อันที่จริงหลี่ไหวกำลังลืมตาโตมองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง
หีบหนังสือไม้ไผ่เขียว รองเท้าสานหนึ่งคู่ ปิ่นหยกชิ้นหนึ่งที่สลักคำว่าไหวอิน ทำมาจากหยกสีหมึก
ของสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่หลี่ไหวทะนุถนอมมากที่สุด
ปิ่นหยก หลี่เป่าผิงและหลินโส่วอีก็มีกันคนละหนึ่งชิ้น ตอนนั้นเฉินผิงอันมอบให้พวกเขาพร้อมกัน เพียงแต่ว่าหลี่ไหวรู้สึกว่าของคนทั้งสองล้วนสู้ของเขาไม่ได้
และยังมีตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ ที่ซื้อจากเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันก็เป็นคนควักเงินจ่าย
นอกจากนี้ก็ยังมีหุ่นไม้หลากสีตัวนี้ที่หลี่ไหวมักจะเอาออกมาเล่นโอ้อวดคนอื่นเสมอ มันกับกล่องไม้เฉียวหวงเป็นทรัพย์สินที่แบ่งมาจากเว่ยป้อเทพแห่งผืนดินตอนอยู่บนภูเขาฉีตุน หุ่นไม้ก็คือแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งภายใต้การบัญชาการของหลี่ไหว
กระดาษแผ่นหนึ่งที่มีตัวอักษรซึ่งปีนั้นอาจารย์ฉีบอกให้พวกเขาลองคัดลอกดู เพียงแต่ว่าบางคนก็ทำหาย บางคนก็เอาเก็บไว้ในบ้านตัวเอง ถึงท้ายที่สุดก็มีเพียงเขาหลี่ไหวที่พกติดตัวมาด้วย ตอนนั้นระหว่างที่เดินทางกัน หลี่ไหวอยากจะมอบมันให้แก่เฉินผิงอันที่ดูแลเขามาตลอดทาง แต่เฉินผิงอันไม่ได้รับไว้ บอกแค่ว่าให้เขาหลี่ไหวเก็บไว้ดีๆ
จากนั้นหลี่ไหวจึงสอดมันไว้ในตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มนั้น
และยังมีตุ๊กตาดินเหนียวที่เหมือนมีชีวิตจริงอีกหนึ่งชุด เป็นเว่ยจิ้นจากศาลลมหิมะที่มอบให้ พวกมัน ‘สูงใหญ่องอาจ’ ได้ไม่เท่าหุ่นไม้หลากสี ตุ๊กตาดินเหนียวห้าตัวสูงแค่ครึ่งนิ้ว มีทั้งจอมยุทธ์มือกระบี่ มีทั้งนักพรตเต๋าถือไม้ปัดฝุ่น มีแม่ทัพบู๊สวมเกราะ มีหญิงสาวขี่กระเรียน และยังมีชายคนตีฆ้องบอกเวลา หลี่ไหวล้วนตั้งฉายาให้กับพวกมัน และมอบตำแหน่งแม่ทัพให้กับทุกตัว
ตอนนั้นเซียนกระบี่เว่ยที่บินไปบินมายังพูดอะไรบางอย่างที่หลี่ไหวลืมไปนานแล้ว สำนักหยินหยาง เวทหุ่นเชิดสำนักโม่และพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าอะไรสักอย่าง แล้วก็ยังมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเจ็ดแปดอะไรนั่น ตอนนั้นเขาเอาแต่เล่น ไหนเลยจะฟังเรื่องซับซ้อนวุ่นวายพวกนั้นเข้าหู ภายหลังตอนที่แนะนำคนจิ๋วดินเหนียวให้กับเพื่อนๆ ฟัง คิดอยากจะโอ้อวดถึงความล้ำค่ามีราคาของเจ้าตัวน้อยทั้งห้า แต่เค้นสมองคิดจนหัวแทบแตกก็ยังนึกคำพูดโอ้อวดออกมาไม่ได้สักคำ ในที่สุดถึงนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่หลี่ไหวก็ไม่ได้ไปถามหลี่เป่าผิงหรือหลินโส่วอีที่ความจำดี คิดว่าถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็บอกแล้วว่าจะมาเยี่ยมพวกเขาที่สำนักศึกษา รอให้เขามาแล้วค่อยถามก็แล้วกัน อย่างไรซะเฉินผิงอันก็จำทุกอย่างได้อยู่แล้ว
แต่ดูเหมือนเฉินผิงอันจะลืมพวกเขาไปแล้ว
ตอนแรกยังเขียนจดหมาย ส่งภาพวาดมาให้หลี่เป่าผิง แต่ตอนหลังดูเหมือนว่าแม้แต่จดหมายก็ไม่เคยส่งมา
……
เมื่อเทียบกับหลี่ไหวและเด็กรุ่นเดียวกันสองคนที่ชอบก่อเรื่องและเอาแต่เล่นสนุกแล้ว
หลินโส่วอีได้กลายเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจที่คนของสำนักศึกษาซานหยาให้การยอมรับโดยทั่วกัน
ไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการฝึกตนก็ล้วนไม่มีข้อบกพร่อง ได้รับความสำคัญจากพวกอาจารย์มากมายของสำนักศึกษา
เคยได้ติดตามเซียนซือผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญเวทอสนีอย่างลึกซึ้งเดินทางท่องเที่ยวไปตามภูเขาและแม่น้ำของต้าสุย ช่วงเวลาที่ได้อยู่ในสำนักศึกษาและอยู่ข้างนอกแทบจะแบ่งกันครึ่งต่อครึ่ง
คนก่อนหน้านี้ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นถึงนักปราชญ์ของสำนักศึกษากวานหูที่หนุ่มที่สุดของต้าสุย อีกทั้งรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษากวานหูยังเคยบอกว่าเขาคือผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นวิญญูชน
เมื่ออายุเริ่มเพิ่มมากขึ้น หลินโส่วอีก็เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มสะโอดสะองมาเป็นคุณชายผู้สง่างาม สตรีทั้งในและนอกสำนักศึกษาที่ชื่นชมหลินโส่วอีมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ดรุณีน้อยหลายคนที่มาจากตระกูลลำดับต้นๆ ของเมืองหลวงต้าสุยมาเยือนสำนักศึกษาที่สร้างอยู่บนภูเขาตงซานเล็กๆ แห่งนี้ก็เพื่อได้มองหลินโส่วอีไกลๆ สักครั้ง
บนร่างของหลินโส่วอีเริ่มค่อยๆ บ่มเพาะบุคลิกสูงส่งที่นานวันก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากโลกีย์ไปทุกที
เมื่อชื่อเสียงของหลินโส่วอีโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังเป็นดั่งหยกขาวที่ไร้ตำหนิ เป็นเหตุให้จำนวนครั้งที่คนมีอำนาจหลายคนในตระกูลชั้นสูงของเมืองหลวงต้าสุยได้ยินชื่อเสียงของหลินโส่วอีระหว่างที่พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานหรือเด็กรุ่นหลังในตระกูลเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ และทุกคนต่างก็เริ่มย้ายสายตาไปให้ความสนใจบัณฑิตหนุ่มผู้นี้ไม่มากก็น้อย
สำหรับสายตาที่จับจ้องอยู่เบื้องหลัง รวมไปถึงความเกี่ยวพันมากมายในชีวิตประจำวันเหล่านี้
หลินโส่วอีที่มีชาติกำเนิดเป็นบุตรนอกสมรสของขุนนางชั้นผู้น้อยในที่ว่าการทั้งไม่ได้รู้สึกภาคภูมิพึงพอใจ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายรังเกียจ
ฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจก็คือการฝึกตน
หากเมื่อวานและวันนี้ยอมเผชิญกับความยากลำบากในการขัดเกลาจิตใจมากเท่าไหร่ วันพรุ่งนี้และอนาคตก็ยิ่งมีข้อบกพร่องน้อยเท่านั้น
สำหรับคลื่นมรสุมที่เกิดขึ้นในราชวงศ์ต้าสุย เนื่องจากได้มีประสบการณ์ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ หลินโส่วอีจึงได้พบเห็นและได้ยินมามาก ราชวงศ์ที่เดิมทีมีขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมมากที่สุดทางทิศเหนือของทวีป เวลานี้กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเศร้าโศกทุกข์ตรม
แต่หลินโส่วอีไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่เรื่องที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีของบ้านเกิดกรีฑาทัพลงใต้ด้วยพลังอำนาจที่บุกไปทางใดทางนั้นก็พังราบเป็นหน้ากลอง เขาก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน
นอกจากมีอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งของสำนักศึกษาที่ถ่ายทอดเวทอสนีให้แล้ว หลินโส่วอีเองก็ยังมุมานะตั้งใจศึกษาตำรา ‘เหนือเมฆพร่างพราว’ ที่ได้มาจากภูเขาฉีตุน
ครั้งนี้ติดตามอาจารย์ผู้เฒ่าไปที่ขุนเขาเหนือทางชายแดนของต้าสุย และยังได้ไปเยือนตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาเสินเซียว ใช้เวลานานถึงสามเดือน หลินโส่วอีเพิ่งเคยนั่งเรือบินตระกูลเซียนเป็นครั้งแรกในชีวิต นั่นก็เพื่อไปดูเมฆสายฟ้าแห่งหนึ่งในระยะประชิด ภาพเหตุการณ์นั้นยิ่งใหญ่งดงาม น่าตื่นตาตื่นใจ อาจารย์ผู้เฒ่าทะยานลมเดินทาง ออกจากเรือบินที่ส่ายโอนเอนเพื่อร่ายใช้วิชาอภินิหารจับสายฟ้า รวบรวมพวกมันมาไว้ในขวดกระเบื้องตระกูลเซียนใบหนึ่งที่เอาไว้ใช้บรรจุสายฟ้าโดยเฉพาะ มีชื่อว่าขวดฟ้าร้องตีท้อง อาจารย์ผู้เฒ่ามอบให้หลินโส่วอีเป็นของขวัญ เพื่อสะดวกให้หลินโส่วอีนำไปเก็บปราณวิญญาณหลังจากกลับไปถึงสำนักศึกษาแล้ว
คืนนี้หลินโส่วอีเดินอยู่ท่ามกลางม่านราตรีเพียงลำพัง มุ่งหน้าไปยังหอเก็บตำราเพื่ออ่านหนังสือ อาจารย์ที่อยู่เวรผลัดดึกย่อมไม่ขัดขวาง แม้ว่ากฎของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อจะค่อนข้างเข้มงวด แต่กลับไม่ได้ตายตัว
ขึ้นไปบนหอตำรา จุดตะเกียงอ่านหนังสือยามค่ำคืนจนกระทั่งฟ้าสว่าง
หลังจากที่หลินโส่วอีกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณ ขอแค่บำรุงลมปราณและจิตใจได้อย่างเหมาะสม แม้จะอดตาหลับขับตานอนอ่านหนังสือ เขาก็ไม่รู้สึกเหนื่อยล้า
หลินโส่วอีวางตำรากลับไปที่เดิม เดินมาที่หน้าต่าง เป็นช่วงเวลาที่ลมปราณขุ่นมัวท่ามกลางฟ้าดินลดลงต่ำ ลมปราณสะอาดสดชื่นกำลังลอยขึ้นบน
โลกในสายตาของผู้ฝึกลมปราณไม่เหมือนกับในสายตาของคนธรรมดา
ดวงตาของมนุษย์ธรรมดามองไม่เห็นปราณวิญญาณไหลเวียน มองไม่เห็นปราณชั่วร้ายลอยกรุ่น หรือการรวมตัวกันของปราณหยาง การกระจายตัวของปราณหยิน
เพียงแต่ว่าแม้การที่ประตูใหญ่ของถ้ำโพรงในร่างคนธรรมดาจะปิดสนิท ไม่อาจรับเอาปราณวิญญาณมาหล่อหลอม ต่ออายุขัยให้ยืนยาว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องแบกรับพายุลมกรดประเภทต่างๆ ในโลก เกิดแก่เจ็บตายล้วนให้สวรรค์เป็นผู้กำหนด
ชุยตงซานเคยท่องกลอนบทหนึ่ง
ลมสูงคลื่นเร็ว ขี่หลังคางคกเดินทางไกลหมื่นลี้ ร่างท่องอยู่ในสรวงสวรรค์ ก้มมองลมปราณขมุกขมัว เซียนผู้เมามายเขย่าต้นกุ้ย แปรเปลี่ยนเป็นลมเย็นสดชื่นในโลกมนุษย์
พอเข้ามาอยู่ในสำนักศึกษา ได้เปิดอ่านตำราเก่าคร่ำคร่าเหล่านั้น รู้ว่าเซียนบรรพกาลในตำนานสามารถไปเยือนวังตะวันวังจันทราเพื่อดื่มสุราเซียนร่วมกับทวยเทพ สามารถเมามายไปได้นับร้อยนับพันปี
หลินโส่วอีวาดฝันกับภาพเหตุการณ์เช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง
จู่ๆ เขาก็พลันถอนหายใจ
หากมีวันนั้นจริงๆ เขาหวังว่าสตรีที่เขาอาลัยอาวรณ์มิอาจตัดใจผู้นั้นจะมาอยู่ข้างกายของตน
พอนึกถึงนาง หลินโส่วอีก็อดคลี่ยิ้มอย่างห้ามตัวเองไม่ได้
หากสตรีของเมืองหลวงแคว้นต้าสุยมาเห็นภาพนี้เข้า เกรงว่าจิตใจคงสะท้านหวั่นไหว
หลายปีมานี้บางครั้งหลินโส่วอีก็หวนนึกถึงการเดินทางในยามเป็นเด็กหนุ่มยังไม่รู้ประสา การเดินทางที่แม้จะน่าตกใจแต่ไร้อันตราย ทุกสิ่งล้วนแปลกใหม่ ได้เห็นภูตประหลาดแห่งภูเขาและหนองน้ำเป็นครั้งแรก ได้เห็นเทพแห่งผืนดินเป็นครั้งแรก ได้รับโชควาสนาในการฝึกตนเป็นครั้งแรก เข้าพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่มีกลิ่นอายแห่งเซียนล้อมเวียนวนเป็นครั้งแรก ได้เห็นเทพทวารบาลที่ร่างสูงใหญ่เท่ากับตัวคนเป็นครั้งแรก ได้หีบหนังสือใบเล็กและปิ่นหยกมาเป็นครั้งแรก ได้มาอยู่ในสำนักศึกษาต้าสุยที่แปลกที่แปลกทางเป็นครั้งแรก เดินทางผ่านด่านที่ยากลำบากร่วมกับเหล่าสหายที่มีศัตรูคู่แค้นร่วมกันจนมาถึงที่นี่
หลินโส่วอีรู้สึกเสียดายขึ้นมากะทันหัน
ดูเหมือนว่าหลังจากคนผู้นั้นจากไป ทุกคนก็กระจัดกระจายแยกย้ายกันไป ต่อให้ยังอยู่ในสำนักศึกษาแห่งเดียวกัน มักจะพบหน้ากันบ่อยๆ แต่จิตใจคนห่างเหินกันไปแล้ว
น้ำที่มาจากต้นน้ำอันตื้นเขินและใสสะอาดเริ่มแยกแตกสาขาออกไป บ้างมุ่งไปตะวันออก บ้างมุ่งไปตะวันตก แม้ว่าดูเหมือนจะยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ กลายมาเป็นดั่งลำธารที่ร่าเริงอย่างหลี่ไหว เป็นดั่งแม่น้ำลำคลองที่เริ่มยิ่งใหญ่อย่างตน หรือเป็นดั่งทะเลสาบที่เลือกจะหยุดนิ่งรอคอยอย่างหลี่เป่าผิง หรือเป็นบ่อลึก สายน้ำไหลใต้ดินอย่างอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ย แต่เมื่อย้อนกลับมามองอีกครั้ง ช่วงเวลาแรกเริ่มสุดในอดีต การทะเลาะเบาะแว้ง การกระทบกระทั่ง เท้าของทุกคนเปรอะเปื้อนได้ด้วยดินโคลน สวมรองเท้าสาน สะพายหีบไม้ไผ่ นอนกลางดินกินกลางทราย มีคนคอยเฝ้ายามตอนกลางคืน…
หลินโส่วอีถอนหายใจหนึ่งที
ย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
……
ตอนแรกในหอพักของอวี๋ลู่ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นมาอยู่อาศัยด้วย ภายหลังองค์ชายเกาเซวียนย้ายเข้ามา คนทั้งสองตัวติดกันดั่งเงา ความสัมพันธ์สนิทสนมแนบแน่น
เพียงแต่ว่าเมื่อไม่นานมานี้อวี๋ลู่ได้กลายมาเป็น ‘คนโดดเดี่ยว’ อีกครั้ง เพราะเกาเซวียนแอบออกไปจากสำนักศึกษาต้าสุยเงียบๆ เพื่อไปอยู่ที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นของเขตการปกครองหลงเฉวียน บอกว่าไปขอศึกษาต่อ แต่ความจริงเป็นเช่นไร คนที่เข้าใจสถานการณ์ล้วนมองออก หนีไม่พ้นไปเป็นตัวประกันก็เท่านั้น หลังจากที่สกุลซ่งต้าหลีและสกุลเกาต้าสุยลงนามเป็นพันธมิตรแห่งขุนเขาร่วมกัน นอกจากเกาเซวียนแล้ว อันที่จริงยังมีคนเฝ้าพิทักษ์ประตูของสกุลเกาเมืองหลวงต้าสุยขอบเขตสิบเอ็ด และเจียวเฒ่าของแคว้นหวงถิงที่เดิมทีลาออกจากราชการไปเก็บตัวอย่างสันโดษที่ได้กลายไปเป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ที่ต้าหลีสร้างขึ้นมาใหม่
ตอนนั้นอวี๋ลู่ไปส่งเกาเซวียนที่ตีนเขาของสำนักศึกษาเท่านั้น
เช้าตรู่วันนี้อวี๋ลู่ไปเคาะประตูเรือนพักเดี่ยวขนาดเล็กแห่งหนึ่งอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
คนที่มาเปิดประตูคือเซี่ยเซี่ย
อวี๋ลู่มองเซี่ยเซี่ยที่ในมือถือด้ามไม้กวาด
ต่อให้ชุยตงซานจะไปจากสำนักศึกษาช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ดูท่านางน่าจะยังคงทำหน้าที่เป็นสาวใช้อย่างขยันหมั่นเพียรอยู่ทุกวัน
เซี่ยเซี่ยถามหน้าเคร่ง “เจ้ามาทำไม?”
อวี๋ลู่ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้พบหน้ากันมานานมากแล้ว ก็เลยแวะมาหา”
เซี่ยเซี่ยถาม “ตอนนี้ก็ได้พบแล้ว แล้วไง?”
อวี๋ลู่กล่าวอย่างจนใจ “เข้าไปดื่มชาสักถ้วยคงไม่มากเกินไปกระมัง?”
เซี่ยเซี่ยลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังบอกให้อวี๋ลู่ชายหนุ่มที่เดิมทีนางควรเรียกด้วยความเคารพว่ารัชทายาทผู้นี้เข้ามาในเรือน
เรือนแห่งนี้ขนาดไม่ใหญ่ ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน หากถึงฤดูใบไม้ร่วงที่ใบไม้ร่วงได้ง่าย หรือเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีเศษเกสรปลิวว่อนได้ง่ายก็น่าจะค่อนข้างลำบาก
เซี่ยเซี่ยชี้ไปทางห้องหลัก ประตูห้องนั้นปิดสนิท พื้นระเบียงใต้ชายคาปูด้วยเสื่อที่ถักจากไม้ไผ่จึงเหมือนเตียงขนาดใหญ่หลังหนึ่ง อวี๋ลู่ถึงขั้นจินตนาการภาพออกเลยว่ายามค่ำคืนที่อากาศเย็นฉ่ำดุจสายน้ำ เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วคนนั้นจะต้องมานอนตะแคงดูดาวอยู่ตรงนี้อย่างเกียจคร้าน
เซี่ยเซี่ยเอ่ยเตือน “ก่อนจะเดินขึ้นบันไดต้องถอดรองเท้าก่อน ไม่อย่างนั้นข้ายังต้องเช็ดพื้นตามหลังเจ้าอีกรอบ”
อวี๋ลู่จึงถอดรองเท้า นั่งลงบนพื้นไผ่เขียว น่าจะเป็นไผ่เขียวที่ผู้ฝึกลมปราณสำนักกสิกรรมของตระกูลเซียนบางแห่งในอาณาเขตของต้าสุยเป็นผู้ปลูก หากชนชั้นสูงทั่วไปของต้าสุยนำมาทำเป็นกระบอกใส่พู่กันก็ถือว่าฟุ่มเฟือยมากแล้ว หากปัญญาชนมอบให้กันจะเหมาะสมอย่างมาก หากมีเตียงหลบร้อนหรือเก้าอี้ไม้ไผ่รับลมเย็นสักตัวก็ยิ่งแสดงให้รู้ว่ามีควันธูปและทรัพย์สมบัติที่มากมหาศาล เพียงแต่ว่าเมื่อมาอยู่ในเรือนหลังนี้กลับเป็นได้แค่นี้
เซี่ยเซี่ยง่วนทำงานของตัวเองต่อไป ไม่ได้รินชาอะไรให้อวี๋ลู่ เช้าตรู่ขนาดนี้จะดื่มชาอะไร คิดว่าตนเองยังเป็นรัชทายาทสกุลหลูอยู่จริงๆ หรือ? เจ้าอวี๋ลู่ยังเทียบกับเกาเซวียนในทุกวันนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ จะดีจะชั่วสกุลเกาเกอหยางของพวกเขาก็รักษาโชคชะตาแคว้นต้าสุยเอาไว้ได้ เมื่อเทียบกับชาวบ้านสกุลหลูที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานใช้แรงงานในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียน ต้องตากแดดตากลม ตากฝนตากหิมะตลอดทั้งปี เดี๋ยวๆ ก็ถูกแส้โบยตี หากไม่กลายเป็นดั่งสิ่งของก็ต้องถูกภูเขาแต่ละแห่งที่สร้างจวนขึ้นใหม่ซื้อตัวไปเป็นคนงานสาวใช้แล้ว สองฝ่ายก็เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
อวี๋ลู่ทิ้งตัวนอนหงาย ถามว่า “เซี่ยเซี่ย เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าในอนาคตอยากจะมีชีวิตอย่างไร?”
—–