บนเกาะนอกมหาสมุทรที่อยู่ใกล้ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
วันนี้บุรุษที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อเอ่ยปฏิเสธแขกอีกคนหนึ่งที่จะมาเยี่ยมเยือน ปล่อยให้ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาซึ่งเป็นสายของหย่าเซิ่งต้องกินน้ำแกงประตูปิด (เปรียบเปรยถึงแขกที่เจ้าบ้านไม่ให้การต้อนรับ)
หากเป็นก่อนหน้านั้น ต่อให้บุรุษลัทธิขงจื๊อจะไม่เต็มใจ ‘เปิดประตู’ แค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องปรากฏตัว ทว่าคราวนี้กลับไม่แม้แต่จะออกมาพบหน้า
ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาท่านนั้นจึงได้แต่กลับไปพร้อมกับความผิดหวัง ลึกๆ ในใจก็อดที่จะกลัดกลุ้มไม่ได้
ไม่รู้ว่าเหตุใดบัณฑิตท่านนั้นถึงไม่รับน้ำใจคนอื่น ยากจะใกล้ชิดสนิทสนมขนาดนี้
บุรุษชุดลัทธิขงจื๊อยืนอยู่ในกระท่อมที่ปีนั้นจ้าวเหยามาพักอาศัย ภูเขาตำรามีเส้นทางให้เดิน
เขายืนอยู่มุมหนึ่งท่ามกลางกองหนังสือ กำลังเปิดตำราลัทธิขงจื๊อเล่มหนึ่งที่ดึงออกมาอย่างไม่ใส่ใจ อริยะลัทธิขงจื๊อที่เขียนตำราเล่มนี้ขึ้นมา สายบุ๋นได้ขาดสะบั้นไปแล้ว เพราะอายุยังน้อยแต่กลับต้องตายไปท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างกะทันหัน ส่วนลูกศิษย์ก็ยังไม่สามารถคว้าจับแก่นสำคัญที่แท้จริงของสายบุ๋นเอาไว้ได้ แค่ร้อยปี ควันธูปของสายบุ๋นก็ต้องขาดสะบั้นลง ณ บัดนี้
เขาวางหนังสือลง เดินออกจากกระท่อมมาหยุดอยู่บนยอดเขา ทอดสายตามองมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาลต่ออีกครั้ง
ปีนั้นจ้าวเหยามาที่นี่ได้อย่างไร มาได้เพราะการปกป้องคุ้มครองจากเศษซากวิญญาณกลุ่มหนึ่งที่เหลืออยู่
ไม่อย่างนั้นขนาดเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์และผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษายังต้องเคาะประตูก่อนถึงจะเข้ามาได้ จ้าวเหยาที่ลอยตามกระแสคลื่นจะมาถึงที่แห่งนี้โดยบังเอิญได้อย่างไร
เขาดึงสายตากลับมา มองไปทางริมหน้าผา ตอนนั้นจ้าวเหยาคิดจะก้าวเท้าออกไปให้พ้นจากหน้าผาแห่งนี้
เขาย่อมไม่ใส่ใจ
เพียงแต่ว่าตอนนั้นมีชาวลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนที่จอนผมสองข้างเป็นสีดอกเลาส่งสายตามาให้ตน
เขาถึงได้เปิดปากเกลี้ยกล่อมจ้าวเหยา
และหลังจากที่จ้าวเหยาไปจากเกาะ เขากับบุรุษวัยกลางคนลัทธิขงจื๊อที่พาจ้าวเหยามาส่งที่นี่ก็เคยสนทนากันครั้งหนึ่ง
เขาถามว่า “ในเมื่อเป็นห่วงขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่ปรากฏตัวมาพบเขา”
คนผู้นั้นตอบ “จ้าวเหยาอายุยังน้อย หากพบข้าก็มีแต่จะยิ่งรู้สึกผิด ปมในใจบางอย่างจำเป็นต้องให้เขาคลายออกด้วยตัวเอง เมื่อได้เดินทางไกลยิ่งกว่าเดิม ไม่ช้าก็เร็วต้องคิดตก”
เขาถามอีก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าฉีจิ้งชุนไม่กลัวว่าต่อให้ตาย จ้าวเหยาก็ยังไม่รับรู้ความคิดของเจ้าหรอกหรือ? จ้าวเหยามีพรสวรรค์ไม่เลว คิดจะก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางย่อมไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าดึงเอาโชคชะตาบุ๋นจากตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง เก็บซ่อนปราณยิ่งใหญ่เที่ยงธรรมแห่งฟ้าดินที่บริสุทธิ์ที่สุดไว้ในที่ทับกระดาษไม้รูปมังกร รอให้หัวใจที่แห้งเหี่ยวของจ้าวเหยาแตกหน่อเขียวขจีอีกครั้ง แต่เจ้าไม่กลัวว่าสุดท้ายแล้วจ้าวเหยาจะทุ่มเทแรงใจให้สายบุ๋นสายอื่น หรืออาจถึงขั้นไปสร้างประโยชน์ให้กับลัทธิเต๋าโดยที่ตัวเองไม่ได้อะไรหรอกหรือ?”
ฉีจิ้งชุนยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ขอแค่ลูกศิษย์ของข้าคนนี้มีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว จะสืบทอดสายบุ๋นของข้าหรือไม่ เมื่อเทียบกับการที่จ้าวเหยาสามารถศึกษาหาความรู้ได้อย่างสงบสุขปลอดภัยไปตลอดชีวิตแล้ว อันที่จริงมันก็ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น”
เขากล่าวอย่างสะท้อนใจ “ฉีจิ้งชุน น่าเสียดายเจ้ายิ่งนัก”
ตอนนั้นฉีจิ้งชุนเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
เวลานี้บัณฑิตแห่งแผ่นดินกลางที่เคยใช้หนึ่งกระบี่ผ่าถ้ำสวรรค์หวงเหอท่านนี้พลันรู้สึกว่าคนที่รู้ใจตน ขาดหายไปอีกคนหนึ่งแล้ว
ภูเขาเมฆาเรืองแจกันสมบัติทวีป
ไช่จินเจี่ยนที่ได้ยึดครองจวนแห่งหนึ่งบนยอดเขาเพียงลำพัง วันนี้ขณะที่นั่งฝึกตนอยู่บนเบาะ นางพลันลืมตาขึ้น ลุกยืนและเดินไปยังหอชมทัศนียภาพที่การมองเห็นเปิดกว้าง
เทพธิดาไช่ที่พัฒนารุดหน้าอย่างไม่มีหยุดยั้งตลอดเส้นทางการฝึกตน และนิสัยก็ยิ่งสงบเย็นชามากขึ้นทุกขณะคล้ายจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงคลี่ยิ้มออกมา
ปีนั้นมีบัณฑิตคนหนึ่งที่นางนับถือและเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด ขณะที่มอบภาพวาดแห่งแม่น้ำกาลเวลาภาพแรกให้กับนาง เขาได้ทำเรื่องหนึ่งที่ไช่จินเจี่ยนรู้สึกเหมือนฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำ
อาจารย์ฉีที่มีความรู้ความสามารถดุจเทพยดา ไร้ซึ่งตำหนิข้อบกพร่องในใจของนาง ได้ถามนางด้วยความจริงใจราวกับว่าเขาเป็นลูกศิษย์ที่กำลังขอความรู้จากอาจารย์ท่านหนึ่ง ‘หากเจ้าสามารถมอบม้วนภาพนี้ไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะเป็นการวาดงูเติมขาหรือไม่? กลับจะทำให้เสียเรื่องหรือเปล่า?’
จนถึงตอนนี้ไช่จินเจี่ยนก็ยังจดจำอารมณ์ในตอนนั้นได้อย่างชัดเจน เป็นความรู้สึกที่แทบไม่ต่างหากผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ต้องข้ามผ่านทัณฑ์ห้าอสนีที่ฟาดผ่าลงบนศีรษะ
อาจารย์ฉีเห็นนางเผยสีหน้าอึ้งตะลึงออกมาเช่นนั้นก็ยิ้มกล่าวว่า ‘เรื่องราวระหว่างชายหญิงบนโลก ข้าไม่เข้าใจเลยสักนิดเดียว’
ไช่จินเจี่ยนตีหน้าเคร่ง พยายามทำหน้าให้ขึงตึง
ฉีจิ้งชุนกล่าวอย่างจนใจ “อยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ”
สุดท้ายไช่จินเจี่ยนไม่ได้หัวเราะออกมา กลับกันนางยังรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ เอาแต่เหม่อมองอาจารย์ฉีผู้นั้น พอคืนสติ ไช่จินเจี่ยนจึงให้คำตอบไปว่า “หากไม่ชอบ ทำเรื่องพวกนี้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์ จะวาดงูเติมขาหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่หากเดิมทีก็ชอบอยู่แล้ว เห็นภาพเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะยิ่งชอบมากกว่าเดิม”
ตอนนั้นพอได้ยินคำพูดของไช่จินเจี่ยน ดูเหมือนน้ำหนักที่กดทับอยู่บนบ่าของอาจารย์ฉีจะเบาลงไปเยอะ เขาพลันคลี่ยิ้มออกมา
รอยยิ้มของอาจารย์ฉีในเวลานั้นทำให้ไช่จินเจี่ยนรู้สึกว่า ที่แท้ต่อให้จะมีความรู้สูงส่งแค่ไหน บุรุษผู้นี้ก็ยังคงอยู่ในโลกมนุษย์
ไช่จินเจี่ยนฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนราวระเบียง ยิ้มตาหยี ทั้งที่กำลังมองไปไกล แต่แท้จริงแล้วทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามที่อยู่นอกหอชมวิวกลับไม่อยู่ในสายตานางเลย
แอบชอบบุรุษที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้รู้ดีว่าเขาไม่มีทางชอบตน แต่ไช่จินเจี่ยนก็ยังรู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่งดงามที่สุด
บนเส้นทางของการฝึกตน วันหน้าไม่ว่าจะผ่านไปหนึ่งร้อยปีหรือหนึ่งพันปี ไช่จินเจี่ยนก็ยังยินดีที่จะคิดถึงเขาในช่วงเวลาที่รอบกายเงียบสงบไร้ผู้คน
……
ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป ท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีอาณาเขตเชื่อมต่อกับทิศใต้ของราชวงศ์จูอิ๋ง
หลิ่วชิงซานซื้อเหล้ากาใหญ่ นั่งอยู่ริมลำคลอง กระดกเหล้าดื่มอึกแล้วอึกเล่า
หลิ่วป๋อฉีรู้ว่าสักวันหนึ่งวันนี้ต้องมาถึง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วกว่าที่คิดไว้
ความขัดแย้งระหว่างผู้ฝึกลมปราณก่อนหน้านี้ยังเป็นเรื่องเล็ก เพราะฝันร้ายที่ใหญ่ยิ่งกว่าคือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตลกในแคว้นชิงหลวนเรื่องนั้น
นางแย่งกาเหล้าในมือหลิ่วชิงซานมา พูดเสียงหนักว่า “ข้าแทบไม่เคยเล่าเรียนหนังสือ ไม่อาจพูดหลักการยิ่งใหญ่อะไรออกมาได้ ส่วนเจ้าก็เป็นบัณฑิต จึงไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมฟังข้า แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าอยากให้เจ้ารับรู้เรื่องหนึ่ง!”
นักพรตหญิงจากเรือนซือเตาอย่างหลิ่วป๋อฉี มือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งกดเทพเจ้าจิ้งดาบพกตรงเอว ยามที่พูดสีหน้านางฉายประกายของความเฉียบคม “ในใต้หล้านี้คนที่ทั้งโง่ทั้งชั่วร้ายมีมากมาย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับว่าพวกเขาเคยเรียนหนังสือมาก่อนหรือไม่ พบเจอกับคนหรือเรื่องราวที่ดีหน่อยก็เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความเคียดแค้น หากไม่ครอบครองก็ทำลายทิ้ง นับจากวันนี้ไป หากเจ้ายินดีจะใช้เหตุผลพูดคุยกับคนจำพวกนี้ก็พูดไป เพียงแต่ว่าหากสุดท้ายแล้วยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ข้าจะเป็นคนคุยเอง”
หลิ่วชิงซานเอาแต่ส่ายหน้าอยู่ตลอดเวลา ส่ายหน้าอย่างแรง “เรื่องพวกนี้ข้าล้วนเข้าใจ ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงต้องทำเช่นนั้น หากข้าอยากพูดถึงหลักการของการเป็นบุตรกับพี่ใหญ่ที่ข้าเคารพรักที่สุดล่ะ ข้าควรจะทำอย่างไร? ข้ารู้ว่าไม่ว่าเรื่องไหนข้าก็สู้พี่ใหญ่ไม่ได้ ข้าแค่อยากกลับบ้านไปคุยกับเขาเรื่องนี้ ได้หรือไม่?”
หลิ่วป๋อฉีส่ายหน้าปฏิเสธอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน นางที่ตามใจหลิ่วชิงซานทุกเรื่อง มีเพียงเรื่องนี้ที่ไม่ยอมลงให้เขา “อย่าไปพูดเรื่องนี้เลย เจ้าอดทนเอาไว้เถอะ”
หลิ่วชิงซานพึมพำ “ทำไมล่ะ?”
หลิ่วป๋อฉีกล่าว “เรื่องนี้ ทั้งสาเหตุและเหตุผล ข้าล้วนไม่เข้าใจ แล้วข้าก็ไม่อยากพูดจาส่งเดชเพียงเพื่ออยากช่วยให้เจ้าคลายปมในใจ แต่ข้ารู้ว่าตอนนี้พี่ชายของเจ้าต้องเจ็บปวดมากกว่าเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าการกลับไปสาดเกลือลงบนบาดแผลของเขาทำให้เจ้าสบายใจ เจ้าก็กลับไปเถอะ ข้าจะไม่รั้งเอาไว้ แต่ข้าจะดูแคลนเจ้า ที่แท้เจ้าหลิ่วชิงซานก็เป็นคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ จิตใจคับแคบยิ่งกว่าสตรีเสียอีก!”
หลิ่วชิงซานมีสีหน้าทึ่มทื่อ
หลิ่วป๋อฉีกระวนกระวายเล็กน้อย เลือกถามไปตรงๆ ว่า “ข้าพูดแรงเกินไปหรือเปล่า?”
หลิ่วชิงซานมองนางอย่างอึ้งตะลึงอยู่นาน แล้วจู่ๆ ก็พลันหัวเราะ ปาดมือเช็ดน้ำตาน้ำมูกสะเปะสะปะ “ไม่หรอก”
หลิ่วป๋อฉีถึงได้คืนกาเหล้าให้กับหลิ่วชิงซาน “ทีนี้ก็ดื่มได้แล้ว”
หลิ่วชิงซานเองก็ไม่เกรงใจ รับกาเหล้ามายกกระดกเข้าปากอึกใหญ่
ดื่มจนกระทั่งเขาฟุบอยู่ริมลำคลอง อาเจียนไม่หยุด
หลิ่วป๋อฉีตบหลังของเขาเบาๆ “หากยังอยากดื่ม ข้าจะไปซื้อมาให้เจ้าเพิ่ม”
หลิ่วชิงซานส่ายหน้าเบาๆ
สุดท้ายภายใต้สายตาจับจ้องของผู้คนมากมาย หลิ่วป๋อฉีก็แบกหลิ่วชิงซานเดินไปบนถนนใหญ่
……
บนถนนนอกอำเภอแห่งหนึ่งของแคว้นชิงหลวน หลังจากฝนใหญ่ตกไป พื้นดินก็เฉอะแฉะ น้ำท่วมขังเจิ่งนอง
รถม้าคันหนึ่งที่สารถีเป็นผู้เฒ่าชะลอความเร็วลง ครู่หนึ่งต่อมาก็เพิ่มความเร็วควบม้าตรงไปยังอำเภอ
หวังอี้ฝู่ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารเดียวกับนายอำเภอหลิ่วชำเลืองตามองหลิ่วชิงเฟิงที่กำลังหลับตาพักผ่อน
หวังอี้ฝู่คือหนึ่งในคนสองคนที่ถูกราชครูชุยฉานส่งตัวมายังแคว้นชิงหลวนอย่างลับๆ ตอนนี้ในนามเขาคือหัวหน้ามือปราบประจำอำเภอ แต่แท้จริงแล้วกลับทำหน้าที่เป็นเลขาธิการฝ่ายบู๊ของหลิ่วชิงเฟิง ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายถูกลอบฆ่า
ด้วยเหตุนี้จึงเห็นได้ว่า ชุยฉานให้ความสำคัญกับนายอำเภอเล็กๆ ของแคว้นเล็กๆ ผู้นี้มากแค่ไหน
หวังอี้ฝู่รู้ดีว่าบนเส้นทางด้านหลังรถม้ามีเด็กและสตรีกำลังเดินอย่างโซซัดโซเซ
หวังอี้ฝู่เองก็หลับตาลง
แม่ทัพใหญ่สิ้นชาติของราชวงศ์สกุลหลูอย่างเขา ในที่สุดก็เริ่มรอคอยอยากจะเห็นแล้วว่าในอนาคตขุนนางบุ๋นแห่งแคว้นชิงหลวนผู้นี้จะเดินไปได้สูงแค่ไหน
……
ชายแดนทางทิศเหนือของราชวงศ์จูอิ๋ง
เกิดความวุ่นวายโกลาหล
บนเส้นทางภูเขาสายหนึ่งมีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจากสำนักเล็กหลายท่านปิดบังตัวตน แสร้งแต่งกายเป็นผู้ฝึกตนอิสระ คอยแอบจับตามองขบวนรถของขุนนางกลุ่มหนึ่งที่หนีภัยพิบัติมาทางใต้
แล้วก็มาเจอกับหม่าขู่เสวียนเข้าพอดี ผู้ฝึกลมปราณหนึ่งในนั้นกำลังกระชากผมของสตรีแต่งงานแล้วที่แต่งกายหรูหรา ลากนางออกมาจากห้องโดยสารรถม้า บอกว่าอยากจะลองลิ้มรสชาติของฮูหยินเจ้าเมืองดูสักที
ตอนแรกหม่าขู่เสวียนไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรก เอาแต่เดินทางของตัวเองต่อไป ผลกลับกลายเป็นว่าถูกผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งมาขวางทาง หม่าขู่เสวียนจึงปล่อยไปสองหมัด สังหารคนตายไปครึ่งหนึ่ง คนสุดท้ายที่หนีรอดไปอย่างกระเซอะกระเซิง หม่าขู่เสวียนไม่ได้สนใจ
ผู้ฝึกลมปราณน่าสงสารที่เหลือเพียงครึ่งชีวิตคนนั้นถูกหม่าขู่เสวียนกระทืบหน้าอก เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “คนเลวเป็นกันอย่างนี้หรือ? เป็นคนเลวแล้ว จะดีจะชั่วดวงตาก็ควรมีแววบ้างกระมัง เรื่องนี้ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าอีกหรือ?”
หม่าขู่เสวียนกระทืบจนหน้าอกของคนผู้นั้นทะลุ
จากนั้นเขาก็ออกเดินทางต่อ
คาดไม่ถึงว่าในบรรดาญาติของสตรีที่อาภรณ์ถูกฉีกกระชากยุ่งเหยิงคนนั้นจะมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่รู้สึกว่าถูกหยามเกียรติอย่างรุนแรง หันมาซักไซ้กล่าวโทษหม่าขู่เสวียนอย่างขุ่นเคืองว่าเหตุใดถึงไม่ฆ่าเจ้าคนสุดท้ายผู้นั้น จะเลี้ยงเสือไว้เป็นภัยให้ตัวเองทำไม?
หม่าขู่เสวียนจึงปล่อยหนึ่งหมัดต่อยเด็กหนุ่มคนนั้นตาย แล้วถึงได้เดินผ่านขบวนรถที่กลุ่มคนเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “คนโง่ที่ทำเรื่องโง่ สมควรตายยิ่งกว่าคนชั่ว”
หลังจากเดินห่างไปไกลแล้ว ผู้ฝึกตนสำนักการทหารจากภูเขาเจินอู่ผู้นั้นถึงปรากฏตัว ขมวดคิ้วกล่าว “เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ความคนนั้นไม่ได้มีโทษทัณฑ์ร้ายแรงถึงตาย”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกล่าว “เดิมทีทุกคนควรต้องตายทั้งหมด นี่ไม่ควรขอบคุณที่ข้ายอมออกหน้าผดุงคุณธรรมอย่างที่หาได้ยากหรอกหรือ?”
สตรีแต่งงานแล้วฟุบตัวอยู่บนศพของลูกชายร่ำไห้ปานจะขาดใจ สำหรับคนหนุ่มสติวิปลาสที่เห็นชีวิตคนเป็นดั่งต้นหญ้าผู้นั้น นางทั้งเคียดแค้นและหวาดเกรง
—–