หลินโส่วอีส่ายหน้า “ข้าคนนี้ค่อนข้างจะแข็งกระด้าง ไม่อยากคิดเรื่องมากมายให้วุ่นวาย ข้อนี้ข้าห่างชั้นกับเจ้าเฉินผิงอันหนึ่งแสนแปดพันลี้ ข้าไม่มีทางเดาถูกแน่นอน”
เฉินผิงอันเองก็ไม่คิดจะแกล้งอุบเอาไว้ เขากล่าวว่า “เจ้าเคยบอกข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่เป็นเหมือนพ่อแม่ของข้าเฉินผิงอัน”
หลินโส่วอีรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
เฉินผิงอันยื่นหมัดออกมาแล้วชูนิ้วหนึ่งนิ้ว ยิ้มพูดว่า “อันดับแรก ข้าดีใจมากที่เจ้าหลินโส่วอีเต็มใจเอ่ยคำพูดเช่นนี้ นี่หมายความว่าเจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อน ถึงอย่างไรตัวตนของเจ้าก็เป็นปมในใจที่ใหญ่ที่สุดของเจ้ามาโดยตลอด”
เฉินผิงอันยื่นนิ้วที่สองออกมา “ประโยคนี้ฝังแน่นอยู่ในใจของข้า เป็นเหตุให้หลังจากการเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลดอกบัวของข้ายุติลง ข้าถึงสามารถเดินทางร่วมกับเผยเฉียนจนมาถึงที่นี่ นี่ล้วนต้องยกคุณความชอบให้กับประโยคนี้ของเจ้า”
แล้วเฉินผิงอันก็ชูนิ้วที่สาม “อีกทั้งพอได้ยินประโยคนี้แล้ว ข้าก็เหมือน…คนยากจนข้นแค้นคนหนึ่งที่อยู่ดีๆ ก็พลันค้นพบว่าที่แท้ตัวเองก็คือคนมีเงินที่ได้รับสืบทอดทรัพย์สมบัติก้อนโต! พอคิดถึงเรื่องนี้ ต่อให้ข้าได้เห็นคนวัยเดียวกันที่มีเงินมากกว่า ยกตัวอย่างเช่นฟ่านเอ้อร์ที่กลายมาเป็นสหายกันในภายหลัง หรือไม่ก็หลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่ไม่ได้กลายมาเป็นเพื่อนกัน ยามอยู่กับพวกเขา ข้ากลับไม่เคยรู้สึกว่าการที่ตัวเองไม่มีเงินเป็นเรื่องน่าอายอะไร”
หลินโส่วอีหัวเราะ จากนั้นก็พูดประโยคหนึ่งที่เหมือนเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ “ข้าเดาว่าซ่งจี๋ซินคงเกลียดเจ้าในข้อนี้มากที่สุด”
เฉินผิงอันพยักหน้าเห็นด้วย
เฉินผิงอันมาหยุดเท้าอยู่ตรงหน้าหอเก็บตำรา เงยหน้ามองหอสูง “หลินโส่วอี น้ำใจอันน้อยนิดที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงนั้นของข้า กลับถูกเจ้าเห็นความสำคัญและทะนุถนอมเช่นนี้ ข้าดีใจมาก ดีใจมากเป็นพิเศษ”
หลินโส่วอีกลับกล่าวว่า “บนโลกใบนี้ แม้แต่คนดีก็ยังชอบเรียกร้องคนดีด้วยกันเอง ดังนั้นเจ้าต้องเห็นค่าและทะนุถนอมเพื่อนอย่างข้าเอาไว้ให้ดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว!”
หลินโส่วอีเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามอบของให้ข้า ในอนาคตข้าจะมอบของขวัญกลับคืนหรือไม่ ก็คงไม่ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง โอบไหล่หลินโส่วอีเข้าหาตัว “ฝันไปเถอะ!”
หลินโส่วอีออกแรงเล็กน้อยดีดเฉินผิงอันออกห่าง จัดอาภรณ์ให้เป็นระเบียบ พูดบ่นว่า “หากให้สตรีในสำนักศึกษามาเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจสูญเสียคนที่ชื่นชมเลื่อมใสไปหลายคน แน่นอนว่าข้าไม่มีทางชอบพวกนาง แต่ก็ไม่รังเกียจที่พวกนางจะชอบข้า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าว่าหลายปีที่อยู่ในสำนักศึกษามานี้ อันที่จริงเป็นเจ้าหลินโส่วอีที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ต่างหากที่เปลี่ยนแปลงไปมากที่สุด”
หลินโส่วอีมองสบตาเฉินผิงอัน ทั้งคู่ต่างก็คิดถึงคนผู้หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานพร้อมกัน
นี่คงจะเป็นจิตที่สื่อถึงกันของคนเป็นสหายกระมัง
คนบ้านเดียวกันสองคนพูดคุยกันอย่างผ่อนคลายพลางเดินก้าวยาวๆ เข้าไปในหอเก็บตำราด้วยกัน
หลักการเหตุผลนับไม่ถ้วนในตำรากำลังรอให้พวกเขาไปเปิดอ่านและรับเอาไป
……
ทางฝ่ายของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวเพิ่งจะกลับมาจากเหลาสุราในเมืองเล็กหลังจากดื่มเหล้าเลี้ยงอำลากับสหาย
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็ก สังเกตเห็นว่าเขาเหมือนจะอารมณ์ห่อเหี่ยวไม่ร่าเริงจึงถามว่า “ไม่ได้ดื่มเหล้ากับสหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของเจ้าอย่างเต็มคราบหรือ? หรือว่าค่าเหล้าแพงเกินไป?”
เด็กชายชุดเขียวนั่งแปะลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ข้างกายนาง ยกสองมือเท้าคาง “เรื่องในยุทธภพ เจ้าไม่เข้าใจหรอก”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูยื่นมือออกมาเทเมล็ดแตงแบ่งให้เขาบางส่วน เด็กชายชุดเขียวไม่ได้ปฏิเสธ
ก่อนหน้านี้เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แผ่นหนึ่งไปครองอย่างราบรื่นโดยอาศัยความช่วยเหลือจากเด็กชายชุดเขียว
จากนั้นก็ได้รับอนุญาตจากกรมพิธีการราชสำนักแคว้นหวงถิงให้ออกมานอกอาณาเขต ผ่านด่านชายแดนของต้าหลีมาเยี่ยมเยือนที่ภูเขาลั่วพั่ว
เด็กชายชุดเขียวพาเพื่อนรักที่ดีที่สุดในยุทธภพท่านนั้นไปเดินเที่ยวตามที่ต่างๆ หลายแห่ง เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูคาดเดาเอาว่าเจ้าหมอนี่คงคุยโวโอ้อวดต่อเทพวารีไปไม่น้อย
เด็กชายชุดเขียวแทะเมล็ดแตงโมเสร็จแล้วก็คร่ำครวญด้วยความกลัดกลุ้ม เกาหูเกาแก้มอย่างงุ่นง่าน แต่เพียงชั่วพริบตาก็สงบนิ่ง สองขาเหยียดตรง ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นอนตัวอ่อนพังพาบอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ พูดช้าๆ ว่า “องค์เทพแห่งลำคลองและแม่น้ำแบ่งออกเป็นสามหกเก้าระดับ ตอนที่ดื่มเหล้ากัน สหายคนนี้ของข้าบอกว่าได้พบกับเทพแม่น้ำที่ระดับขั้นสูงที่สุดของแม่น้ำเถี่ยฝูผู้นั้นแล้วก็ให้อิจฉาเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยอยากให้ข้าช่วยพูดถึงเขากับราชสำนักต้าหลีด้วยถ้อยคำดีๆ สักสองสามคำ อยากให้ช่วยยกแม่น้ำลำคลองสายย่อยทั้งหลายให้ขึ้นตรงกับเขตการปกครองแม่น้ำอวี้เจียงของเขา”
“ถ้าอย่างนั้นเขาให้เงินเทพเซียนสำหรับช่วยสร้างความสัมพันธ์กับเจ้าไหม?”
“ไม่”
สีหน้าของเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแปลกประหลาด
เด็กชายชุดเขียวถลึงตาใส่นาง พูดอย่างมีโทสะ “ไม่ใช่ว่าสหายคนนี้ของข้าขี้งก เขาพูดเองว่า ระหว่างสหายด้วยกัน พูดคุยเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้นไม่เหมาะไม่ควร ข้ารู้สึกว่ามีเหตุผล ตอนนี้ข้าก็แค่กลุ้มว่าควรจะเข้าวัดไหนไปจุดธูปไหว้พระโพธิสัตว์องค์ใด เจ้าเองก็รู้ดีว่าเจ้าเว่ยป้อผู้นั้นไม่ชอบขี้หน้าข้ามาโดยตลอด คราวก่อนที่ไปไหว้วานให้เขาช่วย เขาไม่มีคุณธรรมและน้ำใจให้เลยสักนิด ส่วนคำพูดของเทพภูเขาบนยอดเขาของเราที่มีหัวเป็นสีทองผู้นั้นก็ยิ่งไร้ประโยชน์ เจ้าเมืองอู๋ยวน นายอำเภอแซ่หยวน ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยไปพบมาแล้วแต่ไม่เป็นผล กลับเป็นคนที่ชื่อสวี่รั่ว มือกระบี่ที่มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยให้พวกเราคนละแผ่นน่ะ ข้ารู้สึกว่าน่าจะได้เรื่อง เพียงแต่ว่าข้าหาตัวเขาไม่พบ”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูแทะเมล็ดแตงพลางพูดเบาๆ ว่า “ต่อให้หาวัดเจอ แต่เจ้ามีเงินบูชาพระหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวเริ่มรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ “สวี่รั่วผู้นั้นอาจจะไม่เก็บเงินข้าก็ได้ เจ้าก็เห็นว่าสวี่รั่วสนิทกับนายท่านของพวกเรามากขนาดนั้น เขาจะกล้าเก็บเงินข้าเชียวหรือ? หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็ติดไว้ก่อน วันหน้าค่อยยืมเงินจากนายท่านไปคืนให้สวี่รั่ว แบบนี้คงจะได้อยู่กระมัง?”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเกิดโทสะขุ่นเคืองอย่างที่หาได้ยาก “เจ้านี่มันเป็นยังไงนะ?! ทำไมถึงต้องคอยพะวงถึงเงินของนายท่านตลอดเวลา?”
เด็กชายชุดเขียวบ่นพึมพำ “เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษลำบากได้ มีอะไรน่าแปลกตรงไหน ใครเล่าไม่เคยมีช่วงเวลาที่ตกอับ อีกอย่างที่นี่ก็เรียกว่าภูเขาลั่วพั่ว (ตกอับ) ไม่ใช่หรือ ต้องโทษนายท่านนั่นแหละ ดันเลือกภูเขาที่ชื่อไม่เป็นมงคลแบบนี้”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูโมโหยิ่งกว่าเดิม “นี่ยังจะโทษนายท่านอีกหรือ?! มโนธรรมในใจเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง?!”
หากเปลี่ยนไปเป็นเรื่องอื่น นางกล้าพูดแบบนี้กับเขา ป่านนี้ไฟโทสะของเด็กชายชุดเขียวคงลุกโชนสามจั้งไปแล้ว แต่วันนี้แม้แต่นึกจะโกรธ เด็กชายชุดเขียวก็ยังไม่อยากโกรธ เขาไม่มีอารมณ์นั้นจริงๆ
และเวลานี้เอง เว่ยป้อที่ช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมามาเยือนภูเขาลั่วพั่วน้อยครั้งก็พลันปรากฏตัวอยู่บนทางเดิน เดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างเชื่องช้า
เด็กชายชุดเขียวกระโดดผลุงขึ้นแล้ววิ่งเต็มเหยียดเข้าหาอีกฝ่าย พยายามประจบเอาใจอย่างสุดฤทธิ์ “ท่านเทพใหญ่เว่ย เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างมาเป็นแขกที่บ้านพวกเราได้เล่า เดินเหนื่อยหรือไม่ อยากนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่หรือไม่ ให้ข้าทุบไหล่นวดขาให้ท่านผู้อาวุโสดีไหม?”
เว่ยป้อยื่นมือมาดันศีรษะของเด็กชายชุดเขียวออก “ไปไกลๆ เลยไป”
เด็กชายชุดเขียวยกสองมือกอดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งของเว่ยป้อเอาไว้แน่น แต่กลับโดนเว่ยป้อเหวี่ยงลงบ่อน้ำที่อยู่ด้านหลังเรือนไม้ไผ่
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูส่ายหน้า เสียหน้านายท่านหมดแล้วจริงๆ
เว่ยป้อนั่งยองอยู่ข้างบ่อน้ำขนาดเล็กที่น้ำใสแจ๋วจนมองเห็นก้นบึ้ง เมล็ดพันธ์ของดอกบัวสีทองเริ่มแตกหน่อแล้ว
เด็กชายชุดเขียวนั่งยองอยู่ด้านข้าง “เทพเซียนผู้เฒ่าเว่ย ขอข้าปรึกษาท่านสักเรื่องได้ไหม?”
เว่ยป้อจ้องนิ่งไปยังเมล็ดพันธ์ที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งเมล็ดนั้น ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหนึ่งใน ‘มรดกตกทอด’ ที่เจ้าลัทธิเต๋าลู่เฉินทิ้งไว้ในใต้หล้าแห่งนี้ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดโชคชะตาของแคว้นเสินสุ่ยขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว แต่กลับยังมีเส้นใยบางๆ เชื่อมโยงไว้ โชคชะตายังไม่สลายไปหมดสิ้น และยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเว่ยป้อคอยจับจ้องเทพแม่น้ำเถี่ยฝูหยางฮวาผู้นั้นไม่ให้คลาดสายตา ในฐานะองค์เทพที่หลงเหลืออยู่เพียงองค์เดียวของแคว้นเสินสุ่ย ท่ามกลางหายนะของปีนั้น เว่ยป้อสามารถหนีเอาชีวิตรอดจนอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ จนกระทั่งได้เลื่อนขั้นกลายเป็นองค์เทพขุนเขาเหนือของราชวงศ์ต้าหลี เป็นเพราะเจตนารมณ์สวรรค์ที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าต้องมีความอดทนของตัวเว่ยป้อเองซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดด้วย คนที่ไม่ช่วยเหลือตัวเอง สวรรค์ย่อมไม่ช่วยเหลือ
เว่ยป้อเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย เพียงแค่ประโยคเดียวก็สะบั้นความคิดที่หวังว่าตัวเองจะโชคดีของเด็กชายชุดเขียวไปจนสิ้น “เทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเห็นเจ้าเป็นคนโง่ แล้วเจ้าก็ดีใจที่ได้เป็นคนโง่ขนาดนี้เชียวหรือ?”
เด็กชายชุดเขียวลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง พอเดินไปได้สองสามก้าว หันกลับมาเห็นว่าเว่ยป้อนั่งหันหลังให้ตัวเอง จึงยืนอยู่ตรงที่เดิมแล้วสาวเท้าเตะออกหมัดต่อยสะเปะสะปะใส่แผ่นหลังที่เกะกะลูกตา แล้วถึงได้รีบวิ่งหนีไปไกล
สุดท้ายก่อนที่เว่ยป้อจะไปจากภูเขาลั่วพั่วก็ยิ้มพูดกับเจ้าตัวน้อยทั้งสองที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ว่า “อีกไม่นานนายท่านของพวกเจ้าก็จะกลับมาแล้ว”
แล้วเว่ยป้อก็ทะยานจากไปไกล
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูดีใจสุดประมาณ เพียงแต่พอหันหน้ามา ไม่รู้ว่าทำไมเด็กชายชุดเขียวที่เดิมทีควรปิติยินดีเช่นเดียวกับนางถึงได้นั่งเหม่ออยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่
นางถามเบาๆ ว่า “เป็นอะไรไป?”
เด็กชายชุดเขียวพึมพำตอบ “เจ้าโง่ขนาดนั้นแล้ว แต่นี่เว่ยป้อกลับดันมาพูดว่าข้าก็เป็นคนโง่ด้วย เจ้าว่าถ้านายท่านกลับมาเจอพวกเราคราวนี้จะผิดหวังมากหรือไม่”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นขึ้ง ไม่สนใจเจ้าคนที่ใจจืดใจดำผู้นี้อีกต่อไป นางไปตักน้ำมาหนึ่งถังพร้อมกับหยิบผ้ามาหนึ่งผืน แล้วจึงเริ่มเช็ดถูเรือนไม้ไผ่อย่างละเอียด
เด็กชายชุดเขียวค้อมตัวลง เอามือเท้าคาง เขาเคยวาดภาพหนึ่งไว้อย่างมีความหวัง นั่นก็คือตอนที่สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงมาเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว เขาจะสามารถนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านข้าง มองดูเฉินผิงอันกับสหายของตัวเองเรียกขานกันเป็นพี่เป็นน้อง เจ็บใจที่พบเจอกันช้าไป ผลัดกันชนจอกเหล้าครั้งแล้วครั้งเล่า หากเป็นเช่นนั้น เขาคงภาคภูมิใจอย่างมาก หลังจากงานเลี้ยงเลิกรา ตอนที่เขากลับมาภูเขาลั่วพั่วกับเฉินผิงอันก็จะได้คุยโวถึงประสบการณ์ในยุทธภพของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังว่าตอนอยู่แม่น้ำอวี้เจียงตนมีหน้ามีตาขนาดไหน
แต่เขาเพิ่งจะค้นพบว่าดูเหมือนจะเป็นไปได้ยาก
เด็กชายชุดเขียวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองเปลือกเมล็ดแตงบนพื้น ดูเหมือนว่ายังมีบางส่วนที่เป็นปลาหลุดลอดแหไป เด็กชายชุดเขียวที่เบื่อหน่ายสุดขีดจึงเก็บมันขึ้นมากิน คล้ายว่ารสชาติจะดีกว่าปกติเล็กน้อย?
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่กำลังเช็ดถูขั้นบันไดเรือนหันมาเห็นภาพนี้เข้าพอดีก็ถามอย่างตกตะลึงว่า “เจ้าจนขนาดนี้แล้วหรือ? เจ้าคงไม่ได้เอาทรัพย์สินของตัวเองมอบให้สหายเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงไปหมดแล้วหรอกนะ?”
เด็กชายชุดเขียวอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อยแล้ว เขาหันมาเหลือกตามองบนใส่นาง “ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย จะไม่คิดเก็บเงินไว้แต่งเมียบ้างเลยหรือ? ข้าไม่อยากเป็นคนโสดอย่างเหล่าชุยหรอกนะ! ตอนยังเยาว์ไม่รู้จักเก็บเงิน แก่ตัวไปก็ต้องยอมเป็นตาแก่ขึ้นคานแต่โดยดี หลักการนี้ รอให้นายท่านของพวกเรากลับบ้านมาเมื่อไหร่ ข้าต้องพูดให้เขาฟังสักหน่อย เขาจะได้ไม่ทำตัวเป็นกุมารแจกทรัพย์แบบนั้นอีก…”
เสียงปังดังสนั่น
ร่างทั้งร่างของเด็กชายชุดเขียวกระเด็นลิ่วออกไปนอกหน้าผา
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเห็นจนเคยชินเสียแล้ว จึงไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของเขา
งูยาวสีเขียวตัวหนึ่งพลันเผยร่าง ทะยานลมล้อเมฆ จากนั้นก็เลื้อยคลานขึ้นมาบนหน้าผาสูงชัน กลับคืนสภาพมาเป็นเด็กชายชุดเขียวอีกครั้ง เขาเดินอาดๆ กลับมาที่เรือนไม้ไผ่ “คำพูดจริงใจฟังแล้วระคายหูเสมอ มิน่าเล่านับแต่โบราณมา ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ภักดีถึงมีจุดจบที่ดีได้ยาก…”
แล้วเสียงปังก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ร่างของเด็กชายชุดเขียวลอยหวือไปอีกรอบ
ครั้งที่สองที่เขาย้อนกลับมายังยอดเขาก็เห็นว่ามีผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ แต่กลับเปลือยเท้าเปล่ายืนอยู่บนชั้นที่สองของเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวรีบตะโกนโหวกเหวกทันที “เหล่าชุย ครั้งนี้ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!”
แล้วก็โดนฟาดร่วงกลับลงไปในหุบเหวอีกครั้ง
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูเดินขึ้นมาเช็ดราวระเบียงของชั้นสองแล้ว นางรู้สึกฉงนฉงายเล็กน้อย
ผู้เฒ่าแซ่ชุยยิ้มบางๆ กล่าวว่า “โดนฟาดให้เจ็บๆ คันๆ จะได้จำไว้เป็นบทเรียน”
เด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูไม่อาจโต้ตอบกลับไปได้ จึงไม่คิดจะขอร้องแทนเด็กชายชุดเขียวอีก
บนเส้นทางภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เด็กชายชุดเขียวผรุสวาทพลางวิ่งตะบึงไปตลอดทาง
—–