เหมาเสี่ยวตงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ความสง่างามมักถูกสายลมและสายฝนพัดพาไปเสมอ
หลีจิ้งชุนออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมาสร้างสำนักศึกษาซานหยาที่แจกันสมบัติทวีป คนนอกบอกว่าฉีจิ้งชุนคิดจะงัดข้อและสยบกำราบชุยฉานอดีตศิษย์พี่ใหญ่ที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพบุรุษ แต่เหมาเสี่ยวตงรู้ดีว่าไม่ใช่แบบนั้น
จั่วโย่วก็ยิ่งตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาด หนีห่างจากโลกมนุษย์ไปไกล ออกทะเลไปเยี่ยมเยียนเซียนเพียงลำพัง
เจ้าคนโง่เง่าดื้อรั้นที่เคยมีคำเล่าลือบอกว่าเป็นคนเดียวที่สามารถวิ่งไล่ให้อาเหลียงเตลิดไปทั่วถนนได้ก็ยิ่งเงียบหายไร้ข่าวคราวไปร้อยกว่าปีแล้ว
เหมาเสี่ยวตงหยุดความคิดที่วุ่นวายทั้งหลายลง สุดท้ายเส้นสายตาไปหยุดอยู่บนร่างของคนหนุ่มตรงหน้า
ตอนนี้อาจารย์รับเขาไว้เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่สืบทอดสายบุ๋น
ในระยะเวลาเกือบสามปีหลังจากที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านสำนักศึกษาแต่ไม่ยอมเข้ามา เหมาเสี่ยวตงทั้งสงสัยใคร่รู้ แล้วก็ทั้งเป็นกังวล สงสัยว่าอาจารย์จะรับเมล็ดพันธ์บัณฑิตแบบใดมา แล้วก็กังวลว่าคนหนุ่มที่มีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูและถูกฉีจิ้งชุนฝากความหวังไว้มากผู้นี้จะทำให้คนผิดหวัง
เพียงแต่เมื่อเหมาเสี่ยวตงใช้วิชาอภินิหารของอริยะลัทธิขงจื๊อนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษามองทุกคำพูดและทุกการกระทำของเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ
เขาก็ทั้งไร้ซึ่งความตื่นตะลึง แล้วก็ไม่มีความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
เพียงแค่รู้สึกว่าลูกหลานคนยากจนที่มีชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นี้ต่างหากถึงจะเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์จะรับตัวไว้ ถึงจะเป็นศิษย์น้องเล็กที่ฉีจิ้งชุนเต็มใจรับไว้แทนอาจารย์ แบบนี้จึงจะถูกต้อง
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ซักถามอย่างละเอียดว่าการฝึกตนและการเรียนของหลินโส่วอีจะมีส่วนที่ขัดแย้งกันเองหรือไม่
ถามว่าเมื่อเกาเซวียนเป็นสหายกับอวี๋ลู่แล้ว มิตรภาพนั้นจะไม่บริสุทธิ์พอหรือไม่
หลังจากเซี่ยเซี่ยกลายเป็นสาวใช้ของชุยตงซาน สภาพจิตใจจะเกิดปัญหาหรือเปล่า
เหมาเสี่ยวตงไล่ตอบไปทีละคำถาม บางครั้งก็พลิกเปิดเอกสารผ่านด่านฉบับนั้น
พอรู้ทุกอย่างคร่าวๆ แล้ว เฉินผิงอันถึงรู้สึกโล่งอกได้อย่างแท้จริง
สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงยิ้มถามว่า “เรื่องของตัวเอง เรื่องของคนอื่น เจ้าล้วนคิดมากขนาดนี้ ไม่เหนื่อยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าตอบอย่างจริงใจ “ไม่เหนื่อยเลยสักนิด”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ เอ่ยเบาๆ ว่า “อันที่จริงการศึกษาหาความรู้และการเรียนวรยุทธ์ฝึกวิชากระบี่ก็คือหลักการเดียวกัน ล้วนจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เมื่อวิญญูชนพบเจอกับยุคที่การปกครองชัดเจนโปร่งใส สามารถแสดงปณิธานอันแรงกล้าของตน พยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มาซึ่งอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ เมื่อพบเจอกับยุคที่การปกครองดำมืด ใต้หล้าวุ่นวาย ก็ให้ทำเหมือนเจียวหลงที่ยืดได้หดได้ ซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ไม่มีใครรู้ เป็นเหตุให้พอเกิดความคิดอันแปลกใหม่ ความคิดอันมหัศจรรย์จึงเหมือนมีสีสันอันงดงามพร่างพราวหล่นลงมาจากนอกฟ้า คนบนโลกไม่เคยเห็นไม่เคยรู้จัก”
เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้ออกจะยิ่งใหญ่เกินไป เขาจึงรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย
เหมาเสี่ยวตงพลันกดเสียงลงต่ำถามว่า “อาจารย์เคยพูดถึงข้าไหม?”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแล้วก็หยุดไป แต่สุดท้ายก็ยอมตอบไปตามตรงว่า “ดูเหมือนจะ…ไม่เคยพูดถึง”
เหมาเสี่ยวตงตบเข่าฉาด พูดอย่างขุ่นเคือง “ใต้หล้านี้มีอาจารย์ที่ลำเอียงขนาดนี้ได้อย่างไร?!”
เหมาเสี่ยวตงยังคงไม่ยอมแพ้ ถามอีกว่า “เจ้าลองคิดดูให้ดีอีกครั้งสิ มีตรงไหนที่พลาดไปหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
เหมาเสี่ยวตงลูบหนวดยิ้ม พูดอย่างมาดมั่นว่า “คิดดูแล้วต้องเป็นเพราะในใจอาจารย์มีลูกศิษย์ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเอามาพูดถึงบ่อยๆ”
เฉินผิงอันมั่นใจแล้ว
เจ้าขุนเขาเหมาตรงหน้าผู้นี้ต้องเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งสอนมาเองกับมืออย่างแน่นอน
……
คงเป็นเพราะรู้สึกว่าหลี่เป่าผิงค่อนข้างพูดง่าย เผยเฉียนจึงเดินเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ฝีเท้าก็ยิ่งแผ่วเบาขึ้นทุกที
เพียงแต่พอมาถึงหอพักของหลี่เป่าผิง มองเห็นตำราที่ถูกคัดปึกแล้วปึกเล่าบนเตียงเหล่านั้น เผยเฉียนก็เกือบจะลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวให้หลี่เป่าผิงแล้ว
มิน่าเล่าเมื่อครู่นี้เผยเฉียนปลุกความกล้าโอ้อวดตัวเองไปเล็กน้อย บอกว่าตนคัดตัวอักษรทุกวัน หลี่เป่าผิงก็แค่ร้องอ้อรับทีเดียว แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ตอนแรกเผยเฉียนรู้สึกว่าในที่สุดตนก็พอจะทวงคืนความเสียเปรียบกลับมาได้เล็กน้อย แล้วก็ยังอดลำพองใจนิดๆ ไม่ได้ เอวก็ยืดขึ้นตรงได้อีกนิด
หลี่เป่าผิงรินชาให้เผยเฉียนถ้วยหนึ่ง บอกให้เผยเฉียนหาที่นั่งได้ตามสบาย
ส่วนนางปีนขึ้นไปบนเตียง ยกหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่วางพิงไว้กับหัวเตียงมาไว้บนโต๊ะ หยิบเอาดาบแคบ ‘ยันต์มงคล’ และน้ำเต้าสีเงินลูกเล็กที่อาเหลียงมอบให้นางออกมา
หลี่เป่าผิงกล่าว “ยกให้เจ้า”
เผยเฉียนมองดาบแคบและน้ำเต้าลูกเล็ก ตอนนี้นางพอจะดูของออกบ้างแล้ว จึงเงยหน้ามองเผยเฉียน ถามประโยคที่ไม่มีความจำเป็น “แพงมากๆๆ เลยใช่ไหม?”
หลี่เป่าผิงไม่ได้จงใจจะปิดบัง ตอบไปตามที่ตัวเองรู้อย่างหมดเปลือก “อาเหลียงเคยพูดกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า ยันต์มงคลเล่มนี้ ระดับขั้นธรรมดา เป็นอาวุธกึ่งเซียนอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่น้ำเต้าเล็กที่หลอกเอามาจากเว่ยจิ้นเซียนกระบี่จากศาลลมหิมะต่างหากที่ถือว่าดี เป็นหนึ่งในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่ออกลูกบนเถาน้ำเต้าเส้นที่มรรคาจารย์เต๋าปลูกเองกับมือระหว่างที่สร้างกระท่อมฝึกตนในปีนั้น หากผู้ฝึกกระบี่บนโลกใช้เจ้าสิ่งนี้มาบำรุงให้ความอบอุ่นแก่กระบี่บินจะค่อนข้างร้ายกาจ เผยเฉียนเจ้าเริ่มเรียนกระบี่แล้วไม่ใช่หรือ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอามันไปใช้เถอะ”
เผยเฉียนลิ้นพันกันไปหมด พูดอย่างมึนงงว่า “แต่ข้าเพิ่งจะเริ่มฝึกกระบี่ ฝึกได้งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ยิ่งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอะไรนั่น ข้าค่อนข้างโง่ ชีวิตนี้อาจจะฟูมฟักมันออกมาไม่ได้…”
หลี่เป่าผิงถามตรงประเด็น “ยันต์มงคลกับน้ำเต้าลูกเล็กนี่ เจ้าชอบหรือไม่?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างขลาดๆ
หลี่เป่าผิงเกาหัว ทอดถอนใจอยู่ในใจหนึ่งที
เหตุใดอาจารย์อาน้อยถึงได้หาลูกศิษย์ที่ทึ่มทื่ออย่างนี้มาได้นะ
เผยเฉียนยิ่งกระวนกระวายใจ หางตาเหลือบไปเห็นภูเขาหนังสือบนเตียง แล้วก็หันมามองดาบแคบและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินบนโต๊ะอีกครั้ง
เผยเฉียนพลันเกิดความคิดดีๆ จึงพูดเสียงเบาว่า “พี่หญิงเป่าผิง ของขวัญที่ล้ำค่าขนาดนี้ ข้าไม่กล้ารับเอาไว้ อาจารย์ต้องด่าข้าแน่”
หลี่เป่าผิงกะพริบตาปริบๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกกับอาจารย์ว่าข้าให้เจ้ายืมสิ หนึ่งปีสิบปีก็คือยืม ร้อยปีพันปีก็คือยืมเหมือนกัน ถึงอย่างไรข้าก็ไม่คิดจะทวงคืน ส่วนเจ้าก็แค่พาพวกมันไปท่องยุทธภพให้สบายใจ แค่นี้ก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?”
เผยเฉียนไหล่ลู่คอตก “จริงด้วย”
หลี่เป่าผิงเปลี่ยนที่นั่ง มานั่งบนม้านั่งตัวยาวข้างกายเผยเฉียน พูดปลอบใจว่า “อย่าคิดว่าตัวเองโง่ เจ้าอายุยังน้อยนี่นา อาจารย์อาน้อยเล่าให้ฟังว่าเจ้าเด็กกว่าข้าตั้งขวบหนึ่ง”
เผยเฉียนฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าจะมีเหตุผลอย่างมาก จึงรีบเงยหน้าขึ้นคลี่ยิ้ม สองมือวางพาดไปบนโต๊ะ ถามอย่างระมัดระวัง “พี่หญิงเป่าผิง ขอข้าลูบคลำพวกมันได้ไหม?”
หลี่เป่าผิงลุกพรวดขึ้นยืน ทำเอาเผยเฉียนตกใจสะดุ้งโหยง หลี่เป่าผิงใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าไม่ต้องตื่นเต้น หลังจากนั้นก็บอกให้เผยเฉียนดูให้ดี
ผลคือเผยเฉียนเห็นว่าหลี่เป่าผิงชักดาบออกจากฝัก สองมือถือดาบ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เงื้อดาบฟันฉับไปยังน้ำเต้าลูกนั้น
เผยเฉียนที่มองอยู่ถึงกับตาค้าง
ดาบนี้ของหลี่เป่าผิงค่อนข้างจะเผด็จการ ผลคือน้ำเต้าเล็กมีแสงเปล่งวาบแล้วพุ่งเข้าใส่เผยเฉียนพอดี เผยเฉียนจึงยกมือปัดตบมันตามจิตใต้สำนึก
น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีเงินส่งเสียงดังเพี๊ยะ ไปกระแทกบนหน้าหลี่เป่าผิงแทน
เสียงตุ้บดังหนึ่งครั้ง
น้ำเต้าร่วงหล่นลงพื้น
หลี่เป่าผิงที่ยืนตะลึงเริ่มเลือดกำเดาไหล
เผยเฉียนรู้สึกว่าตนต้องตายแน่ๆ
ตอนนี้ในมือหลี่เป่าผิงยังถือยันต์มงคลอยู่เลยนะ มีความเป็นไปได้มากว่าอีกเดี๋ยวนางคงฟันมาที่หัวของตนกระมัง?
คาดไม่ถึงว่าหลี่เป่าผิงจะแค่ยกมือขึ้น ใช้ฝ่ามือปาดเลือดทิ้งลวกๆ เก็บยันต์มงคลกลับเข้าฝักอย่างคุ้นเคย เขย่งปลายเท้าเบาๆ เอื้อมไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาไว้ในฝ่ามือ แล้วเอาวางลงบนโต๊ะ
พอนั่งลงเรียบร้อย หลี่เป่าผิงก็หัวเราะกับเผยเฉียนอย่างอารมณ์ดี “เผยเฉียน เมื่อครู่นี้ตอนที่เจ้าสกัดขวางและตบทิ้ง งดงามอย่างมาก มีมาดของชาวยุทธแล้ว! ไม่เลวๆ ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์อาน้อยข้า”
เผยเฉียนหน้าม่อย ชี้ไปที่จมูกของหลี่เป่าผิง พูดอย่างทึ่มทื่อว่า “พี่หญิงเป่าผิง เลือดยังไหลอยู่เลย”
หลี่เป่าผิงเอามือปาดอีกครั้ง มองฝ่ามือตัวเอง ดูเหมือนว่าเลือดจะยังไหลอยู่จริงๆ นางจึงลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ วิ่งไปข้างเตียง ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกองกระดาษเซวียนจื่อ ฉีกเป็นสองแผ่นแล้วขยำเป็นก้อนกลม เงยหน้าขึ้น ยัดกระดาษใส่จมูก ก่อนจะกลับมานั่งข้างกายเผยเฉียน เผยเฉียนหน้าซีดขาว ทำเอาหลี่เป่าผิงที่มองอยู่มึนงง อะไรกัน ทำไมถึงได้รู้สึกว่าน้ำเต้าลูกเล็กกระแทกลงบนหน้านังหนูนี่แทนตนเล่า? แต่ต่อให้กระแทกโดนหน้าอย่างจังก็ไม่เจ็บสักหน่อย หลี่เป่าผิงจึงจับคางตัวเองพลางมองประเมินเผยเฉียนน้อยตัวดำเมี่ยมอย่างละเอียด รู้สึกว่าความคิดของลูกศิษย์อาจารย์อาน้อยคนนี้ค่อนข้างจะพิลึก แม้แต่นางหลี่เป่าผิงก็ยังตามความคิดไม่ทัน ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์อาน้อย ยังพอจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่บ้าง!
เผยเฉียนข่มกลั้นความเสียดาย หยิบน้ำเต้าลูกเล็กหนังสีเหลืองที่ตัวเองรักออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างอืดอาด วางไว้บนโต๊ะแล้วผลักไปให้หลี่เป่าผิงเบาๆ “พี่หญิงเป่าผิง มอบให้เจ้า ถือซะว่าเป็นของชดใช้ที่ข้าให้เจ้า”
หลี่เป่าผิงโมโหเล็กน้อย เผยเฉียนผู้นี้ไยทำตัวห่างเหินนัก นางจึงถลึงตาพูดว่า “เก็บไปเลยนะ!”
เผยเฉียนจึงเก็บน้ำเต้าลูกเล็กกลับมาใส่ในชายแขนเสื้อด้วยความเร็วดุจสายฟ้าแลบแต่โดยดี
……
ออกมาจากห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตงแล้ว แสงสุดท้ายกำลังจะหมดลง พลบค่ำใกล้มาเยือน เฉินผิงอันจึงไปหาหลี่ไหวที่น่าจะกำลังเรียนหนังสืออยู่
นอกหน้าต่างของห้องเรียน เฉินผิงอันมองปราดเดียวก็เห็นหลี่ไหวที่ยกหนังสือในมือตั้งสูง ส่วนตัวเขาที่อยู่ด้านหลังหนังสือกำลังงีบหลับ หัวสัปหงกเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
ข้างกายซ้ายขวาของหลี่ไหวมีคนวัยเดียวกันนั่งอยู่สองคน คนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาเป็นคนประเภทนั่งไม่ติดที่ กำลังเหลียวซ้ายแลขวา เขามองเห็นเฉินผิงอันตั้งนานแล้ว จึงกำลังใช้ตาน้อยจ้องตาใหญ่อยู่กับเฉินผิงอัน
ส่วนเด็กอีกคนหนึ่งนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ตั้งใจฟังอาจารย์สอนมากเป็นพิเศษ
หลิวกวานเห็นว่าคนหนุ่มชุดขาวผู้นั้นคลี่ยิ้มมองมาทางตนอยู่ตลอดเวลาก็รู้ว่าคนหนุ่มที่อายุไม่มากผู้นี้ต้องไม่ใช่อาจารย์ในโรงเรียนแน่นอน จึงแอบทำมือท้าทายด้วยการใช้หมัดทุบฝ่ามือ
ผลกลับถูกอาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ตวาดใส่อย่างดุดัน “หลิวกวาน!”
หลิวกวานขยับตัวนั่งตรงแต่โดยดี
หลี่ไหวที่กำลังหลับฝันหวานตกใจจนขวัญบิน หลังจากสะดุ้งตื่นแล้วก็วางหนังสือลง มองไปรอบด้านอย่างมึนงง
อาจารย์ตะโกนก้องทันที “แล้วยังมีเจ้าอีก หลี่ไหว! พวกเจ้าสองคนคืนนี้คัดบท ‘เชวี่ยนเซวี๋ยเพียน’ ห้ารอบ! แล้วก็ห้ามให้หม่าเหลียนช่วยด้วย!”
บทเรียนจบลงแล้ว อาจารย์เดินหน้าเคร่งออกมาจากห้อง
ผงกศีรษะทักทายเฉินผิงอันที่เขาสังเกตเห็นมานานแล้ว
เฉินผิงอันจึงคารวะกลับคืน
เดินออกมาจากห้องเรียนที่ดังจอแจไปด้วยเสียงเบิกบานใจ หลี่ไหวพลันเบิกตากว้าง ทำสีหน้าไม่อยากเชื่อ “เฉินผิงอัน!”
เฉินผิงอันยิ้มพลางโบกมือเบาๆ
หลี่ไหวยิ้มกว้าง แล้วจู่ๆ ก็ตวาดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน จงรับหมัดไร้ศัตรูของปรมาจารย์ใหญ่หลี่ซะเถอะ!”
จากนั้นหลี่ไหวก็เดินนิ่งหกก้าวอย่างส่งเดชเข้าหาเฉินผิงอัน แล้วก็ถูกเฉินผิงอันใช้ฝ่ามือดันศีรษะเอาไว้
หลี่ไหวดีดดิ้นอยู่นาน ในที่สุดก็ยอมหยุดลง ถามเฉินผิงอันด้วยตาแดงๆ ว่า “เฉินผิงอัน ทำไมเจ้าถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้ พี่สาวข้าจากไปตั้งนานแล้ว ไม่อย่างนั้นหากเจ้าได้พบหน้านาง ข้าจะช่วยจับคู่ให้พวกเจ้า พวกเจ้าส่งสายตาให้กัน แล้วค่อยใช้เวลากระหนุงกระหนิงกัน ยืนชมจันทร์ใต้ต้นหลิ่วในสำนักศึกษาของพวกเราด้วยกัน ป่านนี้ข้าก็เรียกเจ้าว่าพี่เขยได้แล้ว”
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
หลี่ไหวคว้าแขนเฉินผิงอันมากอด หันตัวไปยิ้มพูดกับหลิวกวานและหม่าเหลียน “เขาก็คือเฉินผิงอัน เฉินผิงอันคนที่มอบตำราและถักรองเท้าสานให้ข้าผู้นั้น! ข้าบอกแล้วไงว่าเขาต้องกลับมาหาข้าที่สำนักศึกษาแน่นอน เป็นไงล่ะ ทีนี้เชื่อหรือยัง?”
หลิวกวานกลอกตามองบน
ที่แท้เจ้าหมอนี่ก็คือเฉินผิงอันที่หลี่ไหวพร่ำพูดถึงจนพวกเขาหูแทบแฉะ
หม่าเหลียนรีบคารวะเฉินผิงอัน
หลี่ไหวหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน แต่แล้วจู่ๆ ก็หยุดเสียงหัวเราะ “ไปพบหลี่เป่าผิงหรือยัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มาถึงสำนักศึกษาก็ไปพบเป่าผิงน้อยก่อนแล้ว”
หลี่ไหวพยักหน้ารับอย่างแรง “อีกเดี๋ยวพวกเราไปหาหลี่เป่าผิงด้วยกัน นางต้องขอบคุณข้า เป็นข้าที่เชิญเจ้ามาสำนักศึกษา ตอนนั้นนางอยู่บนยอดเขายังคิดจะซ้อมข้า ฮ่าๆ เป็นแค่แม่นางน้อยตัวเล็กๆ จะวิ่งไวเท่าข้าได้หรือ? น่าขันจริงๆ ทุกวันนี้ข้าหลี่ไหวฝึกวิชาเทพประสบความสำเร็จ ก้าวเดินว่องไวราวกับบิน ทะยานบนชายคาเดินบนกำแพง…”
เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งที
หลี่ไหวพลันสังเกตเห็นสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นของหลิวกวาน และท่าทางอึกๆ อักๆ ของหม่าเหลียน เขาจึงหันหน้ากลับไปช้าๆ มองเห็นว่าด้านหลังตัวเองคือหลี่เป่าผิงและเด็กหญิงข้างกายนางที่ตัวดำราวกับถ่าน แค่มองนางหลี่ไหวก็รู้สึกถูกชะตาทันที เพราะเหมือนเฉินผิงอันตอนที่เพิ่งได้รู้จักกันอย่างมาก
หลี่เป่าผิงยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงเย็น “หลี่ไหว ข้าต่อให้เจ้าวิ่งไปก่อนร้อยก้าว จะไปหลบบนต้นไม้ บนหลังคาหรือในห้องส้วมก็ตามใจเจ้า”
หลี่ไหวกล่าวอย่างขลาดๆ “หลี่เป่าผิง เห็นแก่ที่เฉินผิงอันมาเยือนสำนักศึกษาจริงๆ พวกเราก็ถือซะว่าเจ๊ากันดีไหม?”
หลี่เป่าผิงยิ้มตอบ “เจ๊ากัน?”
หลี่ไหวคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าเป็นฝ่ายพ่ายแพ้?”
หลี่เป่าผิงเห็นแก่อาจารย์อาน้อย ครั้งนี้จึงไม่ถือสาหลี่ไหวอีก
เผยเฉียนตาเป็นประกาย หลี่ไหวผู้นี้คือคนบนเส้นทางเดียวกัน!
คนทั้งกลุ่มจึงพากันไปยังหอพักชั่วคราวของเฉินผิงอัน
อันที่จริงหม่าเหลียนอยากจะตามหลี่ไหวไปด้วย แต่กลับถูกหลิวกวานลากให้ไปกินข้าวด้วยกัน
จูเหลี่ยนยังคงออกไปเที่ยวไม่กลับมา
สือโหรวอยู่ในห้องพักของตัวเองไม่ออกมาพบหน้าใคร
เมื่อมาอยู่ในสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ
ไม่ว่าเจ้าจะเป็นวัตถุหยินเซียนดินสมชื่อแค่ไหน แต่ใครเล่าจะกล้าทำตัวโอ้อวดในสถานที่แบบนี้?
สือโหรวรู้สึกว่าทุกครั้งที่หายใจล้วนเป็นการดูหมิ่นสำนักศึกษา จึงรู้สึกละอายใจและกริ่งเกรงอย่างยิ่งยวด
นี่ก็คือใต้หล้าไพศาล
เฉินผิงอัน หลี่เป่าผิง เผยเฉียน หลี่ไหว
พวกเขาสี่คนนั่งล้อมโต๊ะหนึ่งได้พอดี กำลังกินอาหารที่ทางสำนักศึกษาจัดเตรียมไว้ให้กับแขกที่มาเข้าพักร่วมกัน
หลี่ไหวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอันเสียงดังที่สุด ถึงอย่างไรขอแค่มีเฉินผิงอันอยู่ข้างกาย แม้แต่หลี่เป่าผิงเขาก็ไม่ต้องกลัว
หลี่ไหวถาม “เฉินผิงอัน กินข้าวเสร็จแล้วให้ข้าพาเจ้าไปหาหลินโส่วอีไหม? ทุกวันนี้เจ้าหมอนั่นพบหน้าได้ยากมากเลยล่ะ มีชีวิตสุขสำราญยิ่งนัก มักจะออกไปเที่ยวเล่นนอกสำนักศึกษาบ่อยๆ ข้าอิจฉาจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เป็นช่วงยามซวี (หนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม) พอดี คือช่วงเวลาที่ผู้ฝึกลมปราณค่อนข้างให้ความสำคัญ ทางที่ดีที่สุดไม่ควรไปรบกวนเขา รอให้ผ่านยามซวีไปก่อนค่อยไปหา ไม่ต้องให้เจ้านำทาง ข้าจะไปหาหลินโส่วอีเอง”
—–