กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 391.2 ตระกูลสูงส่ง นักพรตมีดอาคม

บทที่ 391.2 ตระกูลสูงส่ง นักพรตมีดอาคม

อันดับแรกเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งอารามเต๋าในเมืองหลวงที่สนิทสนมกับสกุลหลิ่วมาเยือนอย่างห้าวหาญ สามารถฝ่าค่ายกลบังตาเข้ามาในสวนสิงโตได้สำเร็จ คอยเฝ้าอยู่ด้านล่างหอซิ่วโหลวที่เด็กสาวผู้น่าสงสารอยู่อาศัย วาดยันต์ร่ายอาคมไปทั่วสี่ทิศ ผลกลับกลายเป็นว่าวันต่อมาคนของสวนสิงโตพบว่าเทพเซียนขอบเขตประตูมังกรที่มีชื่อเสียงว่าคุณธรรมสูงส่งผู้นี้ถูกมัดมือทั้งสองข้าง ร่างกายเปล่าเปลือยถูกแขวนไว้บนต้นไม้ใหญ่ พอถูกช่วยลงมาได้แล้ว เจ้าอารามผู้เฒ่าอับอายเกินกว่าจะสู้หน้าใครได้ พูดแค่ว่าปีศาจจิ้งจอกตัวนี้มีตบะสูงเกินไป เขาไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่าย

หลังจากนั้นก็มีผู้ฝึกลมปราณอีกหลายกลุ่มที่ทยอยกันมาขับไล่ปีศาจจิ้งจอก มีทั้งจอมยุทธ์ที่เลื่อมใสในขนบธรรมเนียมประจำตระกูลของตระกูลหลิ่วมานาน แล้วก็มีทั้งคนที่เดินทางมาเพราะหวังอยากครอบครองสมบัติสืบทอดสามชิ้นของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว

ทุกคนล้วนถูกปีศาจจิ้งจอกตนนั้นปั่นหัวเล่นจนมีสภาพสะบักสะบอม

เป็นเหตุให้ปีศาจจิ้งจอกป่าวประกาศแก่รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วอย่างโจ่งแจ้งว่า มันจะมาเยือนสวนสิงโตทุกๆ สิบวัน ‘ท่านพ่อตา’ อยากเชิญใครมาประลองเวทคาถากับลูกเขยอย่างมันก็ตามสบาย จะได้สอนให้สวนสิงโตรู้ถึงความร้ายกาจของมัน วันหน้าเมื่อกลายเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว หายนะในวันนี้ย่อมต้องกลายเป็นเรื่องเล่าอันงดงามในวันหน้าอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันเพียงแค่รับฟังเงียบๆ

เด็กสาวอายุสิบสามสิบปีที่ปลายจมูกมีกระเล็กน้อยคนนั้นคือบุตรสาวของผู้ดูแลสวนสิงโต ตลอดทางที่เดินมาเด็กสาวไม่ได้เอ่ยคำใด ก่อนหน้านี้น่าจะแค่มาอยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนบิดาที่ศาลาริมทางเท่านั้น

ก่อนจะเข้าไปในสวน เฉินผิงอันชำเลืองตามองยันต์ปราณหยางส่องไฟบนหน้าผากเผยเฉียนแวบหนึ่ง แล้วก็แอบใช้มือแตะลงไปบนยันต์เบาๆ ยันต์ที่มีสัมผัสเฉียบไวต่อปราณชั่วร้ายอย่างถึงที่สุดแผ่นนี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

เฉินผิงอันไม่มีความคิดจะปลดยันต์ลงมา อารมณ์ของเขาไม่นับว่าผ่อนคลายนัก ปีศาจจิ้งจอกที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าตนนี้ต้องมีเวทคาถาเฉพาะที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจเป็นปีศาจใหญ่จำพวกเซียนดินจริงๆ

ตอนนี้ในสวนสิงโตยังมีผู้ฝึกตนอีกสามกลุ่มที่รอคอยให้ปีศาจจิ้งจอกเผยตัวในอีกห้าวันให้หลัง

บวกกับเฉินผิงอันก็มีทั้งหมดสี่กลุ่ม

พวกเฉินผิงอันถูกผู้ดูแลผู้เฒ่าแซ่จ้าวพาไปยังที่พักซึ่งตั้งอยู่ในสี่มุมรอบหอเรือนของคุณหนูแห่งสวนสิงโต อันที่จริงปีศาจจิ้งจอกไปมาอย่างไร้ร่องรอย การจัดวางที่ตื้นเขินเช่นนี้ก็แค่ทำให้คนสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น

ระหว่างที่เดินทางไปยังที่พักก็ได้ชมทัศนียภาพอันสบายตาของสวนสิงโต หอเรือน หอเก๋ง ศาลารมย์ สะพาน ผนัง ต้นไม้ดอกไม้ กรอบป้ายกลอนคู่ ล้วนมอบความรู้สึกสบายและผ่อนคลายให้แก่ผู้คน

ตระกูลปัญญาชนผู้มีความรู้ หากทั้งร่ำรวยและทั้งสูงศักดิ์ เมื่อเดินเล่นอยู่ในสวนส่วนตัว ต่อให้ไม่พูดคุยสื่อสารกับใคร ไม่มีเสียงพิณ ภาพวาด ไม่ได้ร่ำสุราหรือดื่มชา แต่ก็ยังให้ความรู้สึกรื่นรมย์สบายใจแก่ผู้คนเช่นนี้เสมอ

ไม่มีแสงทองประกายหยกอร่ามเรืองรองตามจินตนาการของชาวบ้านร้านตลาด ยิ่งไม่มีหาบทองหรือม้านั่งเงินวางไว้ในบ้าน

คนเฝ้าประตูบ้านอัครเสนาบดีเท่ากับขุนนางขั้นเจ็ด หน้าเรือนของตระกูลไร้เสียงสุนัขเห่า

หากไม่พูดถึงอำนาจ พูดถึงแค่ธรรมเนียมที่สืบทอดกันในตระกูล ถึงอย่างไรพวกตระกูลเศรษฐีที่เจริญก้าวหน้าอย่างพรวดพราดก็เทียบกับตระกูลขุนนางชนชั้นสูงที่สืบทอดกันมาหลายรุ่นอย่างแท้จริงไม่ได้

เฉินผิงอันสี่คนพักอาศัยอยู่ในเรือนเล็กที่งามวิจิตรแห่งหนึ่ง อันที่จริงตำแหน่งที่ตั้งเลยสวนดอกไม้มา ห่างจากหอเรือนของคุณหนูผู้นั้นแค่ร้อยกว่าก้าว นี่ไม่สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมทั่วไป สถานที่บางแห่งของแจกันสมบัติทวีปที่เคารพนับถือหลักการบางอย่างโดยเฉพาะจะพิถีพิถันกับกฎที่ว่าสตรีไม่ออกจากประตูใหญ่ไม่ก้าวข้ามประตูรอง (เปรียบเปรยว่าสตรีจะไม่ออกจากบ้านง่ายๆ) เป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าตอนนี้เด็กสาวคนนั้นมีอันตรายถึงชีวิต อีกทั้งรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วซึ่งเป็นบิดาก็ไม่ใช่คนคร่ำครึ แน่นอนว่าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้

รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วมีบุตรชายสามคนบุตรสาวสองคน บุตรสาวคนโตแต่งงานกับบุรุษมากความสามารถของชนชั้นสูงที่ฐานะเท่าเทียมกัน เมื่อเดือนหนึ่งได้กลับมาบ้านเดิมพร้อมกับสามี คิดไม่ถึงว่าจะกลับออกไปอีกไม่ได้ จึงรั้งอยู่ในสวนสิงโตตลอดเวลา บุตรชายคนอื่นๆ ก็มีสภาพที่อเนจอนาถเช่นเดียวกัน มีเพียงบุตรชายคนโตที่เนื่องจากเป็นขุนนางในอำเภอที่อยู่ใกล้กับศาลพ่อปู่ลำคลอง จึงไม่ได้กลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้าน ถึงผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้ หลังเกิดเรื่องรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วก็ส่งจดหมายไปให้ จดหมายหนึ่งฉบับในนั้นใช้ถ้อยคำที่รุนแรงมาก บอกว่าไม่อนุญาตให้บุตรชายคนโตกลับมาที่สวนสิงโต ห้ามละทิ้งงานส่วนรวมด้วยเรื่องส่วนตัวเด็ดขาด

บุตรชายคนรองของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วน่าสงสารที่สุด ออกจากบ้านไปครั้งเดียว ตอนกลับมาก็กลายเป็นคนพิการไปแล้ว

พูดถึงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว อันที่จริงอายุของหลิ่วจิ้งถิงไม่ถือว่ามาก เพียงแต่ว่าเกิดมาเป็นเด็กอัจฉริยะ การสอบเคอจวี่เป็นไปอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค อายุสิบแปดก็ได้เป็นจ้วงหยวน ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง เป็นขุนนางมาสามสิบปี สิบสองปีในนั้นได้นั่งตำแหน่งรองเจ้ากรมพิธีการ ดังนั้นยังไม่ถึงอายุห้าสิบก็เกษียณตัวเองลาออกจากการเป็นขุนนาง คนทั้งราชสำนักต่างก็ชอบเรียกเขาด้วยความเคารพว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่ว

เฉินผิงอันเพิ่งจะวางสัมภาระลง รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วก็มาเยือนถึงที่พักด้วยตัวเอง เขาคือผู้เฒ่าที่มีบุคลิกสุภาพสง่างามคนหนึ่ง ทั่วกายมีกลิ่นอายของปัญญาชนเข้มข้น แม้ว่าตระกูลจะเจอกับหายนะครั้งใหญ่ แต่สีหน้าของหลิ่วจิ้งถิงก็ยังคงไว้ซึ่งความสุขุม เวลาที่พูดคุยกับเฉินผิงอันก็มีรอยยิ้มแต้มใบหน้าอยู่เป็นนิจ ไม่ใช่สีหน้าเบิกบานอย่างฝืนใจ เพียงแต่ว่าหว่างคิ้วของผู้เฒ่ามีความกังวลและความเหนื่อยล้าอย่างปิดไม่มิด เป็นเหตุให้เฉินผิงอันรู้สึกดีกับเขามากขึ้นที่เขามีทั้งความหนักแน่นสมกับเป็นผู้นำของตระกูล ขณะเดียวกันก็มีความจริงใจสมกับเป็นบิดาของผู้อื่น

ตอนที่มาส่งหลิ่วจิ้งถิงนอกประตูเรือน รองเจ้ากรมผู้เฒ่ายิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่าสามารถไปเดินเล่นอยู่ในสวนสิงโตได้ตามใจต้องการ

กลับมาถึงเรือนพัก เผยเฉียนคัดตัวอักษรอยู่ในห้อง หน้าผากแปะแผ่นยันต์ ต่อให้นอนหลับก็ไม่มีทางปลดมันลง

สือโหรวรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดิมทีเรือนแห่งนี้ก็ไม่ใหญ่ มีห้องพักแค่สำหรับสามคนเท่านั้น ผู้ดูแลของสวนสิงโตคิดว่าให้ข้ารับใช้วัยชราสองคนเบียดกันพักอยู่ในห้องเดียวกันก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทในการรับรองแขก

ไหนเลยจะรู้ว่าด้านในร่าง ‘ตู้เม่า’ นี้จะมีผีสาวโครงกระดูกอาศัยอยู่ ทำให้สือโหรวต้องพักอยู่ในห้องเดียวกับตาเฒ่าบ้ากามจูเหลี่ยน สือโหรวยอมอยู่ในลานบ้านตั้งแต่ค่ำจรดเช้าเสียยังดีกว่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นวัตถุหยิน จะนอนหรือไม่นอนก็ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อพลังต้นกำเนิดจิตวิญญาณของนาง

เพียงแต่เฉินผิงอันบอกว่าให้นางพักในห้องหลัก เขาจะนอนเบียดกับจูเหลี่ยนเอง

สือโหรวลังเลอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตอบรับ เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ

จูเหลี่ยนทำหน้าเสียดาย ทำเอาสือโหรวที่ได้เห็นรู้สึกเหมือนมีคลื่นยักษ์ถาโถมในหัวใจ

จูเหลี่ยนหันหน้าไปมองนอกเรือน เฉินผิงอันผงกศีรษะให้เขา จูเหลี่ยนจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู ห่างไปไกลมีคนเดินมาหกคน น่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณสองกลุ่มที่มากำจัดปีศาจปราบมารในสวนสิงโต

ผู้ฝึกตนคู่หนึ่งที่เป็นสามีภรรยากัน บุรุษมองดูแล้วอายุค่อนข้างมาก น่าจะประมาณสี่สิบปี ส่วนสตรีดูอ่อนเยาว์กว่า ประมาณสามสิบปี น่าจะเป็นขอบเขตถ้ำสถิตทั้งคู่ บุรุษแบกกระบี่ยาวที่ฝักทำด้วยหนังปลาฉลาม นี่ก็คือวิธีการที่ผู้ฝึกตนใช้กันเป็นประจำ หากผู้ฝึกลมปราณสะพายกระบี่ออกเดินทางจะมีพลังสยบที่มองไม่เห็นชนิดหนึ่ง หากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขึ้นมาเล่า?

สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววัง รูปโฉมอยู่ในระดับปานกลาง เพียงแต่ว่าผิวพรรณขาวนวลดุจหิมะ จึงให้ความงดงามตามธรรมชาติแก่คนมอง

คนอีกสี่คนที่เหลือมีทั้งคนแก่และเด็ก ดูจากตำแหน่งการเดิน คนหนุ่มที่หล่อเหลาน่าจะเป็นหัวหน้า เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง อีกสามคนที่เหลือจึงจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่แท้จริง ตรงไหล่ของผู้เฒ่าชุดดำมีจิ้งจอกขนสีแดงเพลิงตัวเล็กท่าทางเฉลียวฉลาดตัวหนึ่งนั่งอยู่ ส่วนบนแขนของเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็มีงูตัวยาวสีมรกตเหมือนใบไผ่ตัวหนึ่งรัดพันอยู่ ด้านหลังคนหนุ่มคือเด็กสาวหน้าตางดงาม ท่าทางคล้ายสาวใช้ประจำตัว

จูเหลี่ยนเดินนำพวกเขาเข้ามาในลานบ้าน ทุกคนทักทายปราศรัยกันด้วยภาษากลางของแจกันสมบัติทวีป

สามีภรรยาสองคนคือคนของแคว้นอวิ๋นเซียว มาจากสำนักแห่งหนึ่งบนภูเขา

ชายหนุ่มมีแซ่สองพยางค์ว่าตู๋กู มาจากราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป พวกเขาสี่คนแบ่งออกเป็นคู่นายบ่าวและคู่อาจารย์กับศิษย์ ทั้งสองฝ่ายเป็นสหายที่ถูกชะตากันซึ่งเพิ่งมารู้จักกันระหว่างเดินทาง เคยช่วยกันกำจัดปีศาจปราบมารที่ยึดครองภูเขาแถบหนึ่งแล้วสร้างความเดือดร้อนไปทั่วสี่ทิศ เนื่องจากมีการจัดงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ยิ่งใหญ่ ทั้งสองฝ่ายจึงรวมกลุ่มเดินทางมาเยือนแคว้นชิงหลวนด้วยกัน

คุณชายหนุ่มผู้นั้นบอกว่ายังมีอีกคนหนึ่งพักอยู่ในมุมตะวันออกเฉียงเหนือเพียงลำพัง คือนักพรตหญิงวัยกลางคนที่พกมีดคนหนึ่ง พูดภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปได้ไม่คล่องนัก นิสัยรักสันโดษไปสักนิด จึงไม่อาจชวนนางมาเยี่ยมเยียนคนบนเส้นทางเดียวกันได้

เฉินผิงอันเดินมาส่งแขกที่หน้าประตูเรือนอีกครั้ง

พอกลับเข้าไปในลานบ้านก็นึกถึงนักพรตหญิงพกมีดคนนั้นขึ้นมาจึงพึมพำว่า “คงไม่บังเอิญขนาดนั้นกระมัง”

จูเหลี่ยนถามอย่างใคร่รู้ “มีความเห็นอะไรงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนที่ข้าไปเยือนภูเขาห้อยหัวซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของทักษินาตยทวีป เคยไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่าเรือนซือเตา”

เต๋าเหล่าเอ้อร์มีนักพรตสายหนึ่งที่ใช้มีดอาคม ซึ่งจะถูกเรียกขานว่านักพรตเรือนซือเตา

เคยมีชื่อเสียงอย่างมากในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพียงแต่ว่าภายหลังมีชะตากรรมพอๆ กับคนเชื่อมีดที่ลึกลับของสำนักโม่ จึงค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของผู้คน

สือโหรวมีท่าทางเฉยเมยไม่สะทกสะท้าน

เมื่อเฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงรายละเอียดนี้ก็รู้ว่านักพรตเรือนซือเตามีชื่อเสียงไม่โดดเด่นในแจกันสมบัติทวีปจริงๆ

เหตุผลนั้นง่ายมาก พูดแล้วก็น่าขัน นั่นเป็นเพราะนักพรตมีดอาคมสายนี้ แต่ละคนล้วนเย่อหยิ่งมองไม่เห็นหัวใคร ไม่เพียงแต่ตบะจะสูงส่ง แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด นิสัยยังย่ำแย่สุดขีดด้วย

พวกเขามองไม่เห็นสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

ตอนนั้นที่อยู่ตรงหน้าผนังของเรือนซือเตา เฉินผิงอันก็เคยเห็นว่ามีคนติดประกาศออกเงินรางวัลนำจับ หมายสังหารซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง เหตุผลก็เพราะสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้ครอบครองผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบ ตายๆ ไปซะ จะได้ไม่ต้องอยู่ขวางหูขวางตาคนอื่น นอกจากนี้ราชครูชุยฉาน จอมยุทธ์สวี่รั่วก็ล้วนอยู่บนประกาศที่มีรางวัลนำจับก้อนใหญ่เช่นกัน เพียงแต่ว่าเซียนกระบี่สวี่รั่วถูกสตรีลุ่มหลงในรักคนหนึ่งเปลี่ยนจากรักมาเป็นแค้น ส่วนชุยฉานนั้น เหตุผลก็เพราะชื่อเสียงเน่าเฟะเกินไป

หลังจากเฉินผิงอันบอกเล่าคำเล่าลือเกี่ยวกับนักพรตเรือนซือเตาไปรอบหนึ่ง

ในที่สุดสือโหรวก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

จูเหลี่ยนเห็นว่าเฉินผิงอันมองมาทางตนด้วยรอยยิ้มก็รีบสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ “นายน้อยวางใจได้! ต่อให้บ่าวเฒ่าจะบ้าคลั่งวรยุทธ์ หรือไม่รู้จักหนักเบาแค่ไหน ก็ไม่มีทางไปท้าทายนักพรตหญิงของทวีปอื่นที่อาจจะมาจากเรือนซือเตาแน่นอน อีกอย่างหากนางเป็นสาวงามน่าหลงใหล จูเหลี่ยนหรือจะใจร้ายบดขยี้บุปผางามได้ลงคอ มีแต่จะวิ่งไปเด็ดดอกไม้หักกิ่งหลิ่วในสวนสิงโตมามอบให้นางยังแทบไม่ทัน เฮ้อ พูดแบบนี้บ่าวเฒ่าก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้จริงๆ แล้ว ไม่รู้ว่ารูปโฉมของนักพรตหญิงจะเป็นเช่นไร แม้ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่แม่นางสือโหรวต้องเป็นสาวงามแห่งยุคแน่นอน ทว่าต้องเห็นเนื้อหนังมังสาของตาเฒ่าตู้เม่าทุกวันเช่นนี้ ต่อให้บ่าวเฒ่าไม่มองคนที่หน้าตาก็ยังอดรู้สึก…เอียนไม่ได้จริงๆ”

จูเหลี่ยนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ดูท่ายังเป็นเพราะขอบเขตของบ่าวเฒ่าไม่มากพอ ถึงได้มองไม่ทะลุภาพลักษณ์ภายนอกของร่างนี้”

ผู้เฒ่าหลังค่อมหันหน้ากลับมาเอ่ยขออภัยสือโหรว “แม่นางสือโหรว เจ้าวางใจเถอะ ข้ายอมรับว่าไม่สมควรมีสายตาที่ต่ำต้อยเช่นนี้ ข้าจะต้องเปลี่ยนแปลง หากเจ้าไม่ถือสา คืนนี้ข้าจูเหลี่ยนก็จะพักห้องเดียวกับเจ้า ฝึกขัดเกลาจิตใจของตัวเองให้ดีขึ้น! ไม่แน่ว่าอาจบรรลุธรรมกระจ่างแจ้งภายในค่ำคืนเดียวเหมือนกับคำว่าวางดาบฆ่าคน บรรลุธรรมเป็นพุทธะของลัทธิพุทธอย่างไรเล่า นับจากนี้ไปเวลามองเจ้าก็จะเห็นแต่ความงดงามน่าหลงใหล เห็นแต่ความเพริศพริ้งอยู่ทุกเวลา…”

เฉินผิงอันกระแอมอยู่สองที ก่อนจะปลดกาเหล้าเตรียมดื่มเหล้า

สีหน้าของสือโหรวดุจน้ำค้างแข็ง หมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องหลัก ปิดประตูลงดังปัง

เฉินผิงอันจึงถามกลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าจะปล่อยนางไปได้เมื่อไหร่”

จูเหลี่ยนพูดอย่างมีเหตุผลมีผล “นายน้อยไม่รู้อะไร นี่ก็เป็นการฝึกขัดเกลาจิตใจของข้าอย่างหนึ่งเช่นกัน”

ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน เฉินผิงอันแกว่งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไปด้วย

จูเหลี่ยนเข้าใจสิ่งที่เฉินผิงอันต้องการจะสื่อได้ทันที

บนกำแพงมีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่งนั่งยองอยู่ เขาปรบมือร้องเสียงดัง “ดีๆๆ พูดได้ตรงใจข้ายิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าอย่างเจ้าจะมีปณิธานหมัดสูงส่ง แต่คนกลับยิ่งมหัศจรรย์ยิ่งกว่า!”

เฉินผิงอันเงยหน้าถาม “เทพเซียนมีความต่าง คนและปีศาจไม่ล่วงเกินกัน นกมีทางของนก หนูมีทางของหนู ต่างคนต่างเดินไม่ได้หรือ?”

เด็กหนุ่มหล่อเหลาผู้นั้นนั่งแปะลงไปบนหัวกำแพง เท้าทั้งคู่ห้อยแนบติดกับผนัง แกว่งส้นเท้ากระทบกับผนังสีขาวหิมะเบาๆ เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง เหตุผลเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่ข้ากลับจะดื่มน้ำบ่อ แล้วยังจะกวนน้ำคลองด้วย เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”

ทันใดนั้นเส้นแสงสีขาวโพลนเส้นหนึ่งก็พุ่งวาบผ่านลำคอของเด็กหนุ่มชุดดำไป

ศีรษะหล่นของเขาจากกำแพงลงมายังพื้น

เพียงแต่ไม่มีเลือดสักหยด

ร่างของเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่หัวหลุดจากบ่าหายวับไป ไม่นึกว่านั่นจะเป็นเพียงภาพมายาที่ลี้ลับอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ยังมีขนจิ้งจอกสีดำเล็กบางราวเส้นผมเส้นหนึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ

น้ำเสียงเป็นเดือดเป็นแค้นของปีศาจจิ้งจอกดังก้องอยู่ในลานบ้าน “วิชามีดของหญิงอัปลักษณ์ช่างงดงามยิ่งนัก! ฝากไว้ก่อนเถอะ คืนใดนายท่านใหญ่จะต้องใช้ผ้าปิดตา เป่าแสงตะเกียงให้ดับ ให้เจ้าได้ลิ้มรสวิชากระบี่ใต้สะโพกของนายท่านใหญ่อย่างข้าเสียบ้าง!”

บนหลังคาเรือนมีนักพรตหญิงสีหน้าไร้อารมณ์ ในมือถือมีดยาววาววับเล่มหนึ่งยืนอยู่บนปลายชายคาที่ตวัดงอนกำลังเก็บมีดเข้าฝักช้าๆ

เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนมองตากัน

เป็นนักพรตหญิงจากเรือนซือเตาคนหนึ่งจริงๆ ด้วย

นักพรตหญิงคนนี้คือผู้ฝึกตนโอสถทอง ค่อนข้างจะรับมือได้ยาก

จูเหลี่ยนไม่กล้าประมาท

เซียนดินโอสถทองทั่วไปของแจกันสมบัติทวีป ในฐานะที่จูเหลี่ยนคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกล โอกาสชนะน่าจะมีสูงมาก ต่อให้จะบอกว่ารากฐานขอบเขตร่างทองปูมาได้ไม่ดีนัก แต่นั่นก็เป็นเพราะนำมาเปรียบเทียบกับเจิ้งต้าเฟิงและขอบเขตหกก่อนหน้านี้ของตัวจูเหลี่ยนเอง

แต่หากต้องมาเจอกับนักพรตมีดอาคมที่ชื่อเสียงขจรไกลในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง จูเหลี่ยนไม่คิดว่าตัวเองจะเอาเปรียบอีกฝ่ายได้

นักพรตหญิงวัยกลางคนที่สองข้างแก้มซูบตอบ ใบหน้าแห้งเหี่ยวเก็บมีดแล้วก็พูดช้าๆ ด้วยภาษากลางของแจกันสมบัติทวีปที่ค่อนข้างฟังยากว่า “ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้คือของในกระเป๋าของข้า หากพวกเจ้ากล้าแย่งชิง ถึงเวลานั้นก็อย่ามาโทษว่ามีดข้าไร้ตา”

จูเหลี่ยนคลี่ยิ้ม

นิสัยแบบนี้ถูกใจนัก

ผู้เฒ่าหลังค่อมจึงเตรียมจะลุกขึ้นยืน ในเมื่อนิสัยถูกใจ ถ้าอย่างนั้นจูเหลี่ยนก็อดใจไม่ไหวจริงๆ

เฉินผิงอันยื่นมือมาห้ามจูเหลี่ยน จากนั้นก็ผายมือไปทางนอกกำแพงเรือน บอกเป็นนัยให้นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาจากไปได้

ร่างของนักพรตหญิงพกมีดพุ่งวูบหายไป

จูเหลี่ยนถามยิ้มๆ “หมายความว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันใคร่ครวญก่อนตอบว่า “คอยดูกันไปก่อนแล้วกัน”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท