ซ่งจี๋ซินถามด้วยรอยยิ้ม “ได้พบเจ้าและได้ขอร้องตามที่ต้องการไปแล้ว ข้าก็กลับไปได้ด้วยความสบายใจแล้ว ใช่แล้ว จื้อกุยรอข้าอยู่ที่หน้าประตูสำนักตรงตีนเขา เจ้าจะไปพบนางพร้อมกับข้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ล่ะ”
ซ่งจี๋ซินกล่าวอีก “ตอนนี้หม่าขู่เสวียนที่อยู่ในภูเขาเจินอู่ฝ่าทะลุด่านได้หลังจากปิดด่าน เรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตนี้ สำหรับเขาแล้วไม่ต่างจากการที่มนุษย์ธรรมดากินของผิดสำแดงแล้วต้องถ่ายท้อง ดังนั้นตอนนี้เขาจึงถูกเรียกขานว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะคนที่สองแล้ว เจ้าว่าตรอกซิ่งฮวาอาศัยเขาคนเดียว ในด้านชื่อเสียงก็สามารถงัดข้อกับคนทั้งตรอกหนีผิงอย่างพวกเราได้แล้ว มันน่าโมโหหรือไม่?”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบ
ซ่งจี๋ซินยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว งอนิ้วหนึ่งลงไปแล้วก็กล่าวว่า “เดิมทีข้าอยากจะบอกเจ้าสองเรื่องเพื่อเป็นการตอบแทนเจ้าเรื่องของศาลเทพภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้น แต่ตอนนี้ข้าพบว่าเห็นหน้าเจ้าแล้วก็ยังไม่ถูกชะตาอยู่ดี งั้นก็พูดแค่เรื่องเดียวแล้วกัน ตอนนี้เมื่อสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ดูเหมือนว่าสกุลซ่งต้าหลีของพวกเรามีแววว่าจะถูกคว่ำเรือ กองกำลังของแคว้นอื่นที่มาซื้อภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนไว้ แล้วสร้างสิ่งปลูกสร้างขึ้นบนภูเขาเป็นจำนวนไม่น้อยไม่ค่อยเห็นดีในตัวพวกเราสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะสำนักที่อยู่ใกล้เคียงกับภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ต่างก็มีความคิดว่าจะขายภูเขาออกไปในราคาถูก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ในอนาคตถูกใครกุมจุดอ่อน มีการค้าอยู่ครั้งสองครั้งที่ทำกันสำเร็จอย่างลับๆ ไปแล้ว หนึ่งในนั้นก็คือหร่วนฉงที่ซื้อภูเขารวดเดียวสามลูก ซึ่งภูเขาหนึ่งในนั้นก็คือภูเขาหนิวเจี่ยวที่ร้านผ้าห่อบุญเป็นคนลงมือสร้าง หากเจ้ารีบกลับไปให้เร็วขึ้น ไม่แน่ว่าอาจจะแย่งชิงมาได้สักลูกสองลูก เพราะการซื้อภูเขาในตอนนี้ขอแค่มีเงินฝนธัญพืชก็พอแล้ว”
เฉินผิงอันถาม “นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซ่งจี๋ซินเหลือกตาใส่ “ระหว่างที่เดินทางมาข้าเพิ่งได้ยินสวี่รั่วพูดถึง เกิดขึ้นเมื่อประมาณสิบวันก่อน ก่อนหน้านั้นมีใครบ้างที่ตัดใจปล่อยให้ภูเขาเปลี่ยนไปอยู่ในมือของคนอื่นได้ลง? แต่ละคนแทบอยากจะย้ายทั้งสำนักมาอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยซ้ำ ว่ากันว่าหลายปีมานี้ภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อครึกครื้นจนหาความสงบไม่ได้ มีแต่พวกประจบสอพลอทั้งนั้น ดีที่เว่ยป้อไม่เคยปฏิเสธคนที่มาเยือน เต็มใจต้อนรับขับสู้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ป่านนี้คงสะอิดสะเอียนจนอาเจียนออกมาแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองดู”
ซ่งจี๋ซินยิ้มกล่าว “ไม่ต้องไปส่งข้า”
เฉินผิงอันตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ไปส่ง”
ซ่งจี๋ซินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เรื่องนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ยังน่าเบื่ออยู่เหมือนเดิม”
ซ่งจี๋ซินเดินห่างมาจากทะเลสาบ มุ่งหน้าตรงไปยังตีนเขา
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม มองส่งคนผู้นี้เดินจากไป
ซ่งจี๋ซินมาถึงหน้าประตูสำนักศึกษาแล้วก็ยิ้มพูดกับจื้อกุย “กลับกันเถอะ”
จื้อกุยถาม “คุณชายอารมณ์ไม่เลวเลย?”
ซ่งจี๋ซินหัวเราะร่า “ได้พบเฉินผิงอัน เห็นว่าเขาได้ดิบได้ดีไม่น้อย คุณชายก็ดีใจเป็นพิเศษ”
จื้อกุยร้องอ้อหนึ่งที
ซ่งจี๋ซินหันกลับไปมองสำนักศึกษาแวบหนึ่งแล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “ไม่อยากไปเดินเล่นบ้างจริงๆ หรือ? หากอยากไป คุณชายสามารถไปเป็นเพื่อนเจ้าได้”
จื้อกุยส่ายหน้า “ไม่อยาก”
ซ่งจี๋ซินทอดถอนใจ “เจ้าว่าราชครูทั้งสองจะพากันไปยืนอยู่ข้างน้องชายของข้าหรือไม่?”
จื้อกุยปิดปากหัวเราะ “คุณชาย ท่านถามข้ามาหลายรอบแล้วนะ”
ซ่งจี๋ซินกล่าวอย่างจนใจ “ก็คุณชายไม่มั่นใจนี่นา ท่านอาก็ไม่ยอมมอบความมั่นใจนี้ให้ข้า ใต้เท้าราชครูทั้งสองท่านก็ทำตัวลึกลับยากจะหยั่งขนาดนั้น คุณชายอยู่ในเมืองไม่มีรากฐานอะไรเลย เทียบกับปีนั้นตอนที่เฉินผิงอันยังอยู่ในตรอกหนีผิงก็เรียกว่าตัวเปล่าเล่าเปลือยกว่าด้วยซ้ำ จะดีจะชั่วเขาก็ยังมีบ้านบรรพบุรุษอยู่หนึ่งหลัง แต่คุณชายไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ บนภูเขาล่างภูเขา นอกจากพวกคนที่เชื่อมั่นในการเดิมพันครั้งใหญ่แล้ว มีใครบ้างที่เห็นดีในตัวของคุณชายเจ้าจริงๆ?”
จื้อกุยเอ่ยปลอบใจ “ก็ยังมีบ่าวอยู่ข้างกายคุณชายไงล่ะ”
ซ่งจี๋ซินหัวเราะ ชูแขนขึ้นสูง แบฝ่ามือออก หันหลังมือให้กับแผ่นฟ้า หันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง “ถึงอย่างไรคุณชายก็เป็นแค่หุ่นเชิด พวกเขาอยากจะจับวางอย่างไรก็ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ขนาดเฉินผิงอันยังมีวันนี้ได้ ทำไมข้าถึงจะมีพรุ่งนี้บ้างไม่ได้?”
จื้อกุยยังคงแต่งกายเป็นสาวใช้เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่อยู่ตรอกหนีผิง เครื่องประดับที่สวมใส่แค่เพิ่มความหรูหรามากขึ้นเท่านั้น เรือนกายของนางยิ่งสะโอดสะอง นางยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขา ดูเหมือนว่าจะค่อนข้าง…น่าขายหน้า?”
ซ่งจี๋ซินหุบมือกลับมา กำหมัดทุบฝ่ามือ หันหน้ามาเอ่ยชื่นชมว่า “คำปลอบใจประโยคนี้ ข้าชอบฟัง!”
……
เมืองหลวงต้าสุย ในขณะที่งานเลี้ยงเชียนโซ่วเยี่ยนกำลังจะจัดขึ้น บรรยากาศในช่วงที่ผ่านมานี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
ไช่เฟิงขอลาหยุดกับกองโหราศาสตร์ เพียงแต่ว่าที่จวนตระกูลไช่กลับไม่มีเงาร่างของไช่เฟิง
จางไต้จ้วงหยวนคนใหม่ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มาปรากฏตัวในสำนักฮั่นหลินที่สูงสง่าที่สุด และเป็นสถานที่ที่ปลูกฝังอบรมเหล่าผู้มีความรู้มากมายมานานมากแล้ว
ว่ากันว่าซ่งซ่านรองผู้บัญชาการกองทหารราบยังแวะไปเยี่ยมเยือนที่ว่าการกรมอาญามารอบหนึ่ง
ข่าวลือเล็กๆ มากมายแพร่สะพัดไปทั่ววงการขุนนางและหมู่ชาวบ้านของเมืองหลวง
เจ้าขุนเขาสำนักศึกษาในนามอย่างเจ้ากรมพิธีการแห่งต้าสุยผู้นั้น มีวันหนึ่งมาเยือนสำนักศึกษากลางดึก ขอเข้าพบรองเจ้าขุนเขาเหมาเสี่ยวตงเพียงลำพัง สถานที่ที่พบปะไม่ใช่ห้องหนังสือ แต่เป็นโถงนักปราชญ์ที่ตั้งบูชาอริยะลัทธิขงจื๊อสามท่าน
ครึ่งคืนหลังของคืนนั้น เหมาเสี่ยวตงไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียด แค่เรียกให้เฉินผิงอันออกจากสำนักศึกษาไปเยือนศาลบุ๋นประจำเมืองหลวงต้าสุย เมื่อเทียบกับการเป็นสิงโตอ้าปากเขมือบในครั้งแรกแล้ว คราวนี้เหมาเสี่ยวตงนำเครื่องดนตรีและภาชนะที่ใช้ในพิธีเซ่นไหว้ซึ่งสามารถบรรจุชะตาบุ๋นมามากกว่าที่ขอไว้ในคราวแรกเสียอีก
หลังกลับมาถึงภูเขาตงหัว เหมาเสี่ยวตงก็พาเฉินผิงอันมาที่ยอดเขา หยิบแผ่นหยกแผ่นนั้นออกมา ใช้ท่วงท่าของอริยะนั่งพิทักษ์สำนักศึกษา
เฉินผิงอันหยิบวัตถุดิบวิเศษสามสิบกว่าชิ้นที่เหมาเสี่ยวตงช่วยเตรียมให้ออกมา สองชิ้นสุดท้ายที่เนิ่นนานกว่าจะมาถึง ชิ้นหนึ่งคือเขาควายพันปี ชิ้นหนึ่งคือดาบประจำกายตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ของอริยะบู๊ท่านหนึ่งในศาลบู๋ประจำเมืองหลวงของแคว้นหนึ่งในภาคกลางแจกันสมบัติทวีป ด้านในมีปราณสังหารที่เข้มข้น เกี่ยวกับเรื่องการหลอมวัตถุดิบเหล่านี้ เหมาเสี่ยวตงไม่เคยแสร้งทำตัวสูงส่ง แต่เลือกที่จะบอกประวัติความเป็นมา ราคาและความพิเศษของวัตถุดิบวิเศษแต่ละชิ้นให้เฉินผิงอันฟังอย่างละเอียดมาตั้งแต่แรก
เนื่องจากการหลอมตราประทับตัวอักษรน้ำครั้งแรกที่นครมังกรเฒ่ามีฟ่านจวิ้นเม่าช่วยจัดเตรียมให้ ดังนั้นครั้งนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกลมปราณถึงต้องเผาผลาญเงินทองและเวลามากขนาดนั้น หากเป็นผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่คิดจะทำให้สำเร็จ นอกจากต้องอาศัยเงินทองแล้ว ยังต้องมีโชคอีกด้วย หากโชคไม่ดี ขาดวัตถุที่เป็นกุญแจสำคัญไป ก็จะเป็นเหตุให้การหล่อหลอมหยุดชะงักไม่เดินหน้า และบนเส้นทางของการฝึกตน ช้าหนึ่งก้าวก็ช้าไปทุกก้าว ความเสียหายที่มองไม่เห็นนี้ แม้แต่ผู้ฝึกลมปราณก็ยังร้อนใจจนแทบบ้า
หากโชคดีหน่อยก็แค่ต้องเจ็บตัว ยกตัวอย่างเช่นได้วัตถุที่เหมาะสมกับการหล่อหลอมมาหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นก็พอจะประมาณการราคาของวัตถุที่ช่วยในการหล่อหลอมคร่าวๆ เดิมทีวางแผนไว้ว่าต้องใช้เงินหนึ่งเหรียญฝนธัญพืช นี่คือราคาแท้จริงของวัตถุดิบวิเศษที่จำเป็นต้องจ่าย ทว่าต่อให้ได้เจอกับวัตถุดิบวิเศษทุกชิ้นแล้ว แต่จะทำให้มันกลายเป็นของในมือของตนได้อย่างไร? ผู้ฝึกตนอิสระตามแม่น้ำและขุนเขามีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะแย่งชิงมา เพราะเลื่อมใสในคำว่าฆ่าคนชิงทรัพย์สวมเข็มขัดทอง (เปรียบเปรยว่าคนทำชั่วได้ดี) แล้วค่อยพูดให้ตัวเองดูดีว่าหากไม่รับของที่สวรรค์ประทานมา กลับกลายเป็นว่าจะถูกสวรรค์ลงโทษ เซียนซือในเทียบวงศ์ตระกูลมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะอาศัยการซื้อ อาศัยควันธูป ใช้เงินเทพเซียนมาซื้อขายกับคนอื่น หรือไม่ก็ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ หากไม่มีเส้นสายความสัมพันธ์ก็สามารถทุ่มเงินก้อนใหญ่หาซื้อจากร้านเทพเซียนขนาดใหญ่อย่างหอหลิงจือภูเขาห้อยหัว ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวเขตการปกครองหลงเฉวียน หอชิงฝู เป็นต้น นี่ยังไม่นับเป็นอะไร สถานการณ์ที่สิ้นเปลืองเงินที่สุดก็คือวัตถุดิบวิเศษที่ต้องการเป็นผลผลิตที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ในร้านเทพเซียนต่างก็มีหออภินิหารเป็นของตัวเอง พวกเขาจะบอกให้คนที่ยินดีทุ่มเงินซื้อเสนอราคามา จากนั้นก็เอาวิธีขูดเลือดขูดเนื้อของสำนักการค้ามาใช้ หากเดินมาถึงก้าวนี้ ราคาสุดท้ายในการซื้อขาย หากมากกว่าราคาประเมินการแรกเริ่มสุดของผู้ฝึกลมปราณหนึ่งเท่าตัวก็ถือเป็นเรื่องปกติอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่ายังมีคนที่ชอบปั่นราคา หากเล็งเห็นแล้วว่าคนผู้นั้นต้องการอย่างแท้จริงก็จะจงใจทำเรื่องชั่วร้ายให้คนสะอิดสะเอียน วัตถุที่เดิมทีมีราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยก็อาจถูกปั่นราคาไปถึงสามสี่เงินร้อนน้อย คนซื้อที่น่าสงสารจะซื้อหรือไม่? ไม่ซื้อ ของดีหลายอย่างมักจะไม่ได้มีมาให้พบบ่อยๆ หากถ่วงเวลาในการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของตนให้ล่าช้า ต้องทำอย่างไรจึงจะดี?
แล้วนับประสาอะไรกับที่ระหว่างตระกูลเซียนบนภูเขาด้วยกัน โดยทั่วไปแล้วยิ่งเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงก็ยิ่งปัดแข้งปัดขากันรุนแรงมากขึ้น ใครเล่าจะยินดีเห็นภูเขาแห่งอื่นมีห้าขอบเขตกลางเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนเซียนดินที่เรียกลมได้ลมเรียกฝนได้ฝน? อาจไม่ถึงขั้นต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่การลอบกัดกันอย่างลับๆ ย่อมเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน
ดังนั้นหลังจากที่เหมาเสี่ยวตงรวบรวมวัตถุดิบวิเศษทั้งหมดมาได้ครบ เฉินผิงอันที่รู้สึกโล่งใจก็กลัดกลุ้มไปในเวลาเดียวกันด้วย
วัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามควรจะหลอมอย่างไร?
ตามแผนการที่วางไว้แต่เดิม เวลานั้นตนน่าจะอยู่ในอุตรกุรุทวีปแล้ว
หรือว่าจะต้องเปลี่ยนความคิด นำรายได้ส่วนที่เหลือจากศึกนครมังกรเฒ่าที่ต้าหลีต้องชดใช้ให้มาทุบหม้อขายเหล็ก รอหลอมวัตถุชิ้นที่สามบนภูเขาลั่วพั่วให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากดุจก้อนเมฆ?
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ ได้แต่บอกตัวเองว่าเรื่องของวันพรุ่งนี้ก็ไว้ค่อยกลัดกลุ้มวันพรุ่งนี้
ยังไม่ทันหลอมหัวใจบุ๋นสีทองได้สำเร็จก็เริ่มคิดถึงวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สามแล้ว แบบนี้ไม่เหมาะ เรื่องในวันนี้ทำให้เสร็จในวันนี้ ทำเรื่องในวันนี้ให้เสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์แบบเสียก่อน นี่จึงจะเป็นการก้าวเดินบนมหามรรคาที่แท้จริง
เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหลายลงไป กลั้นหายใจทำสมาธิ สุดท้ายหยิบเตาตู้ทองห้าสีภาชนะหลอมวัตถุที่ได้มาจากตำหนักพยัคฆ์เขียวใบถงทวีปออกมา
จากนั้นก็เริ่มท่องบทการหล่อหลอมวัตถุที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอมอบให้อยู่ในใจหนึ่งรอบ
เหมาเสี่ยวตงไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้นจนจบ
พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
เรื่องของการฝึกตนเป็นเรื่องของใครของมัน
ต่อให้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาก็ทำแค่ไขข้อข้องใจให้ไม่กี่คำ ชี้แนะไม่กี่ประโยคก็ถือว่าพอสมควรแล้ว
ยิ่งผู้ปกป้องมรรคาก็ยิ่งไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ อย่างมากสุดก็แค่พยายามรักษารากฐานมหามรรคาของคนผู้นั้นเอาไว้ หากเขาโชคร้ายล้มเหลวในการหล่อหลอม ก็แค่รักษาคำว่า ‘ขุนเขาเขียวยังคงอยู่’ ที่ผู้ปกป้องมรรคาแสวงหาไว้เท่านั้น
ด้านหน้าเฉินผิงอันวางวัตถุดิบวิเศษหลากหลายชนิดไว้จนเต็ม เขาพลันเงยหน้าขึ้น มองไปทางเหมาเสี่ยวตงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “เจ้าขุนเขาเหมา อันที่จริงข้ามีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่คิดแล้วก็ไม่เข้าใจมาโดยตลอด”
เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ “ถามมาสิ”
เฉินผิงอันถามว่า “ในเมื่อใต้หล้าไพศาลของพวกเรามีเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาเฝ้าพิทักษ์เก้าทวีป แล้วทำไมถึงไม่ใช่เจ็ดร้อยยี่สิบแห่ง? เป็นเพราะศาลบุ๋นในแผ่นดินกลางทำไม่ได้ หรือเป็นเพราะปรมาจารย์มหาปราชญ์ไม่เต็มใจทำเช่นนี้?”
ก่อนจะตอบคำถามข้อนี้ เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเนิบช้าว่า “ข้าได้แต่พูดถึงความเข้าใจของตัวข้าเอง เจ้าเอาไปพิจารณาดู ไม่แน่เสมอไปว่าจะถูกต้อง แต่สามารถมองเป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ที่จะทำให้เจ้าเข้าใจวิถีของโลกใบนี้มากขึ้น ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ตกลง!”
เหมาเสี่ยวตงถึงได้เอ่ยว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าเคยขอความรู้จากคนอื่นมาก่อน ตอนนี้คนทั่วไปอาจจะจำได้ไม่มากแล้ว เมื่อนานมากมาแล้ว อืม ก่อนจะเกิดศึกตรีจตุขึ้น ภายใต้คำแนะนำของบรรพบุรุษท่านหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ผู้สร้างหลักความรู้ที่มีชื่อเสียงใหญ่ในอดีต ภายใต้การสนับสนุนของสกุลหลิว รวมไปถึงภายใต้การพยักหน้าตอบรับของหย่าเซิ่ง ธวัลทวีปทางทิศเหนือจึงเคยมีสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตอนนั้นถูกเรียกขานว่า ‘แคว้นไร้ทุกข์’ ปรากฏขึ้น ประชากรมีประมาณสิบล้านกว่าคน ไม่มีผู้ฝึกลมปราณ ไม่มีเมธีร้อยสำนัก ไม่มีแม้แต่สามลัทธิ ผู้คนไม่ต้องกังวลกับการกินอยู่ ทุกคนเล่าเรียนหนังสือ ความรู้และหลักการทั้งหมดที่เหล่าอาจารย์ถ่ายทอดให้ล้วนเป็นแก่นของสี่ความรู้ที่ยิ่งใหญ่และของเมธีร้อยสำนัก แต่พยายามให้ไม่เกี่ยวพันกับวัตถุประสงค์พื้นฐานของความรู้แต่ละสาย หลักๆ แล้วใช้ตำราของลัทธิขงจื๊อ ส่วนตำราของร้อยสำนักที่เหลือก็เป็นตัวช่วยเสริม”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เหมาเสี่ยวตงก็ชะลอการพูดลง
เขาพูดช้ามากและจริงจังอย่างยิ่ง
เป็นเหตุให้แม้ในเวลานี้เหมาเสี่ยวตงจะมีฐานะเป็นอริยะสำนักศึกษาก็ยังดูเปลืองแรงอย่างเห็นได้ชัด
—–