เส้นทางกลับบ้านเกิดจากเมืองหลวงต้าสุยไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี เฉินผิงอันคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด
เขายังคงพยายามเลือกทางสายเล็กในป่าเขา รอบกายไร้ผู้คน นอกจากจะฝึกเดินท่าฟ้าดินแล้ว ทุกวันยังจะต้องขอให้จูเหลี่ยนช่วยป้อนหมัด ยิ่งต่อยก็ยิ่งเอาจริงเอาจัง จากที่จูเหลี่ยนสะกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตหก ถึงท้ายที่สุดก็ไปถึงขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด ความเคลื่อนไหวยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที ทำเอาเผยเฉียนเป็นกังวลอย่างยิ่ง หากอาจารย์ไม่ได้สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนั้น จะต้องเสียเงินค่าเสื้อผ้าอย่างสิ้นเปลืองไปมากน้อยเท่าไหรกันนะ? การประมือกันในครั้งแรก เฉินผิงอันสู้ไปได้ครึ่งทางก็บอกให้หยุด ที่แท้รองเท้าหุ้มแข้งของเขาก็ทะลุเป็นรูโหว่ ได้แต่ถอดรองเท้า ใช้เท้าเปล่ามาประมือกับจูเหลี่ยน
หลังออกมาพ้นอาณาบริเวณของต้าสุย เฉินผิงอันก็กลับมาสวมรองเท้าสาน ทำเอาเผยเฉียนชอบอกชอบใจ จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำให้นางหนึ่งคู่ เจ้าถ่านดำน้อยกลับยิ้มไม่ออกแล้ว รองเท้าสานแน่นหนา อันที่จริงเหมาะกับการขึ้นเขาลงห้วยยิ่งกว่าสวมรองเท้าหุ้มแข้งทั่วไปเสียอีก แต่ถึงอย่างไรมันก็เสียดสีให้เท้าเป็นตุ่มพอง ยังดีที่เฉินผิงอันไม่ได้ยืนกรานให้เผยเฉียนสวมใส่อยู่ตลอด ตอนที่เผยเฉียนเอาเข็มเจาะตุ่มน้ำพองที่ใต้ฝ่าเท้า จูเหลี่ยนก็คอยพูดจาเหน็บแนมอยู่ด้านข้าง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กคู่นี้เคยชินที่จะโต้คารมกันเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว
ตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งอยู่ริมลำธาร ถอดรองเท้าสาน เหยียบลงในน้ำ ความคิดล่องลอยไปไกล
ไม่ใช่ว่าใกล้ถึงบ้านเกิดแล้วกลับรู้สึกขลาดกลัว แต่เมื่อเทียบกับการเดินทางหวนคืนสู่บ้านเกิดในครั้งแรกแล้วกลับมีความห่วงพะวงเพิ่มขึ้นมามากกว่าเก่า บ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิง เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เรื่องที่ขอให้เว่ยป้อช่วยซื้อภูเขาให้ กิจการของสองร้านในตรอกฉีหลง การซ่อมแซมเทวรูปของพระโพธิสัตว์ดินเผาและเทพสวรรค์ในสุสานเทพเซียน เรื่องมากมายหลายอย่างที่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไม่ได้คิดถึงมากนัก เวลานี้กลับมักจะผุดขึ้นมาในใจ และก็วางแผนไว้ว่าหลังกลับไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วก็ค่อยไปเยี่ยมหากู้ช่านที่ทะเลสาบเจี่ยนหู แล้วค่อยไปเยี่ยมสองสามีภรรยาและหญิงชราที่มีฝีมือทำอาหารเลิศล้ำของแคว้นไฉ่อี ยังมีอริยะกระบี่ซ่งอวี่เซาแห่งแคว้นซูสุ่ยที่ต้องไปพบหน้า เลี้ยงหม้อไฟคืนผู้อาวุโสหนึ่งมื้อ แล้วเฉินผิงอันก็อยากจะโอ้อวดกับผู้เฒ่าด้วยว่า แม่นางที่ตนรักก็ชอบตนเหมือนกัน ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผู้อาวุโสซ่งกล่าวไว้
ความสง่างามองอาจเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของปัญญาชนจากบนร่างของชุยตงซาน ลู่ไถ หรือแม้แต่หลิ่วชิงซานแห่งสวนสิงโต แน่นอนว่าเฉินผิงอันเลื่อมใสและปรารถนาอย่างยิ่งว่าตัวเองจะเป็นเหมือนพวกเขาได้ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เฉินผิงอันคิดแต่จะโอนเอียงเข้าหาพวกเขาถ่ายเดียว
นี่เรียกว่าได้ใหม่ไม่ลืมเก่า ดังนั้นจึงสามารถสะสมทรัพย์สมบัติได้มากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันรู้สึกว่านี่เป็นนิสัยที่ดี เหมือนพรสวรรค์ด้านการตั้งชื่อของเขาที่เป็น ‘เรื่องถนัด’ เพียงไม่กี่หยิบมือซึ่งทำให้เฉินผิงอันอดลำพองใจน้อยๆ ไม่ได้
เฉินผิงอันพลันหันหน้ามาพูดกับเผยเฉียน “วันหน้าเมื่อเจ้ากับพวกหลี่ไหวออกท่องยุทธภพด้วยกัน ไม่ต้องบังคับควบคุมตัวเองมากเกินไป แล้วก็ไม่ต้องเลียนแบบข้าไปเสียทุกเรื่อง”
เผยเฉียนกล่าวอย่างเขินๆ “ข้าก็อยากเลียนแบบอาจารย์อยู่หรอกนะ แต่เลียนแบบแล้วก็ไม่เห็นเหมือนสักที”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เผยเฉียนเอ๋ย วันหน้าข้าจะแต่งผลงานชิ้นเอกด้านการประจบสอพลอมาเรื่องหนึ่ง ต้องขายได้เงินดีในยุทธภพแน่นอน ถึงเวลานั้นเงินที่ได้มา ข้าจะเอามาแบ่งให้เจ้า”
เผยเฉียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ห้ามกลับคำนะ พวกเราแบ่งกันคนละครึ่ง!”
จูเหลี่ยนยื่นนิ้วมาชี้หน้าเผยเฉียน “เจ้านี่นะ ชีวิตนี้เห็นแต่เงิน คงปีนออกมาจากบ่อเงินไม่ได้แล้ว”
เผยเฉียนโคลงศีรษะแลบลิ้นปลิ้นตาเลียนแบบหลี่ไหว “ไม่ฟังๆ ตะพาบท่องคัมภีร์”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ “ได้ยินหลี่ไหวเล่าให้ฟังว่า พวกเจ้าตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าจะไปขุดหาสมบัติด้วยกัน?”
จูเหลี่ยนเอ่ยสัพยอก “โอ้โห คู่รักเทพเซียนหรือนี่ อายุน้อยแค่นี้ก็ตัดสินใจเรื่องใหญ่ในชีวิตกันเองแล้วหรือ?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้ากับหลี่ไหวคือสหายในยุทธภพที่ถูกชะตากัน ไม่มีเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อะไรทั้งนั้น พ่อครัวเฒ่าเจ้าพูดจาน่าเกลียดให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ!”
จากนั้นเผยเฉียนก็เปลี่ยนสีหน้าอย่างว่องไว หันมายิ้มพูดกับเฉินผิงอันว่า “อาจารย์ ท่านไม่ต้องกังวลว่าข้าจะเห็นคนอื่นดีกว่าคนกันเอง ข้าไม่ใช่สตรีในยุทธภพประเภทที่ว่าเห็นบุรุษก็หน้ามืดตามัว สมบัติล้ำค่าทั้งหมดที่ข้ากับหลี่ไหวขุดเจอร่วมกัน ข้าตกลงกับเขาไว้แล้วว่าจะแบ่งเท่ากัน ถึงเวลานั้นส่วนที่เป็นของข้าต้องเข้าไปอยู่ในกระเป๋าของอาจารย์ทั้งหมดแน่นอน”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
หลังจากนั้นคนทั้งกลุ่มก็เดินทางมาถึงเขตการปกครองของแคว้นหวงถิงได้อย่างราบรื่น ตรงริมตลิ่งแม่น้ำอวี้เจียง เวลานั้นเฉินผิงอันกับชุยตงซานจับคู่กันเดินทางมาถึงที่นี่ ได้พบกับผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่ขี่กระบี่ผ่านถนนหนทางจนเกิดความโกลาหลไก่บินหมากระโดด ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่ได้ขัดขวาง เนื่องด้วยศักยภาพของตนในเวลานั้นไม่อาจเข้าไปยุ่งได้ จึงได้แต่มองดูดายเท่านั้น
ยังคงเป็นประโยคเก่าแก่ประโยคนั้น วัดเล็กลมปีศาจใหญ่
ไม่พูดถึงพื้นที่ทางใต้ของต้าหลี ลำพังแค่อาณาเขตของแคว้นต้าสุยและเมืองหลวงแคว้นชิงหลวน ก็ดูเหมือนว่าผู้ฝึกลมปราณจะไม่กล้าทำตัวกำเริบเสิบสานถึงขนาดนั้น
กลับเป็นเขตการปกครองใหญ่ที่อยู่ในอาณัติของแคว้นเล็กๆ เสียอีกที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระต่างก็โอหังอวดดีกันมาก แม้แต่ชาวบ้านก็ยังได้รับความเดือดร้อนไปด้วย หลังจบเรื่องก็ได้แต่ทำใจยอมรับว่าตัวเองดวงซวยเอง เนื่องด้วยไม่อาจทวงคืนความยุติธรรมจากที่ใดได้ ทางราชสำนักก็ไม่สนใจ เพราะต้องเหนื่อยยากแต่ไม่ได้อะไรดีๆ กลับคืนมา ที่ว่าการของท้องถิ่นก็ไม่กล้ายุ่ง ต่อให้มีผู้ผดุงคุณธรรมที่เป็นเดือดเป็นแค้นก็ยังมีแต่ใจไร้กำลัง
และในเขตการปกครองแห่งนี้ ชุยตงซานได้กำราบเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่ถูกบ่มเพาะมาจากปราณบุ๋นในหอเก็บตำราของสกุลเฉาจือหลันซึ่งร่างจริงคืองูเหลือมไฟ และยังมีเด็กชายชุดเขียวที่มีอำนาจบารมีอยู่ในอาณาเขตของเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียง
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูถือเป็น ‘จิตวิญญาณบุ๋น’ ที่ถือกำเนิดเพราะถูกบ่มเพาะมาจากบทกวีที่ติดปากเป็นที่นิยม หรือบทความที่มีชื่อเสียงของโลก ส่วนเด็กชายชุดเขียวนั้น ตามคำบอกของเว่ยป้อที่เขียนไว้ในจดหมาย ดูเหมือนว่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับลู่เฉิน เป็นเหตุให้เจ้าลัทธิเต๋าที่ทุกวันนี้รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิงคิดอยากจะพาเด็กชายชุดเขียวไปที่ใต้หล้ามืดสลัวด้วยกัน เพียงแต่เด็กชายชุดเขียวไม่ยอมตกลง ลู่เฉินจึงทิ้งเมล็ดพันธ์บัวทองเมล็ดนั้นเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ขอร้องเฉินผิงอันว่าในอนาคตจะต้องช่วยให้งูน้ำอย่างเด็กชายชุดเขียวผู้นี้ลงน้ำกลายเป็นมังกรที่อุตรกุรุทวีปให้ได้
เฉินผิงอันไม่มีความเห็นต่างกับเรื่องนี้ ถึงขั้นไม่มีความสงสัยอะไรมากนัก
เขตการปกครองยังคงครึกครื้นดังเดิม ราวกับว่าสำหรับชาวบ้านแคว้นหวงถิงแล้ว การที่ถูกยกจากสกุลเกาต้าสุยให้กลายเป็นบรรณาการของสกุลซ่งต้าหลีจะไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขานัก ชีวิตยังคงสุขสบายกันดังเดิม
แต่พอได้ยินว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีเคลื่อนทัพลงใต้ กองทัพม้ากองหนึ่งในนั้นยาตรามาตามเส้นทางชายแดนของต้าสุยและแคว้นหวงถิง
แม้ไม่ถึงขั้นไม่รุกรานชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่ได้สร้างคลื่นมรสุมอะไรที่ใหญ่โตให้กับราชสำนักแคว้นหวงถิง
ระหว่างที่เดินทางลึกเข้ามาใจกลางแคว้นหวงถิงเรื่อยๆ ก็ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้านร้านตลาดอยู่เนืองๆ สำหรับการที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกไปที่ใดที่นั่นก็พังราบเป็นหน้ากลอง พวกชาวบ้านถึงขั้นแสดงความภาคภูมิใจที่ตัวเองได้กลายเป็นประชาชนของต้าหลี จากตอนแรกที่สงสัยในการตัดสินใจของฮ่องเต้แคว้นหวงถิงก็เปลี่ยนมาเป็นให้การยอมรับและชื่นชม
ขณะเดียวกันจวนจื่อหยาง แม่น้ำอวี้เจียง แม่น้ำหันสือ ห้าขุนเขาของแคว้นหวงถิงก็กลายมาเป็นจวนตระกูลเซียนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาที่ได้รับการยอมรับจากราชสำนักต้าหลีก่อนผู้ใด มีหน้ามีตากันอย่างถึงที่สุด
ขยับเข้าใกล้ช่วงสนธยา พวกเขาก็ได้เข้ามาในเมือง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเผยเฉียนคือคนที่ดีใจที่สุด แม้จะบอกว่ายังเหลือระยะทางอีกช่วงหนึ่งกว่าจะไปถึงชายแดนต้าหลี แต่ถึงอย่างไรก็ขยับเข้าใกล้เขตการปกครองหลงเฉวียนมากขึ้นทุกทีแล้ว ราวกับว่าทุกก้าวที่นางย่างก้าวออกไปล้วนเป็นการเดินกลับบ้าน ช่วงที่ผ่านมานี้ทั่วร่างของนางจึงแผ่กลิ่นอายของความสดใสชื่นบาน
จูเหลี่ยนไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก คงเป็นเพราะมองตัวเองเป็นดั่งจอกแหนไร้รากที่ล่องลอยไปมา ไม่เคยหยุดพักพิงที่ใดนาน การเดินทางไปเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนก็เป็นแค่การเปลี่ยนทัศนียภาพให้ชื่นชมเท่านั้น แต่ความสงสัยใคร่รู้ต่อเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ในอดีตเคยเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะหลังจากที่รู้ว่าบนภูเขาลั่วพั่วมีปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางท่านหนึ่งอาศัยอยู่ จูเหลี่ยนก็อยากจะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายอย่างมาก
มีเพียงสือโหรวที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ
ประติดประต่อเอาจากการคุยเล่นของเฉินผิงอัน บวกกับที่ชุยตงซานเคยบรรยายให้นางฟังว่าเขตการปกครองหลงเฉวียนเป็นพื้นที่มังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบอย่างไร สือโหรวก็มักรู้สึกว่าการที่ตนสวมใส่คราบร่างเซียนนี้ไปเยือนที่นั่น ก็ไม่ต่างจากลูกแกะที่เดินเข้าปากเสือ
โดยเฉพาะเมื่อชุยตงซานจงใจสัพยอกนางด้วยประโยคว่า ‘อยู่อาศัยในคราบร่างเซียนนั้นไม่ง่าย’ ก็ยิ่งทำให้สือโหรวกลัดกลุ้มเป็นกังวล
เฉินผิงอันเข้าเมืองมาแล้วก็ไปซื้อหาของกระจุกกระจิกบางอย่างก่อน จากนั้นจึงเลือกเหลาสุรากลางเมืองที่คึกคักนั่งจิบเหล้าจอกเล็กกับจูเหลี่ยนสองสามจอก ถือโอกาสซื้อเหล้ากลับไปสองไห จากนั้นก็ไปหาโรงเตี๊ยมพักแรม
เมื่อเฉินผิงอันได้มาเดินบนถนนที่เจริญรุ่งเรืองของเขตการปกครองแห่งนี้อีกครั้ง เขากลับไม่ได้เจอผู้ฝึกกระบี่ ‘สง่างาม’ ที่มาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์อีกแล้ว
ไม่อย่างนั้นหากพวกเขายังทำร้ายผู้คนอย่างกำเริบเสิบสานอีก เฉินผิงอันก็ไม่ถือสาที่จะปล่อยหมัดต่อยให้พวกเขาร่วงลงมาจากกระบี่
ส่วนหลังจากนั้นจะมีคลื่นมรสุมตามมาหรือไม่ จะชักนำให้เหล่าบุรพาจารย์บนภูเขาปรากฏตัวหรือไม่ เฉินผิงอันไม่สนใจแม้แต่น้อย
เดินทางผ่านภูเขาห้อยหัวและสองทวีปมาแล้ว จึงรู้ว่าแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ อย่างแคว้นหวงถิงนี้ โดยทั่วไปแล้วเซียนดินโอสถทองก็ถือว่าเป็นผู้นำของเหล่าเซียนซือในหนึ่งแคว้น มีฐานะสูงส่งเกินจะปีนป่ายมากแล้ว อีกอย่างหากเจอกับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเข้าจริงๆ เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าจะเป็นฝ่ายกุมชัยชนะไว้ได้ แต่เมื่อมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลอย่างจูเหลี่ยนคอยคุมท้ายขบวนให้ อีกทั้งยังมีสือโหรวที่สามารถกลืนกินกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดได้โดยไม่เป็นอะไร เฉินผิงอันคิดจะเผ่นหนีก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เซียนดินโอสถทองที่ว่านี้ก็ยกตัวอย่างเช่นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าเฉิง รองเจ้ากรมผู้เฒ่ากรมครัวเรือนแคว้นหวงถิงที่ปีนั้นกลุ่มของพวกเฉินผิงอันไปขอพักค้างแรมในจวนส่วนตัวของเขาที่สร้างขึ้นในป่าลึก เขาคือผู้มีความรู้ยิ่งใหญ่ของแคว้นหวงถิงที่มีผลงานโด่งดังไปทั่ววงการวรรณกรรมทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปอย่าง ‘ชุดดาบเหล็กสะบัดเบา’
ภายหลังเฉินผิงอันถึงได้รู้ว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าคนนั้น แท้จริงแล้วในประวัติศาสตร์ของแคว้นหวงถิง เขาเคยใช้สถานะและรูปโฉมที่แตกต่างกันเดินทางท่องเที่ยวไปในโลกมนุษย์ และตอนนั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าก็เคยเชื้อเชิญพวกเฉินผิงอันที่เดินทางผ่านมาให้เข้าไปพักแรมที่จวนตัวเองอย่างกระตือรือร้น
เรือนที่เงียบสงบแต่งดงามตั้งอยู่ใกล้กับหน้าผาใหญ่ คือสถานที่มีชื่อเสียงที่ผู้คนพากันมาท่องเที่ยวอย่างไม่ขาดสายเนื่องจากมีทัศนียภาพงดงามเป็นเอก
ภายหลังชุยตงซานเปิดเผยความลับสวรรค์ให้รู้ว่า รองเจ้ากรมผู้เฒ่าคือเผ่าพันธ์เจียวที่ยังมีชีวิตอยู่ของแคว้นสู่โบราณซึ่งจำศีลมาอย่างยาวนานมากตัวหนึ่ง ตอนนั้นลูกศิษย์ของเขาเป็นผู้แนะนำ จึงได้ถูกราชสำนักต้าหลีเรียกตัวมาให้ทำหน้าที่เป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋น ส่วนบุตรสาวคนโตของเจียวเฒ่าก็เป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของจวนจื่อหยางซึ่งเป็นพรรคใหญ่อันดับหนึ่งบนภูเขาแคว้นหวงถิง บุตรชายคนเล็กคือเทพวารีแม่น้ำหันสือ บุตรสาวคนโตของเจียวเฒ่าก็คือเจียวเพศเมียโอสถทองที่มีขีดจำกัดด้านพรสวรรค์ นางพยายามจะใช้วิธีฝึกตนของสำนักนอกรีต จนกระทั่งสุดท้ายฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดไปได้ แต่น่าเสียดายที่ยังขาดไปอีกนิดหน่อย ภายในเวลาร้อยปีก็ไม่ต้องหวังว่าจะเลื่อนหน้าไปอีกขั้น
บนเส้นทางของการฝึกตน เผ่าพันธุ์เจียวหลงนั้นได้รับความเมตตาจากสวรรค์เป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าเมื่อสร้างโอสถทองได้แล้วการฝึกตนก็เริ่มยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์
ปีนั้นโชควาสนาห้าอย่างที่ใหญ่ที่สุดในถ้ำสวรรค์หลีจู ปลาหลีสีทองขององค์ชายเกาเซวียนต้าสุย งูสี่ขาที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมอยู่ในบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน มังกรเพลิงที่กลายร่างเป็นกำไลข้อมือขดล้อมอยู่บนข้อมือของหร่วนซิ่ว ที่ทับกระดาษไม้สลักเป็นรูปชือหลงที่ยังจำศีลอยู่ของจ้าวเหยา บวกกับปลาหนีชิวที่ปีนั้นเฉินผิงอันตกมาได้ด้วยตัวเอง แต่กลับมอบมันให้กู้ช่าน การที่พวกมันทำให้ผู้คนน้ำลายสออยากครอบครองได้ถึงขนาดนั้นก็เพราะพวกมันสามารถเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ใครที่ได้เลี้ยงพวกมันตัวใดตัวหนึ่งก็เท่ากับว่าได้มีผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่พลังการต่อสู้เทียบเคียงได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ
สำหรับในแจกันสมบัติทวีปที่เดิมทีก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนน้อยจนนับนิ้วได้แห่งนี้ ใครเล่าจะไม่อิจฉาตาร้อน?
อีกทั้งเผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งห้าตัวที่ระบบสายเลือดใกล้เคียงกับมังกรแท้จริงอย่างยิ่งนี้ หากยอมรับเจ้านายขึ้นมา จิตวิญญาณเชื่อมโยงถึงกัน พวกมันก็จะสามารถหันกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของเจ้านายได้อย่างต่อเนื่อง เท่ากับว่ามอบร่างกายและจิตวิญญาณที่แน่นหนาแข็งแกร่งเท่าเทียมกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตโอสถทองให้กับเจ้านายได้อย่างไร้รูปลักษณ์
เมื่อเฉินผิงอันเดินนำกลุ่มคนเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เขากับจูเหลี่ยนต่างก็หันหน้าไปมองทางถนนใหญ่พร้อมกัน
สตรีเรือนกายสูงเพรียวสีหน้าเย็นชาคนหนึ่งเดินเยื้องย่างตรงเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเฉินผิงอัน นางคลี่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดด้วยภาษาราชการของต้าหลีสำเนียงถูกต้อง “คุณชายเฉิน บิดาของข้ากับเว่ยป้อองค์เทพขุนเขาเหนือต้าหลีของพวกเจ้าเป็นสหายสนิทกัน ตอนนี้บิดาข้ารับตำแหน่งเป็นรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่ อีกทั้งในอดีตยังเคยรับรองคุณชายเฉินมาก่อน บิดาข้าสั่งความไว้แล้วว่า ก่อนที่ท่านจะไปจากแคว้นหวงถิง หากคุณชายเฉินเดินทางผ่านมาที่นี่ ข้าจะต้องทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดี ห้ามเพิกเฉยเด็ดขาด ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้รับจดหมายจากทางบ้านที่ส่งมาจากภูเขาพีอวิ๋น จึงมารอคอยท่านอยู่ที่นี่มานานมากแล้ว หากการลอบสังเกตการเหล่านี้เป็นการล่วงเกินคุณชายเฉิน หวังว่าท่านจะให้อภัย ข้าขอเชิญให้คุณชายเฉินไปเป็นแขกที่จวนจื่อหยางของข้าสักสองสามวันด้วยใจจริง”
เฉินผิงอันถาม “เพราะต้องเร่งรีบเดินทาง หากคืนนี้ข้าปฏิเสธผู้อาวุโส จะเป็นการสร้างปัญหายุ่งยากให้ผู้อาวุโสหรือไม่?”
—–