ก่อนหน้านี้หลังจากพวกคนในยุทธภพที่เสียเปรียบด้วยน้ำมือของ ‘ผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม’ ไปเยือนถึงห้องเพื่อขอโทษแต่กลับไร้ผล พวกเขาก็รีบร้อนเผ่นลงจากเรือ ไม่กล้าอยู่ต่อให้นานกว่านั้น
แต่ละคนต่างก็มีความคิดต่างกันออกไป
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อย ส่วนใหญ่ล้วนอิจฉาเฉินผิงอันที่สามารถหล่อเลี่ยงกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ถึงสองเล่ม เพียงแต่ว่าเก็บงำความรู้สึกไว้ได้ดีมาก
ผู้ฝึกตนอิสระกลับหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด
คนมีเงินบนโลกที่หลังจากได้ยินได้ฟังมาจากคนของหลายฝ่ายที่โดยสารเรือข้ามฟากแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกว่าผู้ฝึกกระบี่กำเริบเสิบสานเหมือนอย่างที่เล่าลือกันในตำนานจริงๆ
มีเพียงทางฝั่งของเรือข้ามฟากเท่านั้นที่ช่วงที่ผ่านมานี้ค่อนข้างจะพินอบพิเทาต่อกลุ่มของเฉินผิงอัน ตั้งใจเลือกสตรีหน้าตางดงามคนหนึ่งให้คอยมาเคาะประตูห้อง นำผลไม้ตระกูลเซียนสดใหม่ถาดหนึ่งมามอบให้เป็นประจำ
บนเรือข้ามฟากยังมีหอเรือนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่งดงามสมชื่อว่า ‘เรือนไอเซียน’ ซึ่งมีไว้เพื่อให้แขกผู้มีเกียรติบางท่านที่โดยสารเรือข้ามฟากชิงอีทิ้งผลงานเอาไว้
เฉินผิงอันปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม เพียงแค่บอกให้จูเหลี่ยนไปเขียนกลอนสักบทให้จบๆ เรื่องกันไป
เรือเล็กล่องลมที่ใต้ท้องเรือสลักอักขระยันต์มีประกายแสงสีทองไหลเวียนวนลอยมาหยุดอยู่ตรงตีนเขาของขุนเขากลางแห่งนั้น
ผู้มีจิตศรัทธาจริงๆ ที่มาเยือนมีไม่มาก แต่กลับมีลูกหลานชนชั้นสูงแคว้นเฉิงเทียนและเหล่าผู้กล้าในยุทธภพที่มาเยือนเพราะหวังจะเดิมพันหินค่อนข้างมาก
เพียงแต่ว่าบุคคลที่อยู่ในราชวงศ์โลกมนุษย์ซึ่งเคยชินที่จะเชิดหน้ามองฟ้าเหล่านี้ เวลาเจอกับผู้โดยสารที่เดินลงมาจากเรือเล็กแต่ละลำ เวลาเดินและพูดคุยกลับเบาเสียงลงกว่าปกติเยอะมาก
บนเรือข้ามฟากก็มีคนส่งธูปสามคนที่มาจากศาลเจ้าสามแห่งที่แตกต่างกันของภูเขากลางมารออยู่ก่อนแล้ว เพื่อแย่งชิงตัวลูกค้า อีกนิดเดียวก็เกือบจะต่อยตีกันแล้ว พ่อค้าควันธูปของศาลเทพขุนเขากลางนิสัยฉุนเฉียวมากที่สุด ส่วนพ่อค้าควันธูปของอารามเต๋ากึ่งกลางภูเขาและวัดตรงตีนเขา แม้มองดูเหมือนว่าจะยอมอ่อนข้อให้ แต่คำพูดคำจากลับเหมือนมีดอ่อนที่บินว่อนไปทั่ว สรุปก็คือคนทั้งสามต่างก็มีความถนัดในแบบของใครของมัน ทุกคนต่างก็ได้รับผลเก็บเกี่ยว ครั้งนี้พวกเขาโดยสารเรือลำเล็กมาก็เพื่อจะพาผู้โดยสารที่เต็มใจจะไปจุดธูปไหว้พระลงจากเรือไปด้วยกัน
ผู้ดูแลเรือข้ามฟากตั้งใจพาคนส่งธูปของศาลเทพภูเขาขุนเขากลางเดินมาหาพวกเฉินผิงอันแล้วเอ่ยแนะนำให้รู้จักกัน
พอชายฉกรรจ์ผู้นั้นได้ยินว่าเฉินผิงอันยังไม่มีความคิดจะเชิญธูปก็ยังมีสีหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจประมาณว่าคุณชายเฉินเดินทางมาเยือนก็ถือว่าเป็นเกียรติของที่แห่งนี้แล้ว
รอจนสองขาของเฉินผิงอันสัมผัสพื้น พ่อค้าควันธูปที่ยังยืนอยู่ตรงราวรั้วของเรือข้ามฟากก็ถ่มน้ำลายทิ้งมาด้านนอกแรงๆ
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “นายน้อยเอาอย่างไรดี? ไม่สู้ให้บ่าวเฒ่าทะยานลมกลับไปมอบฝ่ามือเป็นรางวัลให้ชายฉกรรจ์ผู้นี้หน่อยไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่แน่ว่าชั่วชีวิตนี้อาจได้เจอกันแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ไร้บุญคุณไร้ความแค้น จะถือสาเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไปไย”
เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “มีอะไรหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มถาม “มีคนมาขี้อยู่บนหัวเจ้า รีบเงยหน้าขึ้นเร็วเข้า”
เผยเฉียนกลอกตามองบน
ตีนเขามีถนนสายยาวที่สร้างขึ้นไว้เพื่อการเดิมพันหินโดยเฉพาะ ร้านรวงน้อยใหญ่ตั้งเรียงรายอยู่หลายสิบร้าน
ด้านในและนอกร้านล้วนกองเต็มไปด้วยหินติดไฟสีเทา ขนาดเล็กสุดใหญ่แค่ฝ่ามือ ใหญ่สุดสูงเท่าตัวคน หนักถึงหมื่นกว่าจั้ง หินยักษ์เช่นนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมบัติพิทักษ์ร้านของร้านแต่ละแห่ง การที่หินซึ่งผลิตขึ้นในขุนเขากลางของแคว้นเฉิงเทียนประเภทนี้ถูกตั้งชื่อให้ว่าหินติดไฟนั้น เป็นเพราะไขของหินติดไฟที่ระดับขั้นสูงที่สุดในตำนานมีสีแดงสดดุจเลือด เข้มข้นอย่างถึงที่สุด ไม่มีสิ่งเจือปนเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเหมือนเปลวไฟที่ส่ายไหว แค่ถือไว้ในมือหนึ่งก้อนก็สามารถสยบพวกภูตผีเสนียดจัญไรได้ตามธรรมชาติ
และส่วนที่พิเศษของมันก็คือก่อนที่จะเปิดหินออก แม้แต่ผู้ฝึกตนเซียนดินก็ยังไม่อาจมองทะลุไปเห็นสีสันที่อยู่ภายในได้
เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขามอบเงินให้เผยเฉียนสามคนคนละสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ บอกให้พวกเขาไปเลือกหินและเปิดหินกันเอาเอง
ส่วนเขาเดินขึ้นเขาไปเพียงลำพัง คิดอยากจะไปเยือนศาลขุนเขากลางบนยอดเขาดูสักหน่อย จึงนัดหมายกับคนทั้งสามว่าจะมาพบกันในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งตรงตีนเขายามสนธยา
เผยเฉียนอึกอักอยู่เล็กน้อย ถามว่าไม่ซื้อหินได้หรือไม่
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม บีบแก้มดำเกรียมของนาง “ถึงอย่างไรเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญนั่นก็เป็นของเจ้าแล้ว อยากเอาไปซื้ออะไรก็ตามใจเจ้า”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที
รอจนเฉินผิงอันเดินไปไกล เริ่มเดินขึ้นเขาไปแล้ว
เผยเฉียนก็กระโดดเหยงด้วยความลิงโลด แสยะปากกางกรงเล็บร่ายกระบวนท่าเวทกระบี่มารคลั่งไปหนึ่งคำรบ
จูเหลี่ยนยังเดินเข้าร้านได้ไม่ถึงสองร้านก็ซื้อหินติดไฟที่ต้องชะตามาก้อนหนึ่ง พอเปิดออกดูก็ต้องขาดทุนยับเยิน
ทำเอาเผยเฉียนโมโหจนเกือบจะสู้ตายกับเขา
จูเหลี่ยนเอามือกดหัวเผยเฉียนไว้ ปล่อยให้นางแกว่งเท้าแกว่งมืออุตลุด
สือโหรวถือเงินเกล็ดหิมะสิบเหรียญไว้ในมือ นางมองอย่างละเอียด ฟังอย่างตั้งใจ เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ มักจะหยิบหินติดไฟก้อนหนึ่งขึ้นมาพิจารณาอยู่นานแล้วก็วางลง ไม่ยอมจ่ายเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกไปเสียที
จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “เข้าใจใช้ชีวิตจริงๆ”
เผยเฉียนติดตามอยู่ข้างกายสือโหรว ทุกครั้งที่มองหินติดไฟขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน นางก็นึกอยากจะเอาลูกตาไปแนบติดก้อนหินเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ก้นถูกจูเหลี่ยนถีบอยู่หลายที แถมยังถูกจูเหลี่ยนเอ่ยเยาะเย้ยว่าในตามีแต่เงินก็แล้วไปเถิด แต่ในตามีแต่หินนี่มันจะเป็นยังไง
แต่ไม่นานจูเหลี่ยนก็รู้สึกเสียใจภายหลังที่ไม่ได้ตามเฉินผิงอันขึ้นเขาไปด้วยกัน
สตรีใหญ่สตรีน้อยอย่างสือโหรวและเผยเฉียนสองคนนี้ เวลาเดินซื้อของขึ้นมาก็ช่างมีเรี่ยวแรงและความเด็ดเดี่ยวล้นเหลือ ไม่เพียงแต่จะต้องเดินเข้าทุกร้าน ยังไล่มองหินติดไฟไปทีละก้อนๆ บวกกับที่ขอแค่มีลูกค้าซื้อหินติดไฟแล้วบอกให้ทางร้านช่วยเปิดหินให้ ขาของคนทั้งสองก็จะปักตรึงอยู่กับที่ไม่ขยับเดินหน้า ตั้งแต่ต้นจนจบมีสีหน้าเคร่งเครียดเอาจริงเอาจัง ราวกับว่าให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ยิ่งกว่าพวกลูกค้าที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อหินติดไฟเสียอีก
จูเหลี่ยนเดินไม่เหนื่อย แต่เหนื่อยใจนัก
ผลคือรอจนจูเหลี่ยนเงยหน้ามองสีท้องฟ้า ก็ประมาณการณ์เอาว่าแม้แต่คุณชายเฉินก็คงลงเขามาจนใกล้จะถึงตีนเขาแล้วกระมัง
ในที่สุดสือโหรวก็ยอมซื้อหินติดไฟขนาดเท่าฝ่ามือมาก้อนหนึ่ง ตามราคาที่ทางร้านกำหนดไว้ต้องจ่ายเป็นเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญ
ก้อนหินที่เปิดออกมากลับเป็นไขหินติดไฟสีแดงเพลิงขนาดเท่าหัวแม่มือ แม้แต่เถ้าแก่ร้านก็ยังตื่นตะลึงอย่างยิ่ง
ไม่ใช่ว่าไขหินติดไฟก้อนเล็กแค่นี้มีมูลค่าควรเมืองมากแค่ไหน แต่เป็นเพราะหินติดไฟใหญ่แค่นี้ ทว่ากลับเปิดมาเจอไขหินมากมายขนาดนี้ เป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ
สือโหรวยิ้มบางๆ ไม่คิดจะขายไขหินติดไฟสีแดงเข้มข้นก้อนนั้นต่อ
พอเดินออกมานอกร้าน เผยเฉียนก็พลันกระตุกชายแขนเสื้อสือโหรว พูดเบาๆ “พี่หญิงสือโหรว เจ้าให้ข้ายืมเงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญได้ไหม?”
สือโหรวถามอย่างสงสัย “เจ้าไม่ได้จะซื้อก้อนหินสักหน่อย จะยืมเงินไปทำไม?”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะซื้อก้อนหินน่ะสิ!”
สือโหรวยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ “เดินจนครบทุกร้านแล้ว ร้านมีมากมายขนาดนี้ เจ้าจำได้หรือว่าก้อนไหน?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง
สือโหรวจึงยิ้มแล้วมอบเงินเกล็ดหิมะแปดเหรียญที่เหลือให้เผยเฉียน
เผยเฉียนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วสาวเท้าวิ่งห้อออกไป
สือโหรวกับจูเหลี่ยนมองหน้ากัน รีบก้าวเร็วๆ ตามไป
ไม่รู้ว่าเผยเฉียนคิดจะทำอะไรกันแน่
สุดท้ายคนทั้งสองพบว่าเผยเฉียนอยู่ในร้านขนาดใหญ่ที่มีหินติดไฟหลากหลายสีสันกองทับถมกันเป็นภูเขา นางยืนอยู่ในมุมหนึ่ง กำลัง ‘ดึง’ หินติดไฟก้อนหนึ่งออกมาอย่างเปลืองแรง หินติดไฟก้อนนี้ค่อนข้างใหญ่ สองมือของนางไม่แน่เสมอไปว่าจะโอบอุ้มมันได้ไหว
แม้ว่าคนจะมองสภาพภายในของหินติดไฟไม่ออก แต่ด้วยประวัติศาสตร์การขุดค้นที่มีมานานหลายร้อยปี สายหินหลายสายที่อยู่ในรากภูเขากลางก็มีส่วนที่ต้องพิถีพิถันเช่นกัน บวกกับที่สั่งสมประสบการณ์ในการเปิดหาไขหินมาอย่างต่อเนื่อง คนดูหินที่สายตาดีช่างสังเกตของแต่ละร้านจะมีการประมาณการณ์ไว้คร่าวๆ อาจผิดพลาดไปบ้างก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีไม่มาก พลาดไปเล็กๆ น้อยๆ นั้นมี แต่กลับแทบไม่เคยเปิดโอกาสให้คนซื้อได้เปรียบครั้งใหญ่
ดังนั้นจึงมีหินติดไฟไม่น้อยที่แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่ราคากลับต่ำมาก หินบางส่วนมีขนาดไม่ใหญ่ แต่กลับกลายเป็นว่ามีราคาสูง
หินติดไฟข้างเท้าของเผยเฉียนที่นั่งยองอยู่ก้อนนี้ขนาดใหญ่มาก ทว่ากลับมีราคาแค่เงินเกล็ดหิมะยี่สิบเหรียญเท่านั้น
มันวางอยู่ในร้านแห่งนี้มาหนึ่งร้อยกว่าปีแล้วโดยที่ไม่มีใครถามถึงสักคำ
เผยเฉียนเริ่มหั่นราคาต่อรองกับเถ้าแก่อย่างจริงจัง นางบอกว่านางมีแค่สิบห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เป็นเงินทั้งหมดที่นางเก็บสะสมอย่างยากลำบากมานานหลายปีแล้ว
เถ้าแก่วัยชรารู้สึกว่าแม่หนูคนนี้น่าสนใจไม่น้อย มองดูแล้วไม่เหมือนเด็กจากครอบครัวชนชั้นสูงที่มีฐานะ ตัวก็ดำเมี่ยม แต่กลับมีเงินเกล็ดหิมะถึงสิบห้าเหรียญ หากหักเป็นเงินขาวก็เท่ากับหนึ่งหมื่นห้าพันตำลึงเลยทีเดียว หากอยู่ในอำเภอหรือเขตการปกครองของแคว้นเฉิงเทียนก็ถือว่าเป็นเศรษฐีได้แล้ว
อันที่จริงเถ้าแก่วัยชราคิดว่าต่อให้อีกฝ่ายหั่นราคาเหลือแค่ห้าเหรียญหรือสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ราคานี้เขาก็ไม่ขาดทุนแล้ว ไม่อย่างนั้นหินติดไฟขนาดใหญ่ที่คนดูหินประเมินราคาให้เขาฟังเป็นการส่วนตัวว่ามีค่าแค่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะก้อนนี้ก็อาจต้องวางไปอีกหนึ่งร้อยปี ร้านตกทอดไปถึงมือของหลานเขาแล้วก็ยังขายไม่ออก
แต่ผู้เฒ่าก็ยังตั้งราคาสูงเทียมฟ้ากับเผยเฉียน ส่วนเผยเฉียนก็มุ่งมั่นจะต่อราคา ต่างคนต่างวางอุบายกันประมาณครึ่งก้านธูป เถ้าแก่วัยชราอยากจะลองดูว่าเพื่อประหยัดเงินเกล็ดหิมะห้าเหรียญนั่น นังหนูผู้นี้จะคิดข้ออ้างและเหตุผลอะไรออกมาได้
สุดท้ายเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ยอมตกปากรับคำอีกฝ่าย ผลกลับเห็นว่าหลังจากแม่หนูตัวดำควักเอาเงินเกล็ดหิมะกองใหญ่ออกมาก็หยิบกลับไปเก็บใส่ชายแขนเสื้อตัวเองสามเหรียญ เหลือสิบห้าเหรียญมอบให้เขา
ผู้เฒ่ามุมปากกระตุก
แม่นางน้อยเจ้าไม่มีคุณธรรมสักเท่าไหร่เลยนะ
เผยเฉียนยิ้มกว้างแกล้งโง่
สือโหรวแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเผยเฉียน
ส่วนจูเหลี่ยนยกนิ้วโป้งให้นาง “ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา”
เถ้าแก่วัยชราไม่โกรธเคือง กลับกันยังรู้สึกว่าแม่นางน้อยที่เฉลียวฉลาดคือตัวอ่อนที่ดีของคนทำธุรกิจ จึงยิ้มถามว่า “ต้องการให้ร้านของพวกเราช่วยเปิดหินของเจ้าหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เปิดสิ ไม่อย่างนั้นหินหนักขนาดนี้ข้ายกไม่ไหวแน่ ตามกฎของร้านพวกเจ้า หินติดไฟที่ราคาต่ำกว่ายี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะไม่มีค่าเปิดหิน อีกอย่างหากเปิดมาเจอหินดี จะตกรางวัลให้ทางร้านหรือไม่ก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของคนซื้อ ถึงเวลานั้นหากข้าไม่ตกรางวัลให้ท่านผู้เฒ่า ท่านก็ห้ามโกรธนะ”
เถ้าแก่วัยชราหัวเราะชอบใจ พยักหน้าตอบตกลง
เผยเฉียนพลันบอกให้เถ้าแก่เฒ่ารอสักครู่ แล้วนางก็หันไปมองจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนเข้าใจความต้องการของนางได้ทันที เขาผงกศีรษะรับ “เปิดเถอะ นายน้อยไม่อยู่ มีข้าอยู่”
เผยเฉียนเอียงศีรษะ ยิ้มกว้าง หันขวับกลับมาโบกมือเป็นวงกว้างให้เถ้าแก่ผู้เฒ่า “เปิดหิน!”
จากนั้นนางก็คืนเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญที่เหลือให้กับสือโหรว พูดเบาๆ ว่า “ยังติดเจ้าอยู่ห้าเหรียญ วันหน้าจะคืนให้เจ้านะ”
หนึ่งก้านธูปต่อมา
ถนนยาวทั้งสายที่ตั้งอยู่ตรงตีนเขาก็สั่นสะเทือนไม่หยุด
เผยเฉียนที่เดิมทีสะพายห่อสัมภาระพาดเอียงไว้บนบ่า ตอนนี้กลับมีสัมภาระหนักอึ้งเพิ่มขึ้นมาอีกใบ
เถ้าแก่วัยชราของร้านที่ยืนอยู่ด้านหลังตีอกชกตัวด้วยความเสียดายอย่างถึงที่สุด
ไขหินติดไฟที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง!
มูลค่าสามเหรียญเงินฝนธัญพืช!
จูเหลี่ยนประสานมือสองข้างสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเดินอาดๆ ตามไปด้านหลังเผยเฉียนอย่างเนิบช้า
สือโหรวรู้สึกเพียงว่าน่าเหลือเชื่อ
เฉินผิงอันเพิ่งลงจากภูเขามาถึงสุดปลายทางของถนนพอดี
เห็นเผยเฉียนที่เป็นจุดรวมสายตาของทุกคน เฉินผิงอันก็ใจสั่นสะท้าน
พอเผยเฉียนเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยก็วิ่งตะบึงเข้าไปหาทันที วิ่งจนหอบหายใจดังฮักๆ
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เกิดอะไรขึ้น เป็นจูเหลี่ยนหรือสือโหรวที่เก็บของดีได้?”
เผยเฉียนเอาแต่ยิ้ม
จูเหลี่ยนกับสือโหรวเดินมาหยุดอยู่ข้างกายสองอาจารย์และศิษย์ จูเหลี่ยนพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “นายน้อย เจ้าตัวขาดทุนผู้นี้ใช้เงินเกล็ดหิมะสิบห้าเหรียญเปิดเจอไขหินติดไฟก้อนหนึ่งที่มีมูลค่าอย่างน้อยก็สามเหรียญเงินฝนธัญพืช”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ลูบหัวเผยเฉียน “เก่งขนาดนี้เชียว”
ดีใจก็ส่วนดีใจ แต่ไม่ถึงขั้นตกตะลึงหรือปิติยินดีอย่างยิ่งยวดอะไร
ดวงตาทั้งคู่ของเผยเฉียนหรี่ลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว เอียงศีรษะ ปลดสัมภาระห่อนั้นลงมาอย่างกินแรง ยื่นมันส่งให้กับเฉินผิงอัน “อาจารย์ มอบให้ท่าน”
เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือ “เจ้าเก็บไว้เองเถอะ วันหน้ารอให้เจ้าเก็บเงินซื้อชั้นวางสมบัติได้แล้ว วางไว้ในตำแหน่งที่สะดุดตาที่สุดก็ดีมากไม่ใช่หรือ ใครเห็นก็ล้วนอิจฉา แล้วก็รู้ด้วยว่าเจ้าเป็นเศรษฐีตัวน้อย”
เผยเฉียนส่ายหน้าอย่างแรง อธิบายว่า “ข้านึกออกแล้ว วันที่ข้าจับภูเขากระโดดแล้วปล่อยมันไป เดิมทีเป็นวันเกิดของอาจารย์พอดี และนี่ก็ถือเป็นของขวัญวันเกิดที่ข้ามอบให้อาจารย์”
เฉินผิงอันตกตะลึง เงียบงันไปนาน ก่อนจะวางฝ่ามือไว้บนศีรษะเล็กๆ ของเผยเฉียน ถึงขั้นยิ้มจนตาหยีอย่างที่หาได้ยาก “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็รับไว้แล้วนะ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่จูเหลี่ยนเห็นเฉินผิงอันดีใจขนาดนี้
เผยเฉียนพยักหน้า เอ่ยขออภัย “แต่อาจารย์ วันที่ห้าเดือนห้าของปีหน้า ข้าคงไม่สามารถมอบของขวัญที่ดีขนาดนี้ให้ท่านได้เสมอไปนะ?”
เฉินผิงอันรับห่อสัมภาระใบนั้นมา วางใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ จากนั้นก็จูงมือเผยเฉียนเดินไปบนถนนด้วยกัน
เผยเฉียนเล่าภาพเหตุการณ์ที่ทุกคนเบิกตากว้างมองหินที่เปิดออกของนางให้เขาฟังอย่างอารมณ์ดี
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ รับฟังคำพูดเจื้อยแจ้วของเผยเฉียน
ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องมาจากทางทิศตะวันตก
แสงสว่างเสี้ยวสุดท้ายที่เหลืออยู่ของวันส่องให้เงาร่างหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยืดยาวออกไป
จูเหลี่ยนยังคงสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ สือโหรวมีสีหน้าอ่อนโยน
—–