าถือไม้พาย สองข้างของแผ่นยันต์ต่างก็มีตัวอักษรโบราณเรียงกันฝั่งละแถว
เฉินผิงอันเชื่อมั่นในยันต์ที่ลู่ไถวาด เขาหันหน้าไปมองเด็กกลุ่มนั้น
เคยมีคนผู้หนึ่งได้ยินสามคำว่า ‘ไม่คุ้มค่า’ ในร้านตระกูลหยาง
เฉินผิงอันมองเด็กเหล่านั้นก็เหมือนมองเห็นตัวเองหลายสิบคนที่กำลังรอคอยคำตอบ
ครู่หนึ่งต่อมา ลู่ไถก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทำสำเร็จแล้ว!”
ลู่ไถคืนเหล็กหมาดหิมะมาให้ หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ลุกขึ้นยืน เฉินผิงอันคีบยันต์ปราณหยินนำทางขึ้นมา พอกรอกปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่งเข้าไปแล้ว ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ก็ไหลวนไปทั่วยันต์ เส้นแสงนั้นบอบบางอ่อนโยน เมื่อเทียบกับยันต์ปราณหยางส่องไฟแล้วก็เป็นภาพเหตุการณ์สองอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่ยันต์นำทางปรากฏตัว เด็กๆ ที่นั่งอยู่ตรงกำแพงต่างก็พากันเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง มองยันต์ในมือของเฉินผิงอันด้วยสายตาเหม่อลอยที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและชื่นชอบ
ลู่ไถโยนยันต์ข้ามฟากสู่ยมโลกกระดาษสีทองแผ่นนั้นไปยังกำแพงที่ก่อขึ้นจากโครงกระดูกซึ่งตั้งอยู่สุดตรอก ยันต์แนบติดไปบนกำแพง กรอบสี่ด้านของยันต์ต่างก็มีเส้นสีทองเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น ส่วนพื้นที่ตรงใจกลางของยันต์ก็เริ่มหายไป เส้นสีทองขยายกว้างออกไปด้านนอกอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายกลายมาเป็นกรอบประตูสีทองบานหนึ่ง
ลู่ไถบอกให้เฉินผิงอันที่ถือยันต์นำทางเดินไปทางประตูใหญ่บานนั้น และต้องเดินอย่างเชื่องช้า
เหล่าวัตถุหยินเด็กน้อยพากันลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามเฉินผิงอันที่นำทางอยู่ด้านหน้า เดินไปยังปลายทางของตรอก
ลู่ไถนั่งอยู่บนขั้นบันไดหน้าบ้าน มือข้างหนึ่งเท้าคางมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันทำตามคำสั่งของลู่ไถโดยการนำยันต์ปราณหยินนำทางไปวางในประตูใหญ่ และเมื่ออยู่เหนือธรณีประตูพอดี ยันต์นั้นก็หยุดลอยนิ่งไม่ขยับอีก
เด็กน้อยวัตถุหยินหลายสิบตนพากันทยอยเดินเข้าไปข้างใน บ้างตนก็กระโดดโลดเต้น บางตนก็เดินโยกร่าง และยังมีเด็กที่โตบางตนจูงมือเด็กที่อายุน้อยกว่า
หลังจากพวกมันทยอยกันเดินเข้าไปในประตูใหญ่แล้ว ทันใดนั้นศีรษะทั้งหมดที่เบียดกันอยู่ด้านหลังธรณีประตูก็หันมาส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่นอกประตู
แม้ว่าพวกมันจะเป็นวัตถุหยิน แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มในเวลานี้กลับสดใสไร้เดียงสายิ่งนัก
ลู่ไถมองไม่เห็นสีหน้าของเฉินผิงอัน
นางที่สวมชุดสีเขียวของบุรุษ แท้จริงแล้วชื่อจริงคือ “ลู่ไถ” ไถที่แปลว่ายกขึ้นสูง (ตรงข้ามกับไถเดิมที่บอกว่าหมายถึงแท่น/ดาดฟ้า) ราวกับต้องการจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับ “ลู่เฉิน” (เฉินของชื่อลู่เฉินแปลว่าจมลง/ลึก/หนักหน่วง) ผู้เป็นบรรพบุรุษอย่างไรอย่างนั้น
นางเห็นแค่ว่าเฉินผิงอันโบกมืออำลาเด็กๆ พวกนั้น