ก่อนที่เฉินผิงอันจะลงเขาไป ‘เสี่ยงดวงบุ๋น’ ที่ศาลบุ๋นในเมืองหลวงพร้อมกับเหมาเสี่ยวตงก็ต้องตระเตรียมการไว้ในสำนักศึกษาให้เรียบร้อยก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นมุดช่องโหว่เข้ามาได้ หวังจะล่อให้คนอื่นติดเบ็ดแต่ไม่สำเร็จ กลับกลายเป็นว่ายกแผนล่อเสือออกจากภูเขาให้แก่ศัตรูไปเปล่าๆ
เขาบอกให้เผยเฉียนย้ายออกมาจากหอพักแขก ไปพักอยู่ในเรือนที่มีเซี่ยเซี่ยคอยดูแล มีสือโหรวอยู่เคียงข้าง และเฉินผิงอันก็ยังมอบเชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นนั้นไว้ให้สือโหรวด้วย
เมื่อวานตอนกลางวันหลินโส่วอีก็มาฝึกตนที่เรือนในนามของชุยตงซานแห่งนี้แล้ว บวกกับมี ‘ตู้เม่า’ มาอยู่ด้วย หลินโส่วอีที่ได้พูดคุยกับเฉินผิงอันแล้วก็เลือกจะพักอยู่ในเรือนแห่งนี้อย่างใจกว้าง
จากนั้นเฉินผิงอันก็บอกให้จูเหลี่ยนและอวี๋ลู่คอยดูแลหลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวอย่างลับๆ
จูเหลี่ยน อวี๋ลู่ คนหนึ่งคือผู้เฒ่าหลังค่อมที่พอเห็นผู้หญิงก็จะยิ้มตาหยี อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มักจะมีรอยยิ้มบางๆ แต่งแต้มใบหน้าอยู่เสมอ ใครเล่าจะคาดคิดได้ว่าทั้งสองคนต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเดินทางไกล
บอกให้ตอนกลางคืนหลี่เป่าผิงไปนอนในห้องหลักของชุยตงซานกับเผยเฉียน เชื่อว่าชุยตงซานคงไม่ถือสา แล้วก็ไม่กล้าถือสาด้วย
เซี่ยเซี่ยและหลินโส่วอีต่างก็พักอยู่ในห้องข้างคนละห้อง สือโหรวเป็นวัตถุหยินจึงให้ทำหน้าที่เฝ้ายามตอนกลางคืน ส่วนหลี่ไหวก็นอนเบียดอยู่กับหลินโส่วอี
จูเหลี่ยนไม่ต้องพักอยู่ในบ้าน ตอนกลางคืนให้เขาไปนอนในห้องเดิมที่หอพักแขกก็พอ
แต่อวี๋ลู่จำเป็นต้องช่วยสือโหรวเฝ้ายามคนละครึ่งคืน
เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อว่าสือโหรวจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกได้
แต่ในเรื่องนี้อวี๋ลู่กลับทำให้คนวางใจได้มาโดยตลอด
ส่วนทางห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตงนั้น ในบรรดาอาจารย์ผู้เฒ่าที่เดินลาดตระเวนตอนกลางคืนก็มีทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ อย่างเช่นต่งจิ้งผู้มากความรู้ที่โปรดปรานหลินโส่วอีก็คือผู้ฝึกตนโอสถทองเฒ่าที่เชี่ยวชาญวิชาอสนีคนหนึ่ง และยังมีเซียนดินก่อกำเนิดที่ไม่เคยเปิดเผยตัวตน ยิ่งไม่มีใครรู้ในสถานะแท้จริงของเขาอีกคนหนึ่ง เขาเองก็มาจากต้าหลีเหมือนกับเหมาเสี่ยวตง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าแซ่เหลียงที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา ในช่วงเวลาที่สำคัญ คนผู้นี้สามารถนั่งบัญชาการณ์สำนักศึกษาแทนเหมาเสี่ยวตงได้
สุดท้ายเฉินผิงอันเรียกหลี่เป่าผิงไปคุยเป็นการส่วนตัว มอบวัตถุสองชิ้นที่ได้มาจากหลี่เป่าเจินให้แก่นาง หนึ่งคือหยกพกที่สลักคำว่า ‘วังมังกร’ อีกหนึ่งคือยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดหนึ่งแผ่น
หลี่เป่าผิงรู้สึกฉงนสนเท่ห์เล็กน้อย
เฉินผิงอันไม่ได้ปิดบัง เขาเล่าเรื่องที่ตัวเองพบกับหลี่เป่าเจินที่แคว้นชิงหลวนโดยบังเอิญให้หลี่เป่าผิงฟังคร่าวๆ สุดท้ายลูบศีรษะหลี่เป่าผิง เอ่ยเบาๆ ว่า “วันหน้าข้าไม่มีทางเป็นฝ่ายไปหาพี่รองของเจ้าก่อน และจะพยายามหลบเลี่ยงเขาอย่างสุดความสามารถ แต่หากหลี่เป่าเจินไม่ล้มเลิกความคิด หรือรู้สึกว่าได้รับความอัปยศครั้งใหญ่ตอนอยู่สวนสิงโต ในอนาคตเกิดปัญหาขัดแย้งกันขึ้นมาอีกครั้ง ข้าจะไม่มีทางออมมือให้เขาอีก แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
หลี่เป่าผิงรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เพียงแต่ดวงตาของนางยังฉายประกายเจิดจ้า “อาจารย์อาน้อย ท่านกับพี่รองของข้าใช้กฎยุทธภพที่ว่าบุญคุณความแค้นแบ่งแยกชัดเจนต่อกันได้เลย…”
หลี่เป่าผิงเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “อาจารย์อาน้อย ถ้าอย่างนั้นข้าสามารถเขียนจดหมายไปให้พี่ชายใหญ่ได้ไหม บอกให้เขาช่วยเกลี้ยกล่อมพี่รอง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “ได้สิ”
หลี่เป่าผิงเตรียมจะมอบแผ่นหยกและยันต์ให้กับเฉินผิงอัน
ก่อนที่อาจารย์อาน้อยจะลงจากภูเขาไปครั้งนี้ได้บอกเล่าสถานการณ์ในปัจจุบันให้พวกเขาฟังเรียบร้อยแล้ว
หลี่เป่าผิงจึงอยากให้อาจารย์อาน้อยมีของติดกายเพิ่มไปอีกสักสองชิ้น
แต่เฉินผิงอันกลับยิ้มแล้วพูดขึ้นก่อนว่า “ตอนอยู่สวนสิงโตข้าได้ร่วมมือกับนักพรตหญิงมีดอาคมที่ร้ายกาจมากคนหนึ่งจับปีศาจตนหนึ่งที่หาได้ยาก เรียกได้ว่าเป็นอ่างรวมสมบัติที่มีชีวิต ได้ผลเก็บเกี่ยวมามากมาย นักพรตหญิงคนนั้นยึดเอาปีศาจไป แต่นางก็ได้มอบเงินฝนธัญพืชให้เป็นค่าชดเชยและตอบแทนแก่ข้าหกสิบสองเหรียญ ดังนั้นข้าจึงอยากยืมยันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรีแผ่นนั้นจากเจ้า ไม่ใช่ซื้อ แต่เป็นยืม ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการรับจำนำ เพียงแต่พวกเราสลับตำแหน่งกัน เจ้าเอายันต์มาจำนำกับข้า ข้าก็จะมอบเงินฝนธัญพืชให้เจ้า เพราะระดับขั้นของยันต์แผ่นนี้สูงมาก ไม่ใช่ยันต์ประเภทที่ใช้ได้ครั้งเดียวแล้วต้องทิ้ง สามารถนำมาใช้ซ้ำได้ ขอแค่มีเงินเทพเซียนมากพอ เทพท่องทิวาราตรีสององค์นั้นก็สามารถดำรงอยู่บนโลกไปได้ตลอด ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ถูกสลายปราณวิญญาณร่างทองไปแล้ว แต่ขอแค่คนวาดยันต์มีความสามารถที่จะแต้มนัยน์ตามังกรลงไปบนแก่นของยันต์ ก็ยังสามารถทำให้องค์เทพทั้งสองเผยร่างได้อยู่ดี บอกตามตรง เงินฝนธัญพืชหกสิบสองเหรียญคือเงินก้อนใหญ่มาก แต่เอามาซื้อยันต์ที่มีมูลค่าควรเมืองเช่นนี้ก็ยังไม่มากพออยู่ดี ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ซื้อยันต์…”
อดทนฟังอยู่นาน หลี่เป่าผิงที่ทนต่อไปไม่ไหวก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง “อาจารย์อาน้อย ท่านทำตัวเป็นคนนอกกับข้าแบบนี้ ข้าเสียใจมากนะ”
เฉินผิงอันอธิบายอย่างใจเย็น “ไม่ว่ากับเจ้าหรือพี่ชายใหญ่ของเจ้า ข้าล้วนไม่เห็นเป็นคนนอก แต่ถ้ากับคนทั้งตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่ ข้ากลับยังต้องเห็นตัวเองเป็นคนนอกสักหน่อย ในช่วงเวลาระหว่างที่อาจารย์อาน้อยรับจำนำยันต์แผ่นนี้ชั่วคราว เจ้าสามารถบอกให้เจ้าขุนเขาเหมาช่วยนำเงินฝนธัญพืชก้อนนั้นส่งไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้ท่านปู่ของเจ้าเป็นเทพเซียนก่อกำเนิดที่เกิดและเติบโตมาในบ้านเกิดของพวกเรา ไม่ว่าจะสมบัติอาคมแบบใดก็ไม่น่าจะขาดแคลน ถึงอย่างไรหากจะพูดถึงความสามารถด้านการเก็บตกของดีในถ้ำสวรรค์หลีจู สี่แซ่สิบตระกูลย่อมต้องเชี่ยวชาญมากที่สุด แต่เงินเทพเซียนยิ่งมีมากกลับยิ่งดีสำหรับท่านปู่ของเจ้าในเวลานี้ แม้จะบอกว่าสมบัติอาคมที่เป็นสมบัติก้นกรุในตระกูลก็เอาไปขายแลกเงินได้เหมือนกัน ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะขายไม่ออก เพียงแต่ว่าสำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว หากไม่ใช่สมบัติอาคมสมบัติวิเศษที่ไม่สอดคล้องกับมหามรรคาของตนจริงๆ โดยทั่วไปก็ไม่มีใครยินดีเอาออกมาขาย”
หลี่เป่าผิงยิ้มหน้าบาน “ที่แท้อาจารย์อาน้อยก็คิดทำเพื่อข้างั้นหรือ ข้าเข้าใจอาจารย์อาน้อยผิดไปเอง เสียมารยาท เสียมารยาทแล้ว ผิดไปแล้วๆ”
พูดจบหลี่เป่าผิงก็ประสานมือคารวะขออภัยอย่างเข้าท่าเข้าที
พอหลี่เป่าผิงยืดตัวขึ้นตรงแล้ว เฉินผิงอันก็ยื่นมือสองข้างไปบีบแก้มนาง ยิ้มพูดสัพยอก “ฉวยโอกาสตอนที่เป่าผิงน้อยยังไม่โต เวลานี้ต้องรีบบีบไว้ก่อน”
หลี่เป่าผิงยืนนิ่ง ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเฉลียวฉลาดมีชีวิตชีวาคู่นั้นโค้งหยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว
สุดท้ายเฉินผิงอันยืนมองหลี่เป่าผิงวิ่งตะบึงจากไป
แล้วเขาก็ไปที่ประตูภูเขาของสำนักศึกษา เหมาเสี่ยวตงมารออยู่นานมากแล้ว
คนทั้งสองออกจากสำนักศึกษา เดินผ่านถนนใหญ่ เลี้ยวเข้าไปในถนนป๋ายเหมา เวลานี้เฉินผิงอันถึงได้ส่งมอบยันต์แผ่นนั้นให้เหมาเสี่ยวตงเงียบๆ
เหมาเสี่ยวตงชำเลืองตามามอง รับมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ
ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจถามเฉินผิงอัน “ยันต์แผ่นนี้ไม่เคยเห็นมาก่อน วัสดุของยันต์ก็แปลกประหลาด มันคือยันต์อะไร?”
เฉินผิงอันใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวตอบกลับไป “คือยันต์โบราณชนิดหนึ่งในตำรา ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ชื่อว่ายันต์ร่างจริงเทพท่องทิวาราตรี แก่นของมันอยู่ที่สองคำว่า ‘ร่างจริง’ ในตำรากล่าวไว้ว่าสามารถเชื่อมโยงเข้ากับร่างจริงของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แค่เชื่อมโยงกับแสงศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อยของแก่นยันต์ที่พรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าใช้กัน ทำให้กายธรรมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เชิญออกมาเหมือนด้านรูปลักษณ์มากกว่าเหมือนด้านจิตวิญญาณ ทว่ายันต์แผ่นนี้กลับมีส่วนของจิตวิญญาณมากกว่า ว่ากันว่าแฝงความศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วยส่วนหนึ่ง”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็อธิบายวิธีควบคุมและเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับยันต์แผ่นนี้อย่างละเอียด
เหมาเสี่ยวตงยิ่งฟังก็ยิ่งตกตะลึง “ยันต์ล้ำค่าขนาดนี้ เอามาจากไหน?”
เฉินผิงอันละเรื่องความแค้นส่วนตัวระหว่างตนเองกับหลี่เป่าเจินเอาไว้ไม่กล่าวถึง บอกแค่ว่ามีคนไหว้วานให้เขานำมามอบให้หลี่เป่าผิงใช้เป็นยันต์ปกป้องกาย
เหมาเสี่ยวตงยิ้มถาม “แล้วเจ้าก็มอบมันให้ข้าแบบนี้เนี่ยนะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “อยู่ในมือของเจ้าขุนเขาเหมาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้สูงสุด ข้าที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ใช้ยันต์ไม่อาจใช้ได้อย่างถูกวิธี เมื่อไม่ได้เรียนวิชาที่ถูกต้องดั้งเดิมที่สุดของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มา ก็ง่ายที่จะทำร้ายจิตแห่งยันต์และพลังต้นกำเนิดของมัน ไม่ว่ายันต์ชนิดไหน หากถูกข้าเปิดภูเขาจุดแสงแห่งจิตวิญญาณก็ล้วนถือเป็นการสูบน้ำในบ่อให้แห้งเพื่อจับปลา” (เปรียบเปรยว่าเห็นแค่ผลประโยชน์ตรงหน้า ไม่ได้มองผลในระยะยาว)
เหมาเสี่ยวตงพูดประโยคแปลกแปร่งขึ้นมา “ดีนักนะ ในที่สุดข้าก็ได้เจอกับตัวแล้ว”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เหมาเสี่ยวตงเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรต่อ
ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องเล็กที่ถูกชุยตงซานเรียกว่ากุมารแจกทรัพย์ เห็นใครก็ชอบมอบของขวัญกระจายทรัพย์สินจริงๆ สินะ?
คนทั้งสองเดินกันไปบนถนนป๋ายเหมา เฉินผิงอันถามว่า “เป่าผิงน้อยโดดเรียนหลายคาบเพื่ออาจารย์อาน้อยอย่างข้า เจ้าขุนเขาเหมาไม่กังวลเรื่องการเรียนของนางหรือ?”
เหมาเสี่ยวตงกล่าว “หลี่เป่าผิงต่างหากถึงจะเป็นคนที่ทำถูกที่สุดในสำนักศึกษาของพวกเรา ในสำนักศึกษาซานหยามีตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนักเก็บรักษาไว้มากมาย เพียงแต่ว่าเรื่องของการเรียนหนังสือนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก หากเจ้าไม่จริงใจ ไม่มีไหวพริบมากพอ ตัวอักษรแต่ละตัวในตำราก็ช่างเจ้าแง่แสนงอนและหยิ่งผยองมากนัก ตัวอักษรทั้งหลายไม่มีขาเดินออกจากตำราวิ่งเข้าไปอยู่ในท้องคนอ่านด้วยตัวเอง แต่หลี่เป่าผิงกลับทำได้ดีมาก หลักการเหตุผลที่บรรยายไว้ในตำราต่างก็ไม่ยิ่งใหญ่ แต่พวกมันไม่เพียงแต่มีขาเข้าไปอยู่ในท้องนาง ยังมีบางส่วนที่เข้าไปอยู่ในหัวใจ สุดท้ายตัวอักษรเหล่านี้ยังย้อนกลับไปที่ฟ้าดินที่โลกมนุษย์ จากนั้นก็วิ่งออกมาจากหัวใจ ติดปีกบินไปบนรถเทียมวัวของชายชราขายถ่านที่นางช่วยเข็น หล่นลงบนกระดานหมากล้อมที่นางไปยืนดูโดยไม่เอ่ยอะไร ไปอยู่ยังสถานที่ที่นางช่วยแยกเด็กเกเรสองคนไม่ให้ตีกัน วิ่งไปบนร่างของหญิงชราที่นางเป็นผู้ประคอง…มองดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยยิบย่อย แต่อันที่จริงกลับร้ายกาจมาก เหล่านักปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อพวกเราต่างก็แสวงหาสิ่งนี้มาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? สามอมตะของการเรียนหนังสือ คนรุ่นหลังมักจะต้องการสามสิ่งได้แก่คำพูด คุณความชอบและคุณธรรมที่สุด แต่ไม่รู้เลยว่าคำว่า ‘ยืน’ จึงจะเป็นรากฐานที่แท้จริง ทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าหยัดยืน ยืนได้อยู่ นี่ต้องมีความรู้มาก”
เหมาเสี่ยวตงเอาสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองท้องฟ้าของเมืองหลวง “เฉินผิงอัน เจ้าพลาดทิวทัศน์ที่งดงามไปมากมาย ทุกครั้งที่เป่าผิงน้อยออกไปเที่ยวข้างนอก ข้าจะต้องแอบติดตามไปด้วยเงียบๆ เมืองหลวงต้าสุยแห่งนี้ พอมีแม่นางน้อยสวมชุดสีแดงที่ร่าเริงสดใสปรากฎตัว ก็ดูเหมือนว่าจะ…กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง”
เหมาเสี่ยวตงพูดตามความรู้สึกของตัวเอง เฉินผิงอันพลันอารมณ์ดี รู้สึกดีใจแทนหลี่เป่าผิงที่ได้ผลเก็บเกี่ยวจากการมาเรียนที่สำนักศึกษา
เหมาเสี่ยวตงพลันเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้าอ่านทั้งตำราของลัทธิขงจื๊อและสำนักนิติธรรม ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเตือนเจ้าสักสองสามคำ หากเรียนรู้จากลัทธิขงจื๊อแบบหลากหลายไม่ลึกซึ้ง ก็ง่ายที่ความรู้จะปนกันเหมือนแป้งเปียก ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องอะไรก็ราวกับจะสามารถหาเหตุผลหลักการที่ตัวเองต้องการเจอได้เสมอ นี่กลับกลายเป็นว่าจะทำให้คนสับสนมึนงง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวพันกับปัญหาใหญ่ก็จะยิ่งทำให้คนรู้สึกเลื่อนลอยเคว้งคว้าง แต่เจ้าเองก็น่าจะเคยสังเกตเห็นว่า เหตุใดประวัติศาสตร์ทุกยุคทุกสมัยถึงไม่เคยมีกษัตริย์ของแคว้นใดเต็มใจป่าวประกาศว่าเคารพเชิดชูสำนักนิติธรรมเพียงสำนักเดียว”
ไม่รอให้เฉินผิงอันเอ่ยอะไร เหมาเสี่ยวตงก็ชิงโบกมือเสียก่อน “เจ้าดูแคลนความใจกว้างของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อมากเกินไป แล้วก็ดูแคลนศักยภาพของอริยะสำนักนิติธรรมมากเกินไป”
เหมาเสี่ยวตงทอดถอนใจเสียงเบา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหล่าอริยะมองความสูงต่ำตื้นลึกของความรู้ในหนึ่งสายอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เรื่องนี้ข้าไม่รู้แน่นอน”
เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงตามจิตใต้สำนึก คำพูดที่ออกมาจากใจจริงเหล่านี้ของเจ้าขุนเขาเหมา เมื่อดื่มเหล้าจะได้รสชาติดีเยี่ยมอย่างถึงที่สุด ทำให้รสชาตินี้อวลอลค้างอยู่ในลำคอของเฉินผิงอันได้เนิ่นนาน
เหมาเสี่ยวตงชี้ไปยังกระแสผู้คนที่เดินกันขวักไขว่บนถนนอย่างไม่ใส่ใจพลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่น ลัทธิขงจื๊ออยากให้คนเข้าใกล้ สำนักนิติธรรมทำให้คนอยากอยู่ห่างไกล”
เฉินผิงอันทำท่าครุ่นคิดตาม
เหมาเสี่ยวตงกล่าว “นี่เป็นเพียงแค่ความคิดของข้าเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกต้อง หากเจ้าคิดว่ามีประโยชน์ก็เอาไปใช้ ขบเคี้ยวเป็นกับแกล้มคู่สุรา หากรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ก็โยนมันทิ้งไว้ข้างๆ ไม่เป็นไร ในตำรามีถ้อยคำที่ล้ำค่ามากมายถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่เห็นว่าคนบนโลกจะรู้จักเห็นค่าทะนุถนอมหรือนำมาขบคิดให้ละเอียดสักเท่าไหร่ ความรู้แค่ครึ่งถังของข้าเหมาเสี่ยวตง ไม่นับว่าเป็นอะไรได้เลยจริงๆ”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า ไม่เอ่ยอะไร