สองวันต่อมา เฉินผิงอันก็พาสือโหรวและจูเหลี่ยนไปเดินเที่ยวตามร้านต่างๆ ทั่วเมืองหลวง เดิมทีคิดจะให้สือโหรวอยู่โรงเตี๊ยมเพื่อเฝ้าที่พัก นางเองก็จะได้ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญผวา คิดไม่ถึงว่าสือโหรวจะขอติดตามไปด้วยตัวเอง
บรรยากาศในเมืองหลวงเต็มไปด้วยความครึกครื้นอย่างแท้จริง นี่ก็เป็นเพราะงานโต้วาทีพุทธเต๋าที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ และแคว้นชิงหลวนก็คือพื้นที่หลักที่สำคัญ สามลัทธิเก้าสาขา ปลาและมังกรปะปนกัน คนที่หวังชื่อเสียงก็หวังชื่อเสียง คนที่หวังโชคลาภก็หวังโชคลาภ แน่นอนว่ายังมีคนประเภทเฉินผิงอันที่มาเพื่อชมภาพบรรยากาศและทัศนียภาพอย่างเดียว แล้วก็ถือโอกาสซื้อผลิตภัณฑ์พิเศษที่มีเฉพาะในแคว้นชิงหลวนกลับไปด้วย
คงเป็นเพราะเผยเฉียนและจูเหลี่ยนเป็นดั่งเงาดำใต้โคมไฟจึงมองไม่ออกถึงความประหลาดในการเดินเที่ยวชมร้านหนังสือของเฉินผิงอัน แต่สือโหรวที่จิตใจละเอียดอ่อนดุจเส้นผมกลับมองเบาะแสบางอย่างออก ร้านหนังสือน้อยใหญ่ที่เฉินผิงอันแวะเวียนเข้าไปเยือน หากเป็นหนังสือใหม่เอี่ยมที่จัดพิมพ์อย่างประณีตงดงาม เฉินผิงอันแทบจะไม่เคยแตะ แล้วก็ไม่ค่อยสนใจตำราของร้อยเมธีสักเท่าไหร่ กลับเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่จัดพิมพ์ขึ้นเป็นการส่วนตัวและหนังสือเบ็ดเตล็ดประเภทอักขรานุกรมของแต่ละแคว้นมากกว่าที่เขาให้ความสนใจ บางครั้งก็ยังเปิดอ่านเทียบวงศ์ตระกูลที่ถูกวางไว้ในมุมห่างไกล เจอเล่มหนึ่งก็เปิดอ่านเป็นครึ่งๆ เล่ม เพียงแต่ว่าหลังจากอ่านจบแล้วเฉินผิงอันกลับไม่ซื้อ
ทำเอาเจ้าของร้านมองค้อนปะหลับปะเหลือกใส่ไม่น้อย
ยังดีที่มีจูเหลี่ยนซึ่งพอมีเงินก็ชอบใช้จ่ายอย่างมือเติบคอยให้ความช่วยเหลือ ถึงได้ไม่ถูกคนในร้านหนังสือพูดจาบาดหูหยาบคาบใส่
ส่วนเผยเฉียนก็คงเป็นเพราะรู้สึกว่าพอมาถึงเมืองหลวง ตอนแรกเฉินผิงอันก็ซื้อกระดาษเซวียนจื่อราคาแพงที่มีชื่อเสียงที่สุดในแคว้นชิงหลวนมาสิบกว่าปึก จากนั้นยังซื้อโถเก็บเม็ดหมากคู่หนึ่งที่เป็นเครื่องเคลือบสีเขียวฟ้ามาให้หลูป๋ายเซี่ยง แล้วยังซื้อน้ำเต้าจิ๋วให้นางอีก จ่ายเงินไปก้อนใหญ่มากกว่าเวลาปกติแล้ว ต่อให้เจอกับของที่ถูกตาและชื่นชอบอย่างแท้จริงก็ทำเพียงแค่แอบมองอยู่หลายครั้งเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่กล่องเก็บสมบัติที่มีหลายช่องซึ่งเหยาจิ้นจือมอบให้ ทุกวันนี้แต่ละช่องล้วนเต็มแน่นไปหมดแล้ว ไม่อาจยัดของเพิ่มได้อีก หรือว่านางควรจะขอให้อาจารย์ซื้อกล่องเก็บสมบัติใบใหม่ให้ดี? เผยเฉียนชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่งก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป รู้สึกว่าถึงแม้การเดินทางไปสวนสิงโตจะทำให้อาจารย์ได้เงินฝนธัญพืชมาจำนวนหนึ่ง แต่ตนก็ได้ของติดไม้ติดมือมาแล้วหนึ่งชิ้น รอให้คราวหน้าได้เงินมาเพิ่มก่อนแล้วค่อยพูดกับอาจารย์อีกที
สุดท้ายก็ยังยากจนอยู่ดี
เผยเฉียนรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ตนถึงจะสามารถสะสมกล่องเก็บสมบัติได้หลายๆ ใบ ด้านในกล่องล้วนบรรจุสมบัติจนเต็มแน่น พ่อครัวเฒ่าบอกว่าสิ่งที่ใหญ่กว่าและดีกว่ากล่องเก็บสมบัติก็คือชั้นวางสมบัติที่ตระกูลเศรษฐีต้องมี พอวางสิ่งของไว้จนเต็มชั้น นั่นถึงจะเรียกได้ว่าละลานตาอย่างแท้จริง ทำให้คนมองตาถลนออกมานอกเบ้า ลูกตาหล่นลงพื้นแล้วก็ยังไม่เก็บขึ้นมา
การเดินเล่นสองวันนี้ พวกเขาได้ยินข่าวเล็กๆ บางส่วนที่ถือว่าพอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา
ตามคำบอกของจูเหลี่ยน รสนิยมของฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานช่างเป็น ‘นกกระเรียนในฝูงไก่’ ทำให้เขานับถืออย่างสุดจิตสุดใจ กษัตริย์แห่งแคว้นชิ่งซานที่คำพูดหนักดุจเก้ากระถางผู้นี้ไม่ชอบสาวงามเรือนกายสะโอดสะอง แต่ชอบสตรีที่ร่างอวบอิ่ม ในบรรดาพระสนมที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดของวังหลวงแคว้นชิ่งซานก็มีอยู่สี่คน พวกนางทุกคนล้วนไม่สามารถใช้คำว่าอวบอิ่มมาบรรยายได้แล้ว แต่ละคนหนักเกินสองร้อยจิน (ประมาณหนึ่งร้อยกิโล) ขึ้นไป ซึ่งต่างก็ถูกฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานตั้งชื่อให้ว่าเม่ยจู (หมูงดงาม) เม่ยเฉวี่ยน (สุนัขงดงาม) เม่ยผี (หมีงดงาม) และเม่ยเชวี่ย (นกกระจอกงดงาม)
และเม่ยจูหรือหยวนเย่ที่เป็นผู้นำของสี่เม่ยก็ยังมีสถานะอีกอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงยิ่งกว่า นั่นคือเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ของสิบกว่าแคว้นในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของแจกันสมบัติทวีป
ตอนนี้เหอขุยฮ่องเต้แคว้นชิ่งซานพักอยู่ในจุดพักม้าเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ข้างกายก็มีสี่เม่ยติดตามมา
เมื่อวันก่อนเหอขุยปลอมตัวเป็นคนธรรมดาพาเม่ยเชวี่ยที่ ‘เรือนร่างเพรียวบาง’ ที่สุดในบรรดาเหล่านางสนมไปเที่ยวชมวัดวาอารามในเมืองหลวงด้วยกัน ผลคือตอนที่จุดธูปไหว้พระกลับเกิดข้อพิพาทกับลูกหลานชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่ง เม่ยเชวี่ยลงมืออย่างดุดัน ถึงขั้นเล่นงานให้คนผู้หนึ่งเกือบตาย ก่อให้เกิดคลื่นมรสุมครั้งใหญ่ ที่ว่าการที่ดูแลความสงบสุขปลอดภัยในเมืองหลวง หรือแม้แต่ขุนนางชั้นสูงจากกรมพิธีการของแคว้นชิงหลวนต่างก็พากันปรากฏตัว ถึงอย่างไรนี่ก็เกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ของสองแคว้น กว่าจะปลอบใจทุกคนให้สงบลงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คนก่อเรื่องคือคนวัยเดียวกันซึ่งเป็นลูกหลานสกุลใหญ่ของเมืองหลวงและชนชั้นสูงอีกหลายคนที่เดินทางลงใต้ พอรู้สถานะฮ่องเต้ของเหอขุยก็พากันหยุดลงแต่โดยดี แต่คลื่นลูกหนึ่งเพิ่งสงบก็มีคลื่นลูกใหม่โถมตัวขึ้นมาอีกครั้ง คืนนั้นในบรรดาคนที่ก่อเรื่องก็มีคนมากมายที่เพิ่งมาลงหลักปักฐานอยู่ในแคว้นชิงหลวนได้ไม่นานตายอย่างเฉียบพลัน สภาพการตายอเนจอนาถอย่างยิ่ง ว่ากันว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของที่ว่าการก็ยังพะอืดพะอมแทบอาเจียน
ไม่นานก็มีข่าวลือที่น่าเชื่อถือแพร่ไปทั่วทั้งเมืองหลวง วิธีการที่ฆาตรกรใช้ก็คือวิธีที่เม่ยจูปรมาจารย์ใหญ่แห่งแคว้นชิ่งซานถนัดที่สุด นั่นคือดึงแขนขาทั้งสี่ออก เหลือไว้แค่หัวกับร่างกาย สกัดจุดใบ้ และยังช่วยห้ามเลือดให้เพื่อให้คนคนนั้นทรมานจนกว่าจะตาย
ราชสำนักแคว้นชิงหลวนเร่งรีบระดมคนจากฝ่ายต่างๆ มาตรวจสอบเรื่องนี้ และยิ่งมีขุนนางกรมอาญาที่ประสบการณ์ในการสืบสวนคดีความโชกโชน เซียนซือที่ถวายการรับใช้ราชสำนักและกลุ่มคนมีชื่อเสียงจากยุทธภพต่างก็พากันกรูเข้าไปยังจุดพักม้าที่เหอขุยพักอาศัยในทันที
แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานความแค้นเคืองของฝูงชนได้ บัณฑิตและปัญญาชนจำนวนนับไม่ถ้วนพากันมาล้อมจุดพักม้าที่ฮ่องเต้เหอขุยพักค้างแรม หากไม่เป็นเพราะเหล่ามือปราบของเมืองหลวงขัดขวางเอาไว้ อีกทั้งยังมีทหารชุดเกราะสองร้อยนายที่ผู้บัญชาการณ์ใหญ่เหวยเลี่ยงส่งมาคอยจับตามองอย่างดุดัน ไม่ยอมปล่อยให้สถานการณ์เละเทะต่อไป หาไม่แล้วผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคงยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้ถึง บัณฑิตที่ไม่มีแม้แต่แรงจับไก่พวกนั้นมีแต่จะถูกหนึ่งในสี่เม่ยผู้เป็นสนมรักของเหอขุยฆ่าตายคาที่เท่านั้น
เม่ยจูหยวนเย่ประกาศออกมาแล้วว่า นางจะเปิดฉากเข่นฆ่ากับจู๋เฟิ่งเซียนแห่งพรรคต้าเจ๋อซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ปรมาจารย์ใหญ่เช่นกัน หากนางแพ้ แคว้นชิ่งซานจะยอมรับน้ำสกปรกที่สาดใส่อ่างนี้เอาไว้ แต่หากนางชนะ พวกปัญญาชนแคว้นชิงหลวนที่มาเอะอะโวยวายล้อมจุดพักม้าจะต้องพากันคุกเข่าโขกหัวอภัยอยู่นอกจุดพักม้า
และจู๋เฟิ่งเซียนมารเฒ่าที่เล่าลือกันว่าเคยโดยสารรถม้าสีแดงสดคันหนึ่งสร้างลมคาวฝนเลือดในยุทธภพของหลายแคว้นก็พักอยู่ในอารามเต๋าแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองหลวงจริงๆ
ซึ่งเมื่อวานนี้จู๋เฟิ่งเซียนที่เมื่อสามสิบปีก่อนมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ระบือไปทั่วก็กลับมาเผยกายในยุทธภพอีกครั้ง เขาถึงขั้นใช้สถานะของวีรบุรุษผู้กล้าอันดับหนึ่งของแคว้นชิงหลวนมาเยือนจุดพักม้าตามนัดหมาย แล้วก็เปิดฉากสังหารเข่นฆ่ากับเม่ยจูหยวนเย่จริงๆ
นับตั้งแต่ที่จู๋เฟิ่งเซียนโดยสารรถม้าออกมาจากอารามเต๋า ระหว่างทางก็มีชาวบ้านและคนในยุทธภพของแคว้นชิงหลวนจำนวนนับไม่ถ้วนช่วยโบกธงร้องตะโกนแทนคนผู้นี้
เพียงแต่ว่าธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้ง จู๋เฟิ่งเซียนที่ถูกฝากความหวังไว้มากกลับมีพลังการต่อสู้ด้อยกว่าเม่ยจู สุดท้ายเขาก็บาดเจ็บสาหัส พ่ายแพ้ให้กับหยวนเย่ที่อยู่ในอันดับสองของสี่ปรมาจารย์ใหญ่ จู๋เฟิ่งเซียนถูกหยวนเย่ที่ร่างท่วมไปด้วยเลือด แต่กลับไม่เป็นอะไรมากกระชากคอเดินอาดๆ ไปถึงหน้าประตูใหญ่ของจุดพักม้า นางกวาดตามองผู้คนรอบด้านที่บื้อใบ้เงียบกริบแล้วโยนจู๋เฟิ่งเซียนที่สลบไปแล้วลงบนถนนใหญ่ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า พรุ่งนี้อย่าลืมมาโขกหัว
จู๋เฟิ่งเซียนถูกลูกศิษย์พรรคต้าเจ๋อที่น้ำตานองหน้าหามเข้าไปไว้ในห้องโดยสารรถม้า ออกจากจุดพักม้ากลับไปรักษาตัวที่อารามเต๋าแห่งนั้น
นอกจุดพักม้าเงียบสงัด นอกอารามเต๋ากลับเต็มไปด้วยเสียงด่าทอดังไม่ขาดสาย
ตอนที่ได้ยินเรื่องราวมรสุมครั้งนี้ในร้านหนังสือโดยบังเอิญ เฉินผิงอันก็ยังคงหาหนังสือต่อไป
เผยเฉียนใจจืดใจดำ รู้สึกเพียงว่าจู๋เฟิ่งเซียนผู้นั้นช่างน่าอนาถจริงๆ ความสามารถไม่สูงพอ กลับยังชอบโอ้อวดตัว ไม่รู้จักหลบอยู่ในอารามไม่ต้องออกมาหรือไร? นี่ต้องมาถูกเม่ยจูที่หนักสองร้อยกว่าจินผู้นั้นซ้อมจนไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แล้วนับประสาอะไรกับที่ชื่อเสียงดีงามที่สั่งสมมาทั้งชาติก็ต้องสูญเสียไปด้วย ตามคำบรรยายถึงบุคลิกของชาวยุทธ์ การแก่งแย่งแข่งขันในยุทธภพที่บอกไว้ในนิยายเล่มนั้น พวกคนที่หากินอยู่ในยุทธภพ หากไม่มีชื่อเสียงก็ไม่เท่ากับว่าไร้ชีวิตแล้วหรือไร? ความเสียดายเพียงหนึ่งเดียวของเผยเฉียนก็คือตอนนั้นที่ขึ้นเขาไปเยือนอารามจินกุ้ย พวกเขายังเคยไปพักที่เรือนหรูหราใหญ่โตซึ่งจู๋เฟิ่งเซียนสร้างไว้ให้หลานสาวที่กึ่งกลางภูเขา นับว่าเขาเป็นคนมีเงินแถมยังใจกว้าง นางชื่นชอบอย่างมาก น่าเสียดายที่ตอนนี้มาลองย้อนนึกดูแล้ว ต่อให้ตาเฒ่าจู๋ชะตาแข็ง ไม่ตายอยู่ในอารามเต๋าแห่งนั้น แต่ครั้งหน้าที่ทั้งสองฝ่ายได้พบหน้ากัน คาดว่านางคงไม่คิดอยากกินดื่มของของตาเฒ่าผู้นั้นเปล่าๆ โดยไม่จ่ายเงินอีก
ครั้งนั้นคนทั้งสองกลุ่มมาพบกันโดยบังเอิญ ตอนแรกก็หลบฝนด้วยกัน จากนั้นก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน สุดท้ายจู๋จื่อหยางหลานสาวของผู้เฒ่าและหลิวชิงเฉิงเด็กสาวจากเรือนแยนจือแคว้นอวิ๋นเซียวต่างก็ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของจางกั่วเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามจินกุ้ย
เผยเฉียนและเฉินผิงอันเคยได้ชมพิธีรับศิษย์ของที่นั่น เรียกได้ว่าเป็นพิธีการที่ซับซ้อนยืดเยื้อ ใช้เวลาหมดไปเกือบหนึ่งชั่วยาม ดูถึงช่วงท้ายเผยเฉียนก็ถึงกับปวดหัว นางต้องนั่งนิ่งไม่ขยับเป็นหุ่นไม้อยู่ตั้งนาน รู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าตอนคัดตัวอักษรเสียอีก
เฉินผิงอันเดินออกมาจากร้านหนังสือ เป็นช่วงเที่ยงวันพอดี เขายืนคิดอะไรบางอย่างอยู่บนขั้นบันได
จูเหลี่ยนถามเบาๆ “นายน้อย เอาอย่างไรต่อ?”
หัวใจของสือโหรวหดรัดเกร็ง ในใจท่องพึมพำว่าอย่าได้เข้าไปมีส่วนร่วม อย่าเข้าไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้เด็ดขาดเชียว
คำตอบของเฉินผิงอันทำให้สือโหรวทั้งรู้สึกดีใจและทั้งเป็นกังวล
เฉินผิงอันกล่าวว่า “ไปเยี่ยมจู๋เฟิ่งเซียนสักหน่อย หากเขาบาดเจ็บสาหัส ที่ตัวข้ามียาอยู่บางส่วน มอบยาและเยี่ยมคนเรียบร้อย พวกเราก็ออกมาจากอารามแห่งนั้น”
จูเหลี่ยนเอ่ยชื่นชม “นายน้อยมีทั้งคุณธรรมและน้ำใจ ประเด็นสำคัญคือยังมีสติสุขุม”
เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เจ้าแย่งข้าพูดทำไม พ่อครัวเฒ่าเจ้าพูดไปหมดแล้ว ข้าจะทำอย่างไร?”
จูเหลี่ยนเองก็ไม่เกรงใจ “ทำอย่างไร? ก็ไปกินขี้สิ ไม่ต้องจ่ายเงิน ถึงเวลาหากกินไม่อิ่มก็มาบอกข้า กลับไปถึงโรงเตี๊ยมแล้วก็ไปรอข้านอกห้องส้วม รับรองว่าออกมาร้อนๆ เลยล่ะ”
เผยเฉียนมองค้อน “น่าขยะแขยงจริงๆ”
เฉินผิงอันไม่ได้สนใจการโต้คารมของหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน สอบถามเส้นทางเรียบร้อยแล้วก็เดินทางไปยังอารามในเมืองหลวงที่ชื่อเสียงระบือไกลภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน
เดินกันไปเกินครึ่งชั่วยามกว่าจะขยับเข้ามาใกล้อาราม รอบนอกกำแพงมีผู้คนอยู่บางตา บางคนก็ขว้างหินสบถด่าหลายคำแล้วก็วิ่งหนีไป คนส่วนใหญ่คือมาชมความครึกครื้น ได้เดินเตร่อยู่รอบนอกอารามเต๋ารอบหนึ่งก็พึงพอใจแล้ว และยังมีคนในยุทธภพที่เร่งรุดเดินทางมาเพราะได้ข่าว น่าจะเป็นพวกคนที่รุ่นบรรพบุรุษรุ่นบิดาเคยได้รับความทุกข์ยากด้วยฝีมือของพรรคต้าเจ๋อมาก่อน แต่พวกเขากลับไม่กล้าอ้าปากด่าทอ ยิ่งไม่มีทางซ้ำเติมอย่างโง่งม ถึงอย่างไรก็ยังไม่รู้ว่ามารเฒ่าจู๋เฟิ่งเซียนเป็นหรือตาย อีกทั้งก็ยังมีลูกศิษย์ของเขาที่มีชื่อเสียงด้านความโหดร้ายอยู่ในอารามด้วยหลายคน ต่อให้เดินออกมาแค่คนเดียวก็สามารถทำให้ยอดฝีมือทั่วไปในยุทธภพแคว้นชิงหลวนดื่มสุราลงทัณฑ์ได้กาใหญ่
อารามแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก วันนี้ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก เฉินผิงอันเคาะประตูข้างอยู่นานมากกว่าจะมีนักพรตมาเปิดประตูให้ สีหน้าของเขาระแวดระวัง เฉินผิงอันจึงบอกว่าตัวเองเป็นคนรู้จักของเจ้าประมุขผู้เฒ่าจู๋ รบกวนให้ทางอารามช่วยนำความไปแจ้งสักหน่อย แค่บอกว่าเฉินผิงอันมาเยี่ยมเยียน
นักพรตหนุ่มพยักหน้ารับ บอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่ พอปิดประตูเรียบร้อย ประมาณครึ่งก้านธูป นอกจากนักพรตที่กลับไปแจ้งข่าวแล้วก็ยังมีหนึ่งในลูกศิษย์ที่ตอนนั้นติดตามจู๋เฟิ่งเซียนพาจู๋จื่อหยางขึ้นเขาไปกราบไหว้อาจารย์ตามมาด้วย เขาจำเฉินผิงอันได้ในทันที นี่ทำให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายของจู๋เฟิ่งเซียนถอนหายใจโล่งอก พาเฉินผิงอันเดินไปยังเรือนหลังที่อยู่ลึกเข้าไปในอารามเต๋า ตลอดทางที่เดินกันมาคนผู้นี้ไม่ได้พูดอะไรมาก แค่เอ่ยขอบคุณที่เฉินผิงอันยังจดจำมิตรภาพในยุทธภพได้ตามมารยาท
ทุกคนมาถึงห้องห้องหนึ่ง กลิ่นยาเข้มข้นอบอวล ลูกศิษย์หลายคนของจู๋เฟิ่งเซียนยืนกุมมือประสานอยู่บนระเบียงนอกประตูอย่างเคร่งขรึม แต่ละคนสีหน้าหนักอึ้ง พอเห็นเฉินผิงอันก็ทำเพียงแค่ผงกศีรษะทักทาย อีกทั้งยังไม่มีท่าทางผ่อนคลายใดๆ ถึงอย่างไรการเดินทางไปเยือนอารามจินกุ้ยร่วมกันในครานั้นก็เป็นแค่การพบกันอย่างผิวเผินในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ใจคนมีหนังท้องกั้น (เปรียบเปรยว่าจิตใจคนยากจะคาดการณ์ได้ถึง) สวรรค์เท่านั้นที่ถึงจะรู้ว่าคนต่างถิ่นแซ่เฉินผู้นี้มีเจตนาใด หากไม่เป็นเพราะจู๋เฟิ่งเซียนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงออกปากเองว่าให้พาพวกเฉินผิงอันเข้ามา ก็คงไม่มีใครกล้าพาเขามาที่นี่
เฉินผิงอันบอกให้พวกจูเหลี่ยนสามคนรอที่มุมหัวเลี้ยวของระเบียง ไม่ยอมให้พวกเขาขยับเข้าใกล้ห้องแห่งนั้น
หลังจากที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของจู๋เฟิ่งเซียนมาเปิดประตูให้ เฉินผิงอันที่สะพายกระบี่และหีบไม้ไผ่ก็เดินเข้าไปในห้องเพียงลำพัง
จู๋เฟิ่งเซียนนอนพิงหมอน สีหน้าซีดขาว คลุมผ้าห่มทับกาย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “จากลากันบนภูเขา ได้มาพบกันอีกครั้งในต่างแดน ข้าจู๋เฟิ่งเซียนกลับมีสภาพน่าสังเวชถึงเพียงนี้ ทำให้คุณชายเฉินขบขันเสียแล้ว”
เขาบาดเจ็บสาหัสมาก
ในห้องนอกจากจู๋เฟิ่งเซียนที่อยู่บนเตียงแล้วยังมีนักพรตเฒ่าสีหน้าเฉยชาอยู่อีกคนหนึ่ง หลังจากลูกศิษย์ที่มาเปิดประตูให้ปิดประตูลงแล้วก็ยกเก้าอี้มาให้เฉินผิงอันนั่ง ส่วนตัวเองไปยืนอยู่ในมุมหนึ่ง ไม่ได้จากไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เฉินผิงอันเกิดคิดอยากสังหารคนในฉับพลัน
เฉินผิงอันปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ข้างเท้า นั่งลงบนเก้าอี้ ถามเบาๆ ว่า “เจ้าประมุขผู้เฒ่าเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ไม่ได้ปกปิดร่องรอยของตัวเองหรือ?”
จู๋เฟิ่งเซียนกระแอมไออยู่หลายที พยายามฝืนยิ้มกล่าวว่า “ทำไมจะไม่ปิดบังเล่า เพียงแต่หูตาของทางราชสำนักดีเกินไป อำพรางได้ไม่ดีพอ อารามเต๋าของเมืองหลวงแห่งนี้คือหนึ่งในสาขาที่พรรคต้าเจ๋อตั้งใจดำเนินงานมาเกือบสามสิบปี ไม่แน่ว่าอาจถูกราชสำนักจับตามองมานานแล้ว นี่ไม่นับเป็นอะไร ฮ่องเต้สกุลถังแคว้นชิงหลวนของพวกเราท่านนั้น ตอนยังหนุ่มก็วาดฝันต่อยุทธภพมาโดยตลอด พอขึ้นครองราชย์ก็ยังถือว่าปฏิบัติต่อยุทธภพเป็นอย่างดี การเข่นฆ่าสังหารของพวกคนส่วนใหญ่ที่มีบุญคุณความแค้นต่อกัน ขอแค่ไม่เกินขอบเขตที่พอดี ทางการก็จะไม่ค่อยให้ความสนใจนัก”
“ในความเป็นจริงแล้ว ปีนั้นที่ข้าห้อตะบึงอยู่ในยุทธภพของหลายแคว้น บุกไปที่ใดที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง เวลานั้นถังหลียังเป็นองค์ชายอยู่ในจวนมังกรซ่อน ว่ากันว่าเขาเลื่อมใสในตัวข้าอย่างยิ่ง จึงป่าวประกาศว่าสักวันหนึ่งจะต้องเรียกผู้ฝึกยุทธ์ที่สร้างชื่อเสียงและหน้าตาให้กับแคว้นชิงหลวนอย่างข้าเข้าพบให้ได้ ดังนั้นครั้งนี้อยู่ดีๆ ก็ถูกเม่ยจูผู้นั้นท้าทาย แม้ข้าจะรู้ดีว่ามีคนจงใจใส่ร้ายข้า แต่ข้าก็ยังไม่มีหน้าหนีออกไปจากเมืองหลวงเงียบๆ จริงๆ”
เฉินผิงอันเห็นว่าจู๋เฟิ่งเซียนพูดอย่างเปลืองแรง เดี๋ยวพูดเดี๋ยวหยุดพัก จึงไม่คิดจะถามอะไรอีก เพียงก้มตัวลงไปเปิดหีบไม้ไผ่
เมื่อเขาทำท่าทางนี้ นักพรตเฒ่าและบุรุษที่อยู่ในห้องต่างก็ตั้งท่าเตรียมพร้อม เฉินผิงอันจึงหยุดชะงัก เอ่ยอธิบายว่า “ข้ามียาที่หลอมขึ้นบนภูเขาอยู่หลายขวด แน่นอนว่าไม่สามารถทำให้กระดูกขาวมีเนื้องอกขึ้นมา หรือช่วยฟื้นฟูความเสียหายของเส้นเอ็นและชีพจรอย่างรวดเร็ว แต่พอจะบำรุงลมปราณได้ดี ในด้านการซ่อมแซมชดเชยให้กับจิตวิญญาณและร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ ถือว่าได้ผลดีพอสมควร”
จู๋เฟิ่งเซียนอยากจะยกมือขึ้น แต่กลับไร้เรี่ยวแรง จึงได้แต่วางมือไว้บนผ้าห่มแล้วขยับส่ายเบาๆ หันไปยิ้มพูดกับคนสนิททั้งสองคนว่า “พวกเจ้าไม่ต้องตื่นเต้น ความสามารถในการมองคนของข้าจู๋เฟิ่งเซียนดีกว่าการเรียนวรยุทธ์มากนัก ในเมืองหลวงตอนนี้ ไม่ว่าใครก็อาจมาฉกฉวยผลประโยชน์ได้ มีเพียงคุณชายเฉินที่ไม่มีทางทำเช่นนั้น”
ตอนที่เฉินผิงอันเดินทางมาที่นี่ก็เลือกหาตรอกเล็กๆ ที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งย้ายยาสามขวดออกจากวัตถุฟางชุ่นมาใส่ในหีบไม้ไผ่แล้ว ไม่อย่างนั้นจู่ๆ เอาของออกมาจากความว่างเปล่าจะสะดุดตาเกินไป
หลังจากหยิบขวดยาทั้งสามใบออกมาแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นมันส่งให้กับนักพรตผู้เฒ่า “รบกวนเจินเหรินผู้เฒ่าช่วยวินิจฉัยประสิทธิภาพของยาก่อนว่าเหมาะจะนำมารักษาบาดแผลของเจ้าประมุขผู้เฒ่าหรือไม่”
จู๋เฟิ่งเซียนกลั้นยิ้ม “คุณชายเฉิน อุตส่าห์หวังดีเอายาช่วยชีวิตมามอบให้คนอื่น แต่กลับต้องมอบให้ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างนี้ ใต้หล้านี้ก็คงมีแค่เจ้าคนเดียวแล้ว”
นักพรตเฒ่ารับขวดยาทั้งสามใบมา ยังคงไม่มีรอยยิ้มหรือเอ่ยคำใด เขาเดินไปที่ข้างโต๊ะ เทยาออกมาขวดละหนึ่งเม็ด จากนั้นหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วทิ่มเม็ดยาให้แตกละเอียด
—–