เฉินผิงอันตบไหล่หลี่ไหว “ไปเดาเอาเองสิ”
หลี่ไหวพยักหน้ารับอย่างแรง พูดอย่างคนกระจ่างแจ้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว!”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าเข้าใจอะไร?”
หลี่ไหวยกสองแขนกอดอก ใช้มือหนึ่งลูบคลำปลายคาง “มิน่าเล่าเจ้าถ่านดำน้อยผู้นี้ถึงทำสีหน้ารังเกียจตอนมองหุ่นไม้หลากสีของข้า ไม่ได้การ พรุ่งนี้ข้าต้องเอาทรัพย์สมบัติมาประชันกับนางสักหน่อย การประมือระหว่างยอดฝีมือ ชนะกันที่พลังอำนาจอันน่าเกรงขาม! ถึงเวลานั้นมาดูกันว่าใครจะมีสมบัติมากกว่ากัน! เป็นองค์หญิงแล้วอย่างไร ก็ยังเป็นแค่เด็กน้อยตัวดำเป็นถ่านคนหนึ่งไม่ใช่หรือ จะร้ายกาจสักแค่ไหนกันเชียว จุ๊ๆ อายุน้อยๆ แค่นี้ก็หัดห้อยดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่แล้ว คิดจะขู่ใครกัน…ใช่แล้ว เฉินผิงอัน องค์หญิงชอบกินอะไร?”
เฉินผิงอันเอามือกดศีรษะหลี่ไหวแล้วจับเขาหมุนตัวหันไปทางหอพักเบาๆ “รีบกลับไปนอนได้แล้ว”
หลี่ไหวได้ถามคำถามแล้วก็ให้พึงพอใจจึงหมุนตัววิ่งกลับไปที่หอพักของตัวเอง
ผ่านไปได้ไม่นาน เสียงตวาดอย่างขุ่นเคืองก็ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ
ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าหลี่ไหวต้องถูกอาจารย์ที่ออกมาลาดตระเวนยามค่ำคืนจับได้แน่นอน
เฉินผิงอันกำลังจะไปช่วยหลี่ไหว แต่ไม่นานก็เห็นว่าหลี่ไหวเดินอาดๆ มาพร้อมกับจูเหลี่ยนที่อยู่ข้างกาย
ที่แท้จูเหลี่ยนได้หาข้ออ้าง บอกว่าเป็นญาติห่างๆ กับหลี่ไหว ดึกมากแล้วเขาไม่รู้ทาง จึงขอให้หลี่ไหวช่วยพากลับไปที่หอพัก
หลี่ไหวยกนิ้วโป้ง พูดกับเฉินผิงอันว่า “พี่ใหญ่จูท่านนี้มีน้ำใจจริงๆ! เฉินผิงอัน เจ้ามีพ่อบ้านแบบนี้ก็ช่างโชคดีนัก”
จากนั้นหลี่ไหวก็หันมายิ้มให้ผู้เฒ่าหลังค่อม “พี่ใหญ่จู วันหน้าหากเฉินผิงอันปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีก็มาหาข้าหลี่ไหว ข้าหลี่ไหวจะช่วยทวงความยุติธรรมคืนให้เจ้าเอง”
ไม่ว่าจะมองซ้ายหรือมองขวา จูเหลี่ยนก็รู้สึกว่าเจ้าหนูที่ชื่อหลี่ไหวท่าทางแข็งแรงน่าเอ็นดูผู้นี้ไม่เหมือนคนที่จะเรียนหนังสือเก่งเลยจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิง หลี่เอ้อร์ หลี่เป่าเจิน หลี่เป่าผิง
คือบุคคลจากถ้ำสวรรค์หลีจูที่ไม่ใช่พวกพิลึกพิลั่นซึ่งนับว่าหาได้ยาก
จูเหลี่ยนรู้สึกว่าตัวเองต้องทะนุถนอมช่วงเวลานี้ไว้ให้มาก ดังนั้นจึงพลันรู้สึกถูกชะตากับเจ้าหลี่ไหวตัวน้อยผู้นี้ขึ้นมา สีหน้าของเขาจึงยิ่งเมตตาปราณี
เดี๋ยวนะ ทำไมหลี่ไหวผู้นี้ถึงหน้าตาคล้ายคลึงกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบที่มาเยือนนครมังกรเฒ่าผู้นั้นนักนะ หลี่ไหว หลี่เอ้อร์ แซ่หลี่เหมือนกัน คงไม่ใช่คนครอบครัวเดียวกันหรอกกระมัง?
มีเพียงผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวอย่างตนเท่านั้นถึงจะรู้ได้ถึงความน่ากลัวของปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางท่านหนึ่งได้ดีที่สุด
ต่อให้จูเหลี่ยนจะภาคภูมิใจในพรสวรรค์การฝึกวรยุทธ์ของตัวเองมากแค่ไหนก็ยังกล้าพูดแค่ว่า หากตนเกิดและเติบโตมาในใต้หล้าไพศาล ภายใต้สถานการณ์ที่พรสวรรค์ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ในช่วงที่มีชีวิตอยู่หากคิดจะเลื่อนเป็นขอบเขตยอดเขาขอบเขตที่เก้านั้นไม่ยาก แต่ขอบเขตสิบกลับไม่มีหวัง
จูเหลี่ยนหันหน้าไปมองเฉินผิงอันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
จูเหลี่ยนโมโหเกือบตาย ยกเท้าถีบก้นหลี่ไหวเบาๆ “ดึกดื่นค่ำคืนยังมาเดินเตร็ดเตร่เหมือนผีเร่ร่อนอยู่ได้ รีบไสหัวกลับไปเลย”
หลี่ไหวตกใจสะดุ้งโหยง พอวิ่งไปแล้วถึงได้ชี้หน้าจูเหลี่ยนจากที่ไกลๆ “ช่วยข้าครั้งหนึ่ง เตะข้าหนึ่งครั้ง บุญคุณความแค้นของพวกเรานับว่าหายกันแล้ว พรุ่งนี้หากยังมาพบเจอกันบนทางแคบในสำนักศึกษาอีก ใครวิ่งได้เร็วคนนั้นก็เป็นนายท่านใหญ่!”
จูเหลี่ยนทำท่ายกเท้าขึ้นถีบ
เพียงไม่นานหลี่ไหวก็หายวับไปไม่เหลือเงา
ทางฝั่งหอพักของหลี่เป่าผิง
หลี่เป่าผิงและเผยเฉียนนั่งคัดตัวอักษรบนโต๊ะเดียวกันโดยนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน
คนหนึ่งตวัดพู่กันเร็วราวกับบิน
อีกคนหนึ่งเชื่องช้าเป็นเต่าคลาน
ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงคัดเสร็จหนึ่งแผ่นก็จะตะโกนว่า ‘เจ้าไปได้’ จากนั้นก็วางพู่กันลง บิดข้อมือ ขยับมามองทางฝั่งของเผยเฉียน
เผยเฉียนเงียบงันไม่พูดไม่จา เหงื่อแตกท่วมเต็มศีรษะ
……
ในเขตการปกครองหลิวโจวซึ่งตั้งอยู่ติดกับเมืองหลวงต้าสุย จวนตระกูลไช่ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ได้ไม่นานมีแขกสูงศักดิ์ที่ ‘วัยวุฒิสูงอย่างที่สุด’ ท่านหนึ่งมาเยือน
เขาก็คือชุยตงซานที่ช่วงชิงฉายา ‘บรรพบุรุษตระกูลไช่’ มาให้กับตนโดยอาศัยสมบัติอาคมที่มีมากมายดารดาษในวัตถุจื่อชื่อจากศึกในสำนักศึกษาซานหยา
ดึกดื่นค่ำคืน เด็กหนุ่มชุดขาวมาทุบประตูจวนตระกูลไช่อย่างแรง ปากก็ตะโกนก้องเสียงดังว่า “ไช่เอ๋อร์น้อย ไช่เอ๋อร์น้อย รีบมาเปิดประตูเร็วเข้า!”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วยังมีชายฉกรรจ์ร่างเล็กเตี้ยแต่แข็งแรงกำยำติดตามมาด้านหลัง ข้างกายชายฉกรรจ์ยังมีวัวสีเหลืองอีกหนึ่งตัว
เทพเซียนผู้เฒ่าที่เป็นผู้ถวายการรับใช้ต้าสุยซึ่งเคยไปปักหลักอยู่ใกล้กับสำนักศึกษาเดินหน้าเขียวออกมาจากห้องลับ ทะยานตัวขึ้นจากลานบ้านพรวดเดียวก็มาอยู่บนถนนด้านนอกประตูใหญ่จวนตัวเอง “เจ้าคนแซ่ชุย เจ้ามาทำอะไร?!”
ปีนั้นกลางอากาศเหนือ ‘ภูเขาตงซานน้อย’ ที่ชาวบ้านเมืองหลวงต้าสุยเรียกกันติดปาก ชุยตงซานกับไช่จิงเสินเคยมีการประมือระหว่างเทพเซียนที่ยิ่งใหญ่ตระการตา
ชุยตงซานที่คว้าชัยชนะจนมีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนจัดงานเลี้ยงฉลองดอกไม้ไฟโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายให้กับชาวบ้านครั้งใหญ่ คืนนั้นไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไหร่ในเมืองหลวงที่เงยหน้ามองไปทางภูเขาตงหัวของสำนักศึกษาด้วยอารมณ์สดชื่นรื่นรมย์
เนื่องจากตระกูลไช่มีบรรพบุรุษเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งเป็นดั่งเสาเทพค้ำยันมหาสมุทร เดิมทีจึงเปี่ยมไปด้วยบารมีอำนาจในเมืองหลวง แต่ผลกลับกลายเป็นว่าต้องย้ายออกจากเมืองไป ทิ้งไว้เพียงลูกหลานในตระกูลคนหนึ่งที่เป็นขุนนางอยู่ในเมืองหลวงให้เฝ้าบ้านที่มีขนาดใหญ่ไม่แพ้จวนของอ๋องหรือโหว
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ “จิงเสิน เกรงใจกันขนาดนี้เชียว ถึงขนาดออกมาต้อนรับด้วยตัวเองเลยหรือ? ไปๆๆ รีบเข้าไปนั่งในบ้านของพวกเรากันเถอะ เข้าเมืองมาค่อนข้างดึก แถมยังเป็นช่วงห้ามเข้าออกเคหะสถานยามวิกาล ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว เจ้ารีบไปสั่งให้คนทำอาหารมื้อดึกมาให้ข้าที พวกเราปู่หลานจะได้พูดคุยกันดีๆ”
ไช่จิงเสินหน้าดำทะมึน “ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า”
ชุยตงซานพลันเต้นผาง ยื่นนิ้วมาชี้หน้าไช่จิงเสินพลางผรุสวาท “เจ้าหลานเต่าไม่รู้จักบรรพบุรุษ ให้หน้าเจ้าแต่เจ้าไม่ยอมรับใช่ไหม? มาๆๆ พวกเรามาสู้กันอีกสักที คราวนี้หากเจ้าสามารถต้านรับสมบัติอาคมห้าสิบชิ้นของข้าได้ ก็เปลี่ยนมาเป็นข้าที่ต้องเรียกเจ้าว่าบรรพบุรุษ หากเจ้าต้านทานไม่ไหว พรุ่งนี้เช้าเจ้าก็ต้องขี่ม้าไปบนถนน ตะโกนบอกว่าตัวเองคือหลานคนดีของข้าชุยตงซานหนึ่งพันรอบ!”
ไช่จิงเสินเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ หากคืนนี้เจ้าไม่สังหารข้า ก็อย่าหวังว่าจะได้เหยียบเข้ามาในบ้านตระกูลไช่ของข้าแม้แต่ครึ่งก้าว!”
ร่างของชุยตงซานพุ่งวูบออกไป ใช้วิชาย่อพื้นที่ให้เล็กลง มองดูเหมือนวิชาย่อพื้นที่ทั่วไป แต่อันที่จริงกลับแตกต่างจากสายของลัทธิเต๋าทั่วไปอยู่มาก ชุยตงซานพุ่งตัววูบกลับมาอีกครั้ง กลับมายืนอยู่ที่เดิม “ว่าไง? เจ้าจะปาดคอตัวเองฆ่าตัวตายไหม? เจ้าที่เป็นหลานไม่กตัญญู ข้าที่เป็นบรรพบุรุษจะไม่ยอมรับเจ้าเป็นหลานก็ไม่ได้ ดังนั้นข้าจะให้เจ้ายืมสมบัติอาคมที่คมกริบหลายๆ ชิ้น เจ้าจะได้ไม่ต้องพูดว่าไม่มีอาวุธที่เหมาะมือในการฆ่าตัวตาย…”
เจ้าหมอนี่พูดจ้อไม่จบไม่สิ้นสักที
ผู้เฒ่าร่างกำยำโมโหจนลมปราณในจุดตันเถียนถาโถมเป็นลูกคลื่นซัดตลบอบอวล ดั่งลมพัดกระพือไฟให้โหมแรง พลังอำนาจพลันทะยานเพิ่มพูน
ชุยตงซานหุบยิ้มฉับ หรี่ตาลง พูดด้วยน้ำเสียงอึมครึมว่า “เจ้าตะพาบน้อย เจ้าคงรู้สึกว่าศึกบนภูเขาตงหัว ข้าผู้เป็นบรรพบุรุษได้เปรียบด้านชัยภูมิเพราะอยู่ในสำนักศึกษา ดังนั้นเจ้าเลยแพ้อย่างไม่เป็นธรรม ใช่ไหม?”
ทะเลสาบหัวใจของไช่จิงเสินสั่นสะเทือนไม่หยุด และในเสี้ยวนาทีที่ศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายกำลังจะปะทุขึ้นนั้น เขาพลันค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่าในดวงตาคู่นั้นของชุยตงซาน ตาดำของเขาเป็นแนวตั้ง อีกทั้งยังเปล่งประกายแสงสีทองบาดตา
ไช่จิงเสินเหมือนถูกเจียวหลงบรรพกาลที่ชอบก่อลมสร้างมรสุมจับจ้อง
เย็นวาบไปทั้งสันหลัง
ไช่จิงเสินรีบเก็บท่าทางดุดันน่าเกรงขามทั้งหมดลงไปทันที ผายฝ่ามือข้างหนึ่ง พูดเสียงหนัก “เชิญ!”
ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูที่แอบมองลอดร่องประตู จากตอนแรกที่ยังงัวเงีย มาจนถึงมือเย็นเท้าเย็นเฉียบ แล้วก็จนบัดนี้ที่รู้สึกเหมือนสูญเสียบิดารีบเปิดประตูด้วยอาการตัวสั่นงันงก
ชุยตงซานเดินอาดๆ ก้าวข้ามธรณีประตูไปก่อน
ไช่จิงเสินตามมาด้านหลังติดๆ
เว่ยเซี่ยนและวัวเหลืองตัวนั้นก็เดินตามเข้ามาในจวนของตระกูลไช่
พอคนเฝ้าประตูปิดประตูบ้านลงแล้ว ในใจก็ทอดถอนใจไม่หยุด กว่าจะหลบพ้นมารแห่งหายนะผู้นี้มาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านบรรพบุรุษแสดงฝีมืออันน่ายำเกรง ช่วยให้ใต้เท้าผู้ว่าฯ ปราบปรามปีศาจลำคลองเจ้าเล่ห์ที่ออกอาละวาดตัวหนึ่งได้ ถึงกอบกู้บารมีมาให้กับตระกูลไช่ได้ใหม่อีกครั้ง แต่นี่เพิ่งจะอยู่อย่างสงบสุขได้แค่ไม่กี่วันก็เอาอีกแล้ว สมกับคำว่าผู้มาเยือนไม่มีเจตนาดี ผู้มีเจตนาดีไม่มาเยือนจริงๆ หวังเพียงว่าหลังจากนี้จะเป็นการปรองดองที่ก่อให้เกิดโชคลาภ อย่าได้มีเรื่องมีราวอะไรอีกเลย
ชุยตงซานพร่ำพูดว่าต้องการอาหารมื้อดึก จำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ ไช่จิงเสินก็ทน บอกให้นำสุราที่แพงที่สุดของเขตการปกครองมาให้ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแซ่เว่ยผู้นั้นไหหนึ่ง ก็ยังทน แม้แต่ปีศาจวัวเหลืองตัวเล็กๆ ที่เป็นแค่ขอบเขตประตูมังกรก็ยังต้องการเรือนพักส่วนตัวแห่งหนึ่งในจวนตระกูลไช่แห่งนี้ ไช่จิงเสินไม่ไหวจะทน…แต่ก็ต้องทน
ไช่จิงเสินโบกมือไล่สาวใช้สองคนของจวนที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ เมื่อไม่มีคนนอกอยู่ด้วยจึงเปิดปากถามว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? รีบๆ พูดมาเถอะ!”
ชุยตงซานยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งจ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน ทั้งดื่มสุราและสวาปามอาหารเลิศรสไปพร้อมกันโดยไม่ให้เสียเวลา พูดเสียงอู้อี้ตอบว่า “จะดีจะชั่วเจ้าอยู่ในเมืองหลวงต้าสุยก็เป็นงูเจ้าถิ่นมาร้อยกว่าปี ไหนลองบอกข้ามาหน่อยสิ เจ้าคนโง่ที่วางแผนลอบสังหารครั้งนั้น ใครมันอยู่เบื้องหลังกันแน่ ถังจวงซานแม่ทัพทหารม้าจู่โจม เถาจิ้วรองเจ้ากรมกลาโหมฝ่ายขวา เหมียวเริ่นแม่ทัพหลงหนิว คนพวกนี้ไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้าก็รู้ แต่เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจว่าคนพวกนี้ไม่ใช่พวกผู้อาวุโสใหญ่ในราชสำนักและบนภูเขาของต้าสุยที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนเรื่องนี้อย่างแท้จริง เจ้ารู้จักกี่คนก็บอกมาให้หมด ลองพูดมาสิ”
หนังตาไช่จิงเสินกระตุกเบาๆ
ชุยตงซานโยนน่องเป็ดที่หมักด้วยน้ำจิ้มสูตรพิเศษจนมีรสชาติอร่อยอย่างถึงที่สุดชิ้นหนึ่งทิ้ง เลียนิ้วตัวเอง ชำเลืองตามองไช่จิงเสิน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ทุกครั้งที่เจ้าพูดชื่อคนเบื้องหลังที่มีความเกี่ยวพันกับเรื่องนี้หนึ่งคน ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดชื่อของคนคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรเลยมาเพิ่มอีกคน จะเป็นศัตรูคู่อาฆาตบนภูเขาที่มีความแค้นต่อกันมานาน หรือจะเป็นพวกเชื้อพระวงศ์สกุลเกาที่เจ้าแค่รู้สึกไม่ถูกชะตาก็ได้”
ชุยตงซานเรอดังเอิ้ก “ก่อนที่ข้าจะกินอาหารมื้อดึกมื้อนี้อิ่ม วิธีการนี้จะยังใช้ได้ผล แต่หากกินอิ่มแล้ว ตระกูลไช่ของพวกเจ้าก็จะไม่มีโอกาสนี้อีก เจ้าอาจจะยังไม่รู้ว่า ลูกหลานสกุลไช่ที่เจ้าทิ้งไว้ในเมืองหลวงผู้นั้น อืม หรือก็คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตตระกูลไช่ที่ทำงานอยู่ในกั๋วจื่อเจียน เขาก็เป็นแค่หนึ่งในพลทหารเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น ก็เป็นบัณฑิตนี่นะ ไม่อยากจะมองเห็นต้าสุยต้องตกต่ำคาตาตัวเอง จึงไม่ยอมก้มหัวให้กับคนเถื่อนต้าหลี เรื่องนี้สามารถเข้าใจได้ สกุลเกาเลี้ยงดูคนมีความสามารถมานานหลายร้อยปี แค่คนคนเดียวต้องตายเพื่อตอบแทนบ้านเมืองก็ไม่น่าเสียดาย และข้าก็ยิ่งรู้สึกชื่นชม เพียงแต่ว่าความเข้าใจและการชื่นชมไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้ เพราะฉะนั้นไช่จิงเสิน เจ้าคิดดูเอาเองแล้วกันว่าต้องทำอย่างไร”
แล้วชุยตงซานก็เริ่มก้มหน้าก้มตาสวาปามอีกครั้ง
ไช่จิงเสินถามเสียงทุ้มหนัก “ข้าต้องการรู้เรื่องหนึ่งก่อน ไช่เฟิงมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งจริงหรือไม่?!”
ชุยตงซานเอ่ยเย้ยหยัน “มาดแห่งนักประพันธ์และปณิธานอันยิ่งใหญ่ของไช่เฟิง ยังต้องให้ข้ามาพูดให้เปลืองน้ำลายอีกหรือ? คิดว่าข้าผู้อาวุโสเป็นบรรพบุรุษของตระกูลไช่เจ้าจริงๆ หรือไง?”
สีหน้าของไช่จิงเสินเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
อย่าเห็นว่าเขาคือเซียนดินก่อกำเนิดที่มีคุณสมบัติมากพอจะมองอ๋องและโหวด้วยสายตาดูแคลน คือผู้ถวายการรับใช้ใหญ่ของตระกูลเซียนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้
แต่การปกป้องคุ้มครองตระกูลคือเรื่องที่คนเป็นบรรพบุรุษต้องทำซึ่งถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ บรรพบุรุษที่ตายไปได้แต่อาศัยผลบุญในปรโลกที่ลี้ลับมหัศจรรย์ คนที่ฝึกตนอย่างไช่จิงเสินนี้ แน่นอนว่าต้องกะประมาณให้พอเหมาะพอดี ทั้งไม่เป็นอุปสรรคต่อการฝึกตนของตัวเอง แล้วก็ต้องประคับประคองสนับสนุนเหล่าต้นกล้าที่ดีที่มีโอกาสว่าจะย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงดูแลวงศ์ตระกูลด้วย ส่วนข้อที่ว่าพวกลูกหลานคนรุ่นหลังจะเดินไปบนเส้นทางบุ๋นบู๊อันยิ่งใหญ่หรือเดินไปบนเส้นทางการฝึกตน การสร้างเกียรติยศและชื่อเสียง นำพาความรุ่งโรจน์มาสู่วงศ์ตระกูลก็ล้วนเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว
ในช่วงระยะเวลาร้อยกว่าปีมานี้ ตระกูลไช่มีผู้ฝึกลมปราณที่ตบะไม่สูงไม่ต่ำปรากฏขึ้นคนเดียว ต่อให้ได้รับคำชี้แนะไขข้อข้องใจจากไช่จิงเสินรวมไปถึงมีเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ให้ใช้ไม่ขาด แต่ตอนนี้ก็ยังหยุดชะงักอยู่ที่ขอบเขตถ้ำสถิต อีกทั้งเส้นทางในอนาคตมีจำกัดจำเขี่ยนัก
ดังนั้นไช่จิงเสินจึงฝากความหวังไว้ที่ไช่เฟิงซึ่งสอบติดเป็นปั้งเหยี่ยนมากกว่า ถึงขั้นที่ว่าการเลื่อนขั้นในวงการขุนนางของไช่เฟิงในอีกห้าหกปีให้หลัง คำยกย่องสรรเสริญว่าเหวินเจิน (เป็นบรรดาศักดิ์ที่สูงที่สุด หมายถึงผู้ที่มีความสามารถด้านวรรณกรรมและซื่อสัตย์จงรักภักดี) ที่ฮ่องเต้จะประทานให้หลังจากเขาตายไป จากนั้นจิตหยินของเขาก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ต่อมาก็ถูกราชสำนักต้าสุยแต่งตั้งให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำศาลเทพอภิบาลเมืองในอำเภอ และเมื่อผ่านการดำเนินการไปอีกร้อยกว่าปีก็ค่อยๆ ได้ยกระดับขึ้นเป็นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครอง ไช่จิงเสินล้วนเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ขอแค่ไช่เฟิงทำตามขั้นตอนที่เขาวางไว้ก็จะสามารถเดินไปถึงตำแหน่งสูงอย่างการเป็นเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแห่งหนึ่ง และนี่ก็สุดความสามารถที่เซียนดินก่อกำเนิดท่านหนึ่งจะทำได้แล้ว หลังจากนั้นก็ได้แต่ต้องให้ตัวไช่เฟิงไปช่วงชิงโชควาสนาบนมหามรรคาที่มากกว่านั้นด้วยตัวเอง
ลมและน้ำ (หรือก็คือฮวงจุ้ย) หมุนเวียนผลัดเปลี่ยน สามสิบปีก่อนอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีหลังอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ คนธรรมดายากที่จะคว้าจับเอาไว้ได้ หากพลาดไปครั้งหนึ่งก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกตลอดชีวิต แต่ผู้ฝึกลมปราณนั้นไม่เหมือนกัน ขอแค่มีชีวิตอยู่ได้นานมากพอ สักวันหนึ่งลมและน้ำต้องไหลเข้าหาบ้านของตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถใช้วิชาลับตระกูลเซียนพยายามกักเก็บมันไว้ในบ้านของตน สั่งสมรากฐานไว้อย่างต่อเนื่องเหมือนที่คนธรรมดาสั่งสมแก้วแหวนเงินทองเป็นทรัพย์สมบัติ และนั่นก็จะทำให้มีคนจิ๋วควันธูปคนแล้วคนเล่าก่อกำเนิดขึ้นมา
ไม่ว่าอย่างไรไช่จิงเสินก็คิดไม่ถึงเลยว่าไช่เฟิงผู้นี้จะไม่ต้องการอนาคตที่ยาวไกล ดันเลือกจะเข้ามามีส่วนร่วมกับแผนการนี้ลับหลังตนและคนทั้งตระกูลราวกับน้ำเข้าสมองอย่างไรอย่างนั้น
ชุยตงซานวางตะเกียบลงเบาๆ
—–