ผีสาวยังคงไม่เต็มใจจะลุกขึ้นยืน โขกหัวไม่หยุด ความจริงใจนี้ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยแล้ว
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับชุยตงซาน “ถ้าอย่างนั้นก็มอบนางให้เจ้าแล้ว หากเป็นไปได้ก็ช่วยให้นาง ‘เปิดภูเขา’ เข้าไปอยู่ในคราบร่างเซียน หากไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืน”
ชุยตงซานตบอกรับรอง “อาจารย์วางใจได้เลย ต่อให้สุดท้ายทำไม่สำเร็จก็รับรองว่านี่จะยังเป็นการค้าที่มีแต่ผลกำไร ไม่มีขาดทุน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากสำเร็จ เจ้าต้องการให้ข้าตอบแทนเจ้ายังไง?”
ชุยตงซานกล่าวอย่างตกตะลึง “เคารพครูบาอาจารย์และเคารพในคำสั่งสอน ช่วยอาจารย์แก้ไขปัญหายุ่งยากคือหน้าที่ของศิษย์อยู่แล้ว จำเป็นต้องตอบแทนด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด “ตัวเจ้าเองเชื่อคำพูดนี้ไหม?”
ชุยตงซานยิ้มเขินอาย “อาจารย์ไม่เพียงแต่มีความรู้ลึกล้ำ ทั้งยังเข้าใจจิตใจผู้คนเป็นอย่างดี ติดตามอาจารย์แสวงหามรรคา ศิษย์…”
เฉินผิงอันจำต้องตัดบทคำประจบสอพลอที่ทำให้คนขนลุกขนชันของชุยตงซาน “หยุดเถอะ มีอะไรพวกเราก็มาพูดกันตรงๆ”
ชุยตงซานคิดแล้วก็นั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวยาว ดื่มน้ำชาหนึ่งคำแล้วถามหยั่งเชิงว่า “หากศิษย์บอกว่าต้องให้อาจารย์นำเงินเหรียญทองแดงแก่นทองทั้งหมดออกมา อีกทั้งยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อาจารย์จะตอบรับหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ชุยตงซานถาม “อาจารย์ไม่กลัวว่าโชคดีจะมาพร้อมหายนะ เมื่อผีสาวตนนี้ได้รับคำชี้นำจากข้าก็จะกลายเป็นนกพิราบยึดครองรังนกกางเขน เมื่อหล่อหลอมคราบร่างเซียนได้แล้ว ข้าจะเล่นตุกติก สุดท้ายนางก็ไม่จงรักภักดีต่ออาจารย์อีก? อาจารย์เต็มใจเชื่อข้าชุยตงซานในเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่เชื่อใจเจ้าชุยตงซาน แต่เชื่อใจอาจารย์ที่ยอมให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง”
ชุยตงซานเงียบไป
ผีสาวสือโหรวที่รับฟังอยู่รู้สึกเหมือนตกอยู่ท่ามกลางไอหมอก
ไม่รู้เลยว่าอาจารย์และศิษย์คู่นี้กำลังทำนายปริศนาอะไรกันอยู่
ชุยตงซานยื่นนิ้วสองข้างมาคีบยันต์สีเหลืองแผ่นนั้น ขณะเดียวกันผีสาวสือโหรวก็ถูกกระชากกลับเข้าไปในยันต์และถูกเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะของชุยตงซาน
ต้องรู้ว่ายันต์แผ่นนี้เป็นวัตถุที่ผ่านการหล่อหลอมจากเฉินผิงอันแล้ว
ผีสาวโครงกระดูกที่อารมณ์กระเพื่อมรุนแรงล่องลอยอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าที่มืดมิด อดรู้สึกเลื่อมใสเด็กหนุ่มเทพเซียนที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นี้เพิ่มขึ้นอีกไม่ได้
ส่วนเฉินผิงอันที่ถือว่าเป็นเจ้านายแท้จริงของนางในนาม อีกทั้งยังลงนามสัญญาเป็นตายต่อกันแล้วด้วย อันที่จริงนางไม่กลัวเขามากนัก ส่วนความนับถือเลื่อมใสก็ยิ่งไม่มี
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้
เพราะเรื่องราวบนโลกก็เป็นเช่นนี้
ชุยตงซานเก็บยันต์ไปแล้วก็กล่าวว่า “อาจารย์อยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันได้ไหม? อย่างมากสุดแค่สามวันก็รู้ผลแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ถึงเวลานั้นก็สามารถออกเดินทางต่อได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้”
ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไปให้เฉินผิงอันด้วยความรู้สึกละอายใจและเขินอายเล็กน้อย
เฉินผิงอันหยิบเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุงที่ราชสำนักต้าหลีให้เป็นของขวัญไถ่โทษออกมาจากวัตถุฟางชุ่น
ยังไม่ทันถือได้ร้อนมือก็ต้องส่งต่อไปให้คนอื่นแล้ว หากผีสาวเข้าไปอยู่ในคราบร่างเซียนเหรินได้สำเร็จ หลังจากนี้ยังต้องใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปเติมเต็มหลุมไร้ก้นที่น่ากลัวนั่นอีก
จากนั้นเฉินผิงอันก็หยิบจิตหยางกายนอกกายของตู้เม่าออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ แล้วชุยตงซานก็เอาเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อของเขาอีกที
ชุยตงซานเดินไปที่ประตูห้องก็หยุดเดิน หันหน้ามายิ้มพูดว่า “อาจารย์ แม้จะบอกว่าเป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้ก่อนแล้ว แต่ศิษย์จัดการกับคนพวกนั้นด้วยวิธีเช่นนี้ อาจารย์โกรธหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ในเมื่อไม่ใช่เรื่องร้ายแรง เจ้าก็ทำไปเถอะ”
ชุยตงซานถามอีก “แล้วเผยเฉียนล่ะ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้าได้แต่บอกกับตัวเองว่า ผิดไวก็รู้ไว ถึงอย่างไรก็ดีกว่าวันหน้าปล่อยให้นางทำเรื่องผิดมหันต์แล้วค่อยล้อมคอกเมื่อวัวหาย”
ชุยตงซานทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป และนี่ก็ไม่ใช่วิธีแสร้งปล่อยเพื่อจับ สุดท้ายเขาเองก็ถอนหายใจเลียนแบบเฉินผิงอัน “ช่วงนี้ไม่สู้อาจารย์อ่านตำราของอริยะปราชญ์สำนักนิติธรรมให้มาก ถึงอย่างไรการใช้กฎเกณฑ์พิธีการของลัทธิขงจื๊อและบรรทัดฐานของลัทธิเต๋ามาวัดการกระทำของคนทั้งบนภูเขาและล่างภูเขาก็ยิบย่อยและกินแรงมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่นข้อที่ว่า ‘กษัตริย์ขุนนาง บนล่าง สูงศักดิ์ต่ำต้อยล้วนทำตามกฎ’ ‘ไม่แบ่งแยกใกล้ชิดห่างเหิน ไม่แบ่งแยกยากดีมีจน ทุกอย่างล้วนตัดสินกันด้วยกฎเกณฑ์’ ของสำนักนิติธรรม ล้วนถือเป็นยาดีในการปกครองโลก ทั้งยังสามารถลดทอนเรื่องวุ่นวายใจที่ไม่จำเป็นได้มากมาย ต่อให้อาจารย์ไม่ยกย่องสำนักนิติธรรม แต่เอามาใช้ฆ่าเวลา นำสำนักนิติธรรมมาเป็นอาหารเสริม เป็นยาบำรุงของลัทธิขงจื๊อ ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง ฉวยโอกาสช่วงสองสามวันที่ยังอยู่ในอำเภอ ข้าจะไปหาผลงานของสำนักนิติธรรมมาอ่านดู”
ชุยตงซานกุมมือคารวะ “อาจารย์ยอมรับฟังคำแนะนำด้วยความหวังดีอย่างเป็นธรรมชาติดุจน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ ศิษย์ละอายใจที่สู้ไม่ได้ ได้รับการชี้แนะแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ทำไมเจ้าไม่แข่งเรื่องความสามารถในการประจบสอพลอกับพวกเว่ยเซี่ยนล่ะ พวกเขาสี่คนต้องยอมแพ้เจ้าทั้งกายและใจแน่นอน”
ตอนที่ชุยตงซานปิดประตู เขายิ้มกว้างถามว่า “อาจารย์ วันหน้ามีเวลาว่าง ข้าสอนท่านเล่นหมากล้อมดีไหม?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง “ไว้ค่อยว่ากันเถอะ”
ชุยตงซานจากไปด้วยรอยยิ้ม
วงกลมที่มีแสงสีทองไหลเวียนวนในห้องก็สลายตามไปด้วย
ชุยตงซานกลับไปที่ห้องตัวเอง หลับตาทำสมาธิ
สุดท้ายเขาหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมาอย่างเคร่งขรึม นั่นคือม้วนภาพที่มีแกนภาพทำมาจากวัสดุเดียวกับเงินเหรียญทองแดงแก่นทอง
หลังจากที่ชุยตงซานเปิดมันออก ม้วนภาพวาดบนโต๊ะก็ไหลรินเหมือนแม่น้ำสายยาวแห่งกาลเวลา ภาพเหตุการณ์มากมายไหลผ่านตามกันไปไม่ขาดตอน คล้ายคนและสิ่งของที่สมจริงที่สุดในโลก
และคนที่อยู่บนม้วนภาพวาดก็คือเฉินผิงอัน
บุคคลที่อยู่ใน ‘ช่วงตอน’ ของแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวบนม้วนภาพวาด ส่วนใหญ่คือเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซินเพื่อนบ้านของเขาในตรอกหนีผิง
คนหนึ่งเกี่ยวพันกับมหามรรคาของราชครูชุยฉานเอง อีกคนหนึ่งเกี่ยวพันกับทิศทางการดำเนินไปของแคว้นต้าหลี
ม้วนภาพมหัศจรรย์ที่ใช้แม่น้ำแห่งกาลเวลามาเป็น ‘กระดาษเซวียนจื่อ’ เช่นนี้ ถูกตระกูลเซียนบนภูเขาเรียกว่าภาพม้าวิ่ง ล้ำค่าอย่างถึงที่สุด
มีเพียงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่เชี่ยวชาญวิชาลับบางอย่างในยุคบรรพกาลเท่านั้นถึงจะมีวิชาอภินิหารเช่นนี้ได้
ตระกูลเซียนที่มีคำว่าสำนักในชื่อที่มีรากฐานลึกล้ำ ไม่ขาดแคลนทรัพย์สินเงินทองซึ่งคอยให้การปกป้องคนที่บุรพาจารย์ของสำนักกลับมาจุติอย่างลับๆ ส่วนใหญ่มักจะมีวัตถุชิ้นนี้และจะเก็บไว้อย่างทะนุถนอม ม้วนภาพน้ำไหล ภาพม้าวิ่งนี้ไม่ใช่ของชิ้นเล็กที่ช่วยผ่อนคลายอารมณ์อะไร ต้องเผาผลาญสมบัติมหาศาล เกี่ยวพันไปถึงการฝึกตนบนมหามรรคา
อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ริ้วกระเพื่อมในทะเลเสาบหัวใจที่เกิดขึ้นในทุกการกระทำ ทุกคำพูด ทุกเสียงหัวเราะ ทุกเสียงร้องไห้ ทุกอุปสรรคของคนที่ถูกจับตามองล้วนถูกบันทึกไว้บนม้วนภาพอย่างสมบูรณ์แบบ
ม้วนภาพนี้ แม้แต่ฮ่องเต้ต้าหลีและมารดาแท้ๆ ของซ่งจี๋ซินที่เคยเป็นพันธมิตรกับชุยฉานในอดีตก็ยังไม่เคยเห็น
มองเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซินคนวัยเดียวกันบนภาพวาดค่อยๆ เปลี่ยนจากเด็กชายมาเป็นเด็กหนุ่ม ชุยตงซานก็จมจ่อมเข้าสู่ภวังค์ความคิด แต่เรื่องที่เขาครุ่นคิดกลับไม่ได้เกี่ยวกับคนสองคนที่อยู่บนภาพวาด
ระหว่างช่วงเวลาที่เขาพาเนื้อหนังมังสาร่างนี้ไปหยุดอยู่ในเมืองเล็ก ช่วงที่เรื่องราวใกล้จะปิดฉากลง หลังจากที่ร่างและมรรคาของฉีจิ้งชุนดับสลายไปแล้ว ชุยตงซานค้นพบว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาของถ้ำสวรรค์หลีจูถูกคนใช้วิชาอภินิหารปาดออกไปบางๆ หนึ่งชั้นอย่างลับๆ อย่าว่าแต่มนุษย์ธรรมดาและผู้ฝึกตนเซียนดินที่อยู่ในเมืองเล็กเลย เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเซียนเหรินก็ยังสัมผัสไม่ได้
นี่หมายความว่าบนมือของใครบางคนน่าจะได้ครอบครองม้วนภาพ ‘น้ำไหล’ ที่มากพอจะประคับประคองเส้นเวลาที่ยาวนานยิ่งกว่า
ใครกันแน่ที่ทำเรื่องละเมิดต่อวิถีสวรรค์เช่นนี้ ยากที่จะบอกได้ อาจจะเป็นลู่เฉินหนึ่งในสามเจ้าลัทธิใหญ่ของลัทธิเต๋าที่ทำเพื่อหลี่ซีเซิ่ง ‘หนึ่งในศิษย์พี่ใหญ่’ ของเขา หรือไม่ก็เพื่อเด็กหนุ่มคิ้วยาวผู้เป็นลูกหลานของเทียนจวินเซี่ยสือ หรืออาจจะเป็นหร่วนฉงอริยะพิทักษ์เมืองเล็กที่มารับช่วงต่อจากฉีจิ้งชุนที่ทำเพื่อบุตรสาวหร่วนซิ่ว และอาจจะเป็นหยางเหล่าโถวแห่งร้านยาที่ทำเพื่อหม่าขู่เสวียนที่มีโชควาสนาเทียมฟ้า หรือไม่ก็เพื่อคนหนุ่มบางคนที่เขาแอบเดิมพันเอาไว้
ชุยตงซานเก็บม้วนภาพวาดกลับไปซ่อนไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างระมัดระวัง
จากนั้นก็ใช้กระบี่บินวาดวงกลมสร้างฟ้าดินเล็กๆ แห่งหนึ่งขึ้นมา แล้วถึงได้หยิบยันต์กระดาษสีเหลืองกับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหลายถุง รวมไปถึง…คราบร่างเซียนเหรินที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้นออกมา
ชุยตงซานนวดคลึงหว่างคิ้ว
เมื่อเทียบกับการประกอบร่างเด็กหนุ่มเศษกระเบื้องคนนั้นขึ้นมาในถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีแต่จะยากกว่า ไม่ง่ายกว่า
ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “ศิษย์แบ่งเบาความกังวลแทนอาจารย์ ช่วยควักถุงเงินจ่ายให้อาจารย์อย่างใจกว้าง เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน มารดามันเถอะ กราบไหว้อาจารย์ขอเล่าเรียนความรู้สองครั้งล้วนมีสภาพที่ต้องกลายเป็นถุงเงินของคนอื่นอย่างน่าอนาถเช่นนี้ ไม่เสียแรงที่ข้าชุยตงซานและชุยฉานเป็นคนคนเดียวกัน”
……
เฉินผิงอันไปที่ร้านหนังสือในอำเภอเพื่อซื้อตำราที่กล่าวถึงความรู้ของสำนักนิติธรรมมาจุดตะเกียงอ่านยามค่ำคืนจริงๆ
ยามสนธยาของวันแรกหลังจากวันนั้น ชุยตงซานที่มีสีหน้าอิดโรยมาบ่นระบายทุกข์ให้เฉินผิงอันฟังคำรบหนึ่งพร้อมขอเหล้ากุ้ยฮวาดื่มหนึ่งกา แถมยังทำหน้าหนาเอากลับไปด้วยอีกหนึ่งกา
วันที่สองสีหน้าของชุยตงซานเหมือนขี้เถ้ามอด เดินสะโหลสะเหลเข้ามาในห้องของเฉินผิงอัน เผยเฉียนกำลังตั้งใจก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษร ชุยตงซานบอกให้เด็กหญิงขยับถอยไปนิด จากนั้นเขาก็ฟุบลงบนโต๊ะ นอนกรนครอกๆ ครึ่งชั่วยามถึงจะตื่นขึ้นมา เห็นเฉินผิงอันกำลังฝึกเดินด้วยท่าฟ้าดิน กับเผยเฉียนที่ฝึกเดินนิ่งหกก้าว เขาก็จากไปเงียบๆ แน่นอนว่าไม่ลืมเอาเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่วางไว้บนโต๊ะไปด้วย
วันที่สาม ชุยตงซานบอกว่าวันมะรืนถึงจะออกเดินทางได้ สีหน้าของเขาชื่นบานแจ่มใจ ตอนที่มาเยือนยังพกอุปกรณ์เล่นหมากล้อมของหลูป๋ายเซี่ยงมาด้วย บอกว่าเอามาเล่นแก้เบื่อ ต้องการจะสอนอาจารย์เล่นหมากล้อม ด้วยพรสวรรค์ของอาจารย์ เรียนแค่สองสามวันก็เก่งกาจเกินหลูป๋ายเซี่ยงแล้ว ห้าหกวันก็คงจัดการเขาชุยตงซานได้อย่างง่ายดาย
ก่อนจะเล่นหมากหล้อมอย่างเป็นทางการ มองเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าจริงจัง ชุยตงซานก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
ชุยตงซานสอนรูปแบบปลายแหลมเล็กในตำราเมฆหลากสีเล่มนั้น
ผลคือเขาต้องเสียเวลาหนึ่งชั่วยามเต็มในการอธิบายแก่นสำคัญและการเปลี่ยนแปลงมากมายในภายหลังของรูปแบบการเดินหมากนี้ หากหลูป๋ายเซี่ยงหรือฉีไต้จ้าวคนใดก็ตามของต้าหลี ‘โง่เง่า’ ขนาดนี้ เกรงว่าเขาคงด่าอีกฝ่ายจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว แต่คงเป็นเพราะสถานะ ‘อาจารย์’ ของเฉินผิงอัน ถึงทำให้ชุยตงซานไม่มีความหงุดหงิดอย่างที่หาได้ยากยิ่ง แล้วก็อาจเป็นเพราะเฉินผิงอันที่ทำให้ชุยตงซานเผชิญกับความยากลำบากสุดแสนไม่เคยขอความรู้กับเขาอย่างจริงจังเช่นนี้มาก่อน?
สรุปก็คือชุยตงซานสอนหมากล้อม เฉินผิงอันเรียนหมากล้อม เสียงเม็ดหมากกระทบกระดานใสกังวาน รวมไปถึงเสียงถามตอบที่ดังขึ้นๆ ลงๆ แว่วมาเป็นระยะ
กลางดึกวันที่สี่
เมื่อเฉินผิงอันเปิดประตูห้องออกมาก็พลันรู้สึกผวาพรั่นพรึง แล้วตามมาด้วยขนทั้งร่างที่พากันลุกพรึ่บ
เห็นเพียงว่าข้างกายชุยตงซานมี ‘ตู้เม่า’ ที่ยิ้มด้วยสีหน้าเอียงอายยืนอยู่ กล่าวด้วยน้ำเสียงขลาดๆ ว่า “บ่าวคารวะนายท่าน”
—–