เฉินผิงอันมองดูหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กตีกัน แล้วเอ่ยเตือนว่า “พวกเราซื้อของที่สนใจในเมืองหลวงเสร็จแล้วค่อยไปเที่ยวตามสถานที่ที่มีชื่อเสียงกัน อย่างมากสุดก็อยู่อีกสองวันแล้วค่อยไปที่ท่าเรือตระกูลเซียนทางทิศตะวันออกของแคว้นชิงหลวน เพื่อตรงไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย”
จูเหลี่ยนหลบเลี่ยงเผยเฉียนพลางพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “นายน้อยไม่จำเป็นต้องห่วงบ่าวเฒ่า กลัวก็แต่ว่านังหนูนี่จะไร้ขื่อไร้แป ประหนึ่งม้าป่าที่หลุดออกจากบังเหียน ถึงเวลานั้นก็จะเหมือนรถเทียมวัวคันนั้นที่พุ่งพรวดเข้ารกเข้าพง…”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “จูเหลี่ยน ทำไมเจ้าชอบปากอีกาแบบนี้เสมอ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วจริงๆ นะ!”
จูเหลี่ยนกำลังจะพูดหยอกเด็กหญิงที่ผิวดำเป็นถ่านสักสองสามคำ นึกไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะเอ่ยว่า “ใช่ ไม่ควรปากอีกา”
จูเหลี่ยนรีบพยักหน้าตอบรับทันที “นายน้อยสั่งสอนได้ถูกต้อง”
เผยเฉียนนั่งลง เอามือหนึ่งกุมท้อง อีกมือหนึ่งชี้หน้าจูเหลี่ยน ในที่สุดก็คว้าโอกาสแก้แค้นได้ จึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ยังมีหน้ามาพูดว่าข้าขับเรือตามกระแสลม พ่อครัวเฒ่า เจ้ามั่วแล้วกระมัง”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่างเจ้านั้นเรียกว่าหญ้าบนยอดกำแพง อย่างข้านี่เรียกว่าผู้รู้สถานการณ์คือผู้สง่างามและมีปัญญาเป็นเลิศ สง่างามมาจากคำว่าหล่อเหลาสง่างาม ปัญญามาจากคำว่าสติปัญญา”
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ พูดด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ “อาจารย์บอกว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเรา เจ้าเคยเป็นคุณชายที่หล่อเหลาหาผู้ใดมาเปรียบมิได้?”
ไม่รอให้จูเหลี่ยนพูดจ้อถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ในอดีต เผยเฉียนก็เอาสองมือกุมท้องหัวร่องอหงายจนหัวกระแทกกับโต๊ะ “เจ้าโม้เสียมากกว่ากระมัง ขำจะตายอยู่แล้ว โอ้ย ปวดท้อง…”
จูเหลี่ยนเห็นว่าเฉินผิงอันเองก็กลั้นยิ้มเหมือนกันก็ให้รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
……
ขณะที่งานโต้วาทีพุทธเต๋ากำลังจะปิดฉากลง ในคฤหาสน์หลบร้อนแห่งหนึ่งนอกชานเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ฮ่องเต้สกุลถังแอบเสด็จมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อมีแขกผู้สูงศักดิ์มาเยือน แม้ว่าถังหลีจะเป็นกษัตริย์ในโลกมนุษย์ แต่ก็ยังไม่กล้าละเลยคนผู้นี้อยู่ดี
เพราะผู้ที่มาเยือนคือผู้เฒ่าที่มีชื่อเสียงและคุณธรรมสูงส่งคนหนึ่งของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เขาเป็นทั้งเทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนที่ปานประหนึ่งเสาค้ำยันมหาสมุทร อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ใหญ่ที่รับผิดชอบถ่ายทอดความรู้ให้กับลูกหลานสกุลเจียงอวิ๋นหลินทุกคนอีกด้วย เขามีนามว่าเจียงเม่า
นอกจากนี้ยังมีบุตรสาวสกุลเจียงสายตรงที่หลังจากแต่งงานไปอยู่ที่ตระกูลฝูนครมังกรเฒ่าก็ได้หวนกลับคืนมาเยี่ยมบ้านเดิม รวมไปถึงหมัวมัวผู้อบรมมารยาทคนหนึ่งที่ติดตามนางไปจากสกุลเจียงด้วย เล่าลือกันว่านางคือผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่มีพลังสังหารน่ากลัวท่านหนึ่ง
ส่วนข้างกายถังหลีก็มีผู้ติดตามสองคน คนหนึ่งคือผู้เฒ่าเชื้อพระวงศ์ที่สามารถทำให้เขาวางใจที่จะปล่อยอำนาจให้ได้ นามว่าถังจ้ง หากนับกันตามลำดับศักดิ์แล้ว อันที่จริงก็ถือว่าเป็นอาของฮ่องเต้ถังหลี เคยมีการเขียนจดหมายไปมาหาสู่กับหลิ่วจิ้งถิงรองเจ้ากรมผู้เฒ่าหลิ่วเป็นการส่วนตัวอยู่บ่อยครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นจดหมายทะเลาะกันซะมากกว่า และอันที่จริงแล้วถังหลีก็เคยอ่านจดหมายเหล่านั้น
อีกคนหนึ่งก็คือผู้เฒ่าจมูกเหยี่ยว คืออันดับหนึ่งในบรรดาเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทุกคนของแคว้นชิงหลวน นามว่าโจวหลิงจือ หลายคนล้วนลืมไปแล้วว่าเซียนซือผู้เฒ่าคนนี้มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ แต่การที่เขาช่วยประคับประคองสนับสนุนฮ่องเต้สกุลถังมานานถึงสามรุ่น แม้ชื่อเสียงจะไม่ค่อยดี เพียงแต่ว่าถังหลีเติบโตขึ้นมาในครอบครัวเชื้อพระวงศ์ สายตาของเขามองเห็นเพียงการรวมบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่น เห็นเพียงโชคชะตาหมื่นปีของแคว้น ไหนเลยจะถือสาคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่เจ็บไม่คันพวกนี้
มาพบเทพเซียนผู้เฒ่าจากสกุลเจียงอวิ๋นหลินผู้นั้น ต่อให้กษัตริย์แห่งแคว้นชิงหลวนอย่างถังหลีจะไม่มีสีหน้าดีๆ ให้กับเซียนซือบนภูเขาในถิ่นของตัวเองมากแค่ไหน แต่ก็ยังคงรักษามารยาทที่ผู้น้อยพึงมีเอาไว้
ทั้งสองฝ่ายนั่งลงตรงข้ามกัน
ราวกับจงใจไม่แบ่งแยกเจ้าบ้านและแขก ยิ่งไม่มีการแบ่งแยกกษัตริย์กับขุนนางอะไร
ผู้เฒ่าไม่ได้วางท่าอย่างที่คิดเอาไว้ คำพูดคำจาก็สุภาพนุ่มนวล
ถังหลีบอกให้ขุนนางกรมพิธีการมอบเอกสารคดีปึกใหญ่และภาพวาดที่บันทึกวิธีคัดลอกลายของตระกูลเซียนจำนวนหนึ่งให้แก่เจียงเม่า ขุนนางผู้นี้คือขุนนางหนุ่มจากกรมพิธีการที่หน้าตาได้สัดส่วนงดงามและมีฝีปากคมกริบ ขณะที่เจียงเม่าพลิกเปิดเอกสารคดีและมองภาพวาด เลขาธิการของกรมพิธีการท่านนี้ก็รายงานเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เกิดขึ้นในงานโต้วาทีพุทธเต๋าให้เทพเซียนผู้เฒ่าสกุลเจียงฟัง เพียงแต่ว่าเมื่อถึงจุดที่น่าตื่นตาตื่นใจ น่าตะลึงพรึงเพริด เขากลับเล่าอย่างละเอียด อีกทั้งยังพูดอย่างคล่องแคล่วว่องไว เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนในตำนาน เขากลับไม่วางตัวต่ำต้อยและไม่เย่อหยิ่ง บางครั้งก็ตอบคำถามได้อย่างเหมาะสม เป็นหน้าเป็นตาให้กับฮ่องเต้อย่างยิ่ง
ดังนั้นถังหลีจึงถูกใจมาก เขาเบี่ยงตัวหันไปมองทางถังจ้งผู้เป็นอา
ฝ่ายหลังอธิบายเบาๆ ว่า “ซ่งซานซีแห่งกองงานระเบียบพิธีสังกัดกรมพิธีการ ลูกหลานสกุลซ่งเขตการปกครองชิงซง คือปั้งเหยี่ยน (คือบัณฑิตจิ้นชื่อที่สอบได้อันดับที่สอง หรือเป็นรองแค่บัณฑิตจอหงวนเท่านั้น) ปีที่สองของชิวขุย”
ถังหลีกล่าว “คราวหน้ามาสอบที่เมืองหลวง สามารถเลื่อนระดับได้”
ถังจ้งยิ้มพลางพยักหน้ารับ
ถังหลีพลันถามขึ้นว่า “เหตุใดวันนี้ผู้บัญชาการณ์เหวยถึงไม่อยู่ด้วย?”
ถังจ้งอธิบาย “ผู้บัญชาการณ์เหวยสนิทกับลูกหลานสกุลเจียงผู้หนึ่งที่ชื่อว่าเจียงอวิ้น เจียงอวิ้นมาพบกับพี่สาวของเขาที่นี่ จึงพาผู้บัญชาการณ์เหวยไปด้วย”
ผู้เฒ่าโจวหลิงจือเซียนซืออันดับหนึ่งในนามของแคว้นชิงหลวนนั่งฟังอยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินฮ่องเต้เอ่ยเรียกเหวยเลี่ยงว่า ‘ผู้บัญชาการณ์เหวย’ หนังตาก็สั่นกระตุกเบาๆ
อาณาบริเวณแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป คนบนโลกรู้แค่ว่าภาคกลางของแคว้นชิงหลวนมีผู้บัญชาการณ์ใหญ่ตระกูลเหวยที่ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์ต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งทุกรุ่นยังมีผู้สืบทอดเพียงคนเดียว ทว่าการสืบทอดควันธูปของพวกเขาแม้จะน่าหวาดหวั่นแต่ไร้อันตราย ทุกรุ่นมีแต่ความราบรื่นไร้อุปสรรค
นับตั้งแต่ที่ไท่จู่ (คำเรียกปฐมกษัตริย์) สกุลถังแคว้นชิงหลวนก่อตั้งประเทศ ฮ่องเต้ถูกผลัดเปลี่ยนไปตั้งมากมาย ทว่าแท้จริงแล้วผู้บัญชาการณ์เหวยกลับมีเพียงคนเดียวมาโดยตลอด
เหวยเลี่ยงที่เก็บงำตัวตนอย่างลึกล้ำ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับสกุลถังผู้นี้ก็คือคนที่โจวหลิงจือกริ่งเกรงที่สุดในแคว้นชิงหลวน เพียงหนึ่งเดียวไม่มีหนึ่งใน
หลังจากอ่านและฟังจบ เจียงเม่าผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าหลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตที่หลังจากถูกดึงเข้าไปในการทดสอบก็ได้แสดงออกอย่างโดดเด่น นอกจากบันทึกที่เป็นตัวอักษรแล้ว ยังมีภาพวาดให้ดูหรือไม่?”
ถังจ้งส่ายหน้า “เรียนท่านผู้อาวุโสเจียง มีคนเตือนพวกเราว่าทางที่ดีที่สุดอย่าบุกเข้าไปในสวนสิงโตโดยพลการ ต่อให้เป็นผู้ถวายงานโจวของพวกเราก็ได้แต่ยืนมองอยู่บนยอดเขาที่ห่างจากสวนสิงโตมาไกล แต่ฟังจากคำบอกเล่าของสายลับที่อยู่ด้านใน บวกกับการมองเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือที่หยุดลงเมื่อถึงเวลาสมควรของผู้ถวายงานโจว หลิ่วชิงซานบุตรชายคนรองของหลิ่วจิ้งถิงก็ผ่านด่านได้ด้วยตัวเองจริงๆ หาได้อาศัยการช่วยเหลือจากภายนอกใดๆ ไม่”
เจียงเม่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก็แค่ชุยฉานราชครูต้าหลีไม่ใช่หรือ มีอะไรให้พวกเจ้าต้องหลบเลี่ยงกัน”
ถังจ้งยิ้มกล่าว “ก็คือราชครูชุยนั่นแหละ”
ในใจของฮ่องเต้ถังหลีกลับรู้สึกไม่ใคร่จะสบายใจนัก
เพื่อสถานการณ์ใหญ่ในทวีป แคว้นชิงหลวนถูกบีบให้จำต้องร่วมมือทำสิ่งเหล่านี้กับชุยฉานและต้าหลี เขาที่เป็นฮ่องเต้รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเมื่อเผชิญหน้ากับซิ่วหู่ผู้นั้น ตนต้องตกเป็นรองมากมาย ตอนนี้เจียงเม่าเรียกชื่อของชุยฉานออกมาตรงๆ อย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์เช่นนี้ไม่เท่ากับแสดงให้รู้ว่าเขาเจียงเม่าและสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่อยู่เบื้องหลังไม่เห็นต้าหลีและชุยฉานอยู่ในสายตาหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นแม้ภายนอกจะแสดงว่าเกรงอกเกรงใจแคว้นชิงหลวนถึงเพียงนี้ แต่ลึกๆ ภายในกระดูกแล้ว สกุลเจียงจะดูแคลนสกุลถังของพวกเขาถึงระดับไหนกันแน่?
แม้ในใจถังหลีจะไม่สบอารมณ์ แต่กลับไม่แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ต่อให้เจียงเม่าขากเสลดเขียวข้นใส่หน้าเขา เขาที่เป็นฮ่องเต้แคว้นชิงหลวนก็ยังทำได้แค่ยิ้มรับ ไม่แน่ว่ายังต้องเอ่ยประโยคว่าท่านเทพเซียนผู้เฒ่ากระหายน้ำหรือไม่อีกด้วย
เจียงเม่าไม่ได้ทำให้ถังหลีลำบากใจอีก เขาชักดึงม้วนภาพวาดออกมาสองสามม้วน บนม้วนภาพก็คือคนสองคนที่อยู่ในสองสถานที่ นั่นคือวัดป๋ายสุ่ยที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงซึ่งมีชื่อเสียงด้านน้ำพุใสกระจ่าง อีกสถานที่หนึ่งคืออารามป๋ายอวิ๋นที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังในเมืองหลวง คนหนึ่งคือภิกษุชุดขาวอายุน้อย อีกคนหนึ่งคือเจ้าอารามวัยกลางคน เจียงเม่าผงกศีรษะพลางกล่าวว่า “หากดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ลัทธิพุทธชนะบนเวที ลัทธิเต๋าชนะหลังม่าน หลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโตที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อแคว้นชิงหลวนของพวกเจ้าแนะนำมาแสดงออกได้ไม่เลว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโอกาส แต่หากยังไม่เอาสิ่งของที่ทำให้ดวงตาคนเป็นประกายออกมา อย่างมากสุดก็ได้แค่อันดับที่สอง จะเพียงพอหรือ? ไม่ว่าจะลัทธิเต๋าหรือลัทธิพุทธ ให้กลายมาเป็นศาสนาประจำแคว้นชิงหลวน จะดีหรือ?”
ท่าทางของเขาค่อนข้างบีบคั้น
ในฐานะตระกูลชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุดของแจกันสมบัติทวีป ในอดีตสกุลเจียงอวิ๋นหลินเคยเป็นถึงแซ่ใหญ่ตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
สกุลเจียงเป็นผู้ควบคุมพิธีการก่อนที่ลัทธิขงจื๊อจะ ‘ก่อตั้งลัทธิ’ เสียอีก งานโต้วาทีสามลัทธิที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีปครั้งนี้ สกุลเจียงอวิ๋นหลินจะเข้าข้างใครก็เห็นกันอย่างชัดเจนแล้ว
แต่หากแคว้นชิงหลวนเห็นแก่หน้าของเจียงเม่าและสกุลเจียง เลื่อนขั้นลัทธิขงจื๊อให้กลายเป็นศาสนาประจำแคว้นของสกุลถังทั้งที่เดิมทีลัทธิขงจื๊อไม่ได้มีส่วนในงานโต้วาทีพุทธเต๋าครั้งนี้ ถึงเวลานั้นคนที่สืบรู้สถานการณ์อย่างชัดเจนก็จะรู้ว่าสกุลเจียงเป็นผู้ลงมือ สกุลเจียงจะทนยอมให้ตัวเองกลายเป็น ‘หยกขาวมีตำหนิ’ ที่ถูกคนประณามลับหลังได้อย่างไร
ดังนั้นนี่ก็คือจุดที่ปรนนิบัติเอาใจได้ยากที่สุดของเจียงเม่า ต้องได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ ขณะเดียวกันขั้นตอนที่ใช้ก็ต้องไม่มีช่องโหว่ให้ใครมาตำหนิหรือนินทาจนชักนำให้เกิดปัญหากับสกุลเจียงอวิ๋นหลิน
ตอนนี้เหล่าปัญญาชนและชนชั้นสูงของแต่ละแคว้นที่อยู่ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปต่างก็พากันมารวมตัวที่แคว้นชิงหลวน สำหรับงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่ไม่มีบัณฑิตมาเข้าร่วมครั้งนี้ เดิมทีก็ทำให้ผู้คนไม่พอใจกันมากอยู่แล้ว เหล่าชนชั้นสูงของต่างถิ่นกู่ก้องร้องตะโกนอย่างไม่ชอบใจ และยังมีตระกูลเย่อหยิ่งที่นิสัยไม่ค่อยดีอีกไม่น้อยที่ป่าวประกาศว่าหากไม่เป็นเพราะยังสนใจว่าระหว่างพุทธกับเต๋าใครจะได้เป็นศาสนาประจำชาติแล้วล่ะก็ ป่านนี้ก็คงย้ายออกจากแคว้นชิงหลวนไปนานแล้ว อันที่จริงกลุ่มคนที่เป็นแกนกลางสำคัญในราชสำนักแคว้นชิงหลวน รวมไปถึงเทพเซียนลัทธิเต๋าและภิกษุสมณศักดิ์สูงของลัทธิพุทธต่างก็รู้กันดีว่า การแข่งขันระหว่างสองลัทธินี้เป็นการช่วงชิงอันดับที่สอง ช่วงชิงไม่ให้ตนเองกลายเป็นลำดับล่างสุดเท่านั้น
และการที่ฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานเต็มใจพาสนมรักหลายคนที่มีภูมิหลังชวนตะลึงพรึงเพริดมาชมความครึกครื้นที่เมืองหลวงแคว้นชิงหลวน อันที่จริงก็แค่อยากดูว่าฮ่องเต้สกุลถังจะทำตัวหน้าไม่อายอย่างไร จะประจบเอาใจสกุลเจียงอวิ๋นหลินและเหล่าชนชั้นสูงที่พากันเดินทางลงใต้อย่างเอิกเกริกอย่างไร และท้ายที่สุดแล้วจะกลายเป็นตัวตลกของคนครึ่งทวีปเพราะไม่ว่าจะฝ่ายใดของสามลัทธิก็ล้วนเอาใจไม่สำเร็จหรือไม่
ฮ่องเต้ถังหลีคลี่ยิ้ม ยื่นมือข้างหนึ่งมาถูโต๊ะชาที่วางอยู่ด้านหน้าตัวเอง
ถังจ้งเปิดปากกล่าว “อันที่จริงคนที่ราชครูชุยฉานแห่งต้าหลีให้การแนะนำอย่างแท้จริงคือหลิ่วชิงเฟิง บุตรชายคนโตของหลิ่วจิ้งถิง เขาคือลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่ความรู้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”
เจียงเม่าหรี่ตาลง “อ้อ? มีจุดใดที่เหนือกว่าคนปกติทั่วไป ข้าอยากจะลองฟังดูสักหน่อย”
ถังจ้งลุกขึ้นยืน หยิบตำราสีออกเหลืองสองเล่มที่เตรียมรอไว้นานแล้วออกมา เล่มหนึ่งคือตำราอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ อีกเล่มหนึ่งคือผลงานของสำนักนิติธรรม
ถังจ้งคิดจะเดินไปยื่นหนังสือส่งให้
ไม่เห็นว่าเจียงเม่าจะเคลื่อนไหวอย่างไร ทว่าหนังสือสองเล่มกลับหลุดออกจากมือถังจ้งมาปรากฏอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้าเจียงเม่าแล้ว เขาวางตำราลัทธิขงจื๊อไว้ตรงมุมโต๊ะ จะปรายตามองสักครั้งยังรังเกียจว่าเปลืองเวลา ในแจกันสมบัติทวีปมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติจะพูดถึง ‘พิธีการมารยาท’ ต่อหน้าสกุลเจียงอวิ๋นหลิน นี่หาใช่ว่าในสายตาของเทพเซียนผู้เฒ่าไม่เห็นหัวใคร แต่เป็นเพราะเขามีรากฐานของตระกูลและความรู้ของตัวเองคอยหนุนหลังไว้ จึงตั้งตระหง่านไม่ไหวติงดุจขุนเขา
เจียงเม่าเปิดตำราสำนักนิติธรรมที่หลิ่วชิงเฟิงอ่านแล้วเขียนอรรถาธิบายเอาไว้ เขาอ่านอย่างรวดเร็ว บ้างก็ไม่เห็นด้วย บ้างก็ผงกศีรษะเบาๆ สุดท้ายสายตาของเขาไปหยุดอยู่ข้างประโยคหนึ่งของหน้าหนึ่ง ดูจากร่องรอยตัวอักษรนั้นน่าจะผ่านการเขียนอธิบายมาสามรอบ ประโยคเดิมของผู้แต่งเขียนไว้ว่า ‘ไม่ประจบเอาใจคนที่รัก ไม่ทำร้ายคนที่เกลียด ปฏิบัติต่อรักและเกลียดอย่างตรงไปตรงมา ย่อมจัดการเรื่องราวได้ดี’ ตรงหน้าหนังสือจุดที่อยู่ใกล้กับประโยคนี้ที่สุด ครั้งแรกหลิ่วชิงเฟิงเขียนว่า ‘ใช้คำว่า ‘ย่อม’ ไม่เหมาะ สูงเกินไป ควรจะเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘ก็จะ’’
เจียงเม่าอ่านข้อสรุปอีกสองประโยคที่เหลือแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เลว เอาไปลองวัดความสามารถกับนักพรตอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้นได้”
เทพเซียนผู้เฒ่าที่มองภายนอกมีตบะสูงที่สุดของสกุลเจียงอวิ๋นหลินฉีกหน้าหนังสือที่มีตราประทับส่วนตัวของหลิ่วชิงเฟิงประทับไว้ออกไป ตำราสองเล่มกลับมาวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าถังจ้งอีกครั้ง เจียงเม่ายิ้มกล่าวว่า “ช่วงนี้หาโอกาสให้นักพรตอารามป๋ายอวิ๋นผู้นั้นได้รับหนังสือเล่มนี้ไปโดยบังเอิญ ถึงเวลานั้นก็มาดูกันว่าเจ้าอารามผู้นี้จะพูดว่าอะไร”
ถังจ้งตอบรับว่าจะทำตามคำของอีกฝ่าย