เรื่องแบบนี้จะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่
โดยทั่วไปแล้วต่อให้ต้งหลิงเจินจวินบรรพจารย์ที่ตั้งใจฝึกตนท่านนี้รู้เรื่องสกปรกหยุมหยิมประเภทนี้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่านางจะขยับเปลือกตาหรืออ้าปากพูดจารุนแรงสักครึ่งคำ
ไม่แน่ว่าคนที่เอาความลับมาบอก กับเจ้าคนน่าสงสารที่ถูกเปิดโปงอาจจะถูกนางขับไล่ไปด้วยความรังเกียจ ลงโทษโบยคนละห้าสิบไม้แล้วโยนออกไปนอกประตูใหญ่จวนจื่อหยางพร้อมกัน เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะมันทำให้นางอารมณ์ไม่ดี
แม้บรรพจารย์จะไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกของจวนจื่อหยาง แต่ทุกครั้งที่มีคนทำให้นางโมโหก็จะต้องขุดดินลึกสามฉื่อ ลากหัวไชเท้าให้พ้นออกมาจากดิน ถึงเวลานั้นทั้งหัวไชเท้าและดินต่างก็ต้องเจอหายนะ ไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก เรียกได้ว่าเป็นคนที่ไม่นับทั้งญาติและมิตรอย่างแท้จริง
ในประวัติศาสตร์มีผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรที่สร้างคุณความชอบอยู่หลายคนที่หากจะบอกว่าสุขุมรอบคอบ ยอมตายเพื่อจวนจื่อหยางก็ไม่มากเกินไปแม้แต่นิดเดียว ไม่ขาดทั้งคุณความชอบและคุณความเหนื่อยยาก แล้วก็มีลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์อีกหลายคนที่ต่างก็มีคุณสมบัติในการเป็นเซียนดินโอสถทอง ทว่าหลังจากเกิดเรื่องก็ยังต้องถูกบรรพจารย์จับตัวไปด้วยตัวเอง จากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวส่งมาอีก
อู๋อี้ยังคงไม่ได้แสดงความเห็นของตน นางถามอย่างไม่ใส่ใจว่า “พวกเจ้าคิดว่าข้าควรจะพบนางดีหรือไม่?”
ทุกคนมีความเห็นไม่ตรงกัน บ้างบอกว่าเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นี้ใจกล้าเทียมฟ้า อาศัยความสัมพันธ์น้อยนิดที่มีต่อสกุลถังจึงไม่เคยมอบบรรณาการเรียกตัวเองว่าขุนนางต่อจวนจื่อหยางของพวกเรา ในเมื่อนางกล้ามาจวนจื่อหยาง ไม่สู้ลองหาข้ออ้างบางอย่างจับตัวนางขังไว้ในคุกน้ำใต้ดินของจวน หลังจากนั้นค่อยเลือกหุ่นเชิดที่เชื่อฟังคนหนึ่งมาทำหน้าที่เป็นเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ ฝ่ายเรามีแต่ได้กับได้ แต่ก็มีคนที่ไม่เห็นด้วย บอกว่าถึงอย่างไรฮูหยินเซียวหลวนท่านนี้ก็เป็นองค์เทพแห่งสายน้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องของแคว้นหวงถิงที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ตอนนี้แคว้นหวงถิงมีคลื่นใต้น้ำ แม้ว่าจวนจื่อหยางของพวกเราจะถือว่าได้ขึ้นฝั่งมาแล้ว แต่ทางที่ดีที่สุดช่วงนี้ก็ควรทำอะไรอย่างรอบคอบสุขุม จวนจื่อหยางที่ยิ่งใหญ่จำต้องใจแคบกับเทพวารีที่เป็นเพื่อนบ้านด้วยหรือ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปก็มีแต่จะกลายเป็นเรื่องตลกของผู้คน
อู๋อี้หงุดหงิดยิ่งนัก นางตบที่วางแขนเก้าอี้ พูดกับผู้ฝึกตนโอสถทองที่เป็นเจ้าประมุขคนปัจจุบันว่า “ฮูหยินเซียวหลวนผู้นี้ไม่ได้หน้าใหญ่ขนาดที่จะทำให้ข้าออกไปต้อนรับนางด้วยตัวเองได้ หวงฉู่ เจ้าออกไปพบนาง ดูสิว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่ หากพูดจาไม่เข้าหู หรือมีเรื่องจะขอร้องให้ช่วยแต่ให้ราคาต่ำเกินไปก็จับโยนไปไว้ในคุกน้ำ หากพูดจานอบน้อมมากพอ หรือไม่ก็ให้ราคาที่เป็นธรรม ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงแลกเปลี่ยนกับนางซะ แม้ว่ากิจการของจวนจื่อหยางจะใหญ่โต แต่ใครเล่าที่ไม่ชอบเงิน หากพูดคุยกันถูกคอ คืนนี้ก็สามารถเชิญให้นางเข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับคุณชายเฉินได้ จำไว้ว่าที่นั่งของนาง…อืม ให้อยู่ติดกับประตูใหญ่ที่สุดก็แล้วกัน”
หวงฉู่เจ้าประมุขจวนจื่อหยางกุมหมัดรับคำสั่ง
เส้นสายตาของอู๋อี้กวาดมองไปบนร่างของทุกคน พูดด้วยรอยยิ้มคลุมเครือว่า “ตอนที่ข้าไม่อยู่ พวกเจ้าทำอย่างไร ข้าจะไม่สนใจก็ได้ แต่ตอนนี้ข้าอยู่ในจวนจื่อหยาง หากพวกเจ้ากล้าทำอะไรโดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง นั่นก็เท่ากับว่าเห็นข้าเป็นคนโง่”
หวงฉู่เจ้าประมุขที่เดิมทีมีความคิดสกปรกอยู่เสี้ยวหนึ่ง เพราะฮูหยินเซียวหลวนเทพวารีมีชื่อเสียงด้านความงามเลื่องลือไกล เขาปรารถนาในความงามของนางมาเนิ่นนานแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่วิชาสองผสานของเทพวารีท่านนี้สามารถบำรุงจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนได้อย่างดีเยี่ยม หากกักขังนางไว้ในคุกน้ำ ค่อยๆ ลับความแหลมคมของนาง รอจนวันใดที่บรรพาจารย์ไปจากจวนจื่อหยาง เจ้าประมุขอย่างเขาจะยังไม่ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการอีกหรือ? เพียงแต่ว่าคำพูดประโยคนี้ของอู๋อี้ทำให้เขาหวาดผวาพรั่นพรึง ตกใจจนชาไปทั้งหนังศีรษะ รีบก้มหน้าประสานมือกล่าวว่า “หวงฉู่มีหรือจะกล้าทรยศต่อพระคุณที่บรรพจารย์ช่วยอบรมปลูกฝัง มีหรือจะกล้ารนหาที่ตายเช่นนี้?!”
อู๋อี้หน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม ไม่เอ่ยอะไรอีก
หวงฉู่ค่อยๆ ถอยออกมาจากโถงเจี้ยนชื่อ พอเดินออกมาแล้ว เหงื่อก็แตกพลั่กท่วมร่าง
คนอื่นๆ ที่เหลือก็ทยอยกันออกไป แต่ละคนต่างก็รู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
อู๋อี้พลันขมวดคิ้ว ยื่นมือออกมาคว้าประกายแสงเส้นหนึ่งที่แหวกอากาศตรงเข้ามาหา นั่นคือกระบี่บินส่งข่าวที่สามารถมองข้ามค่ายกลจวนจื่อหยางได้อย่างสิ้นเชิง
วิธีการที่น่าตะลึงเช่นนี้ ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าต้องเป็นฝีมือของท่านบิดาที่ไปเป็นรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาอะไรนั่นแน่นอน
อ่านเนื้อหาในจดหมายเรียบร้อยแล้ว อู๋อี้ก็นวดคลึงหว่างคิ้วเพราะปวดหัวอย่างยิ่ง อีกทั้งยังรู้สึกเดือดดาลอย่างที่แทบจะระงับไม่อยู่
นางตบที่พักแขนของบัลลังก์มังกรที่ทำจากไม้จื่อถ่านจนแตกละเอียด
ตนเกรงใจมากพอแล้ว ยังจะให้ต้อนรับขับสู้อย่างกระตือรือร้นถึงขนาดไหนอีก?
หรือจะต้องยกเฉินผิงอันผู้นั้นขึ้นบูชาประดุจบรรพบุรุษของตัวเอง?
เพียงแต่พอคิดถึงสีหน้ามืดทะมึนของบิดา สุดท้ายอู๋อี้ที่สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างก็ถอนหายใจยาวเหยียด ช่างเถิด ก็แค่ต้องอดทนวันสองวันเท่านั้น
……
สีสนธยาเยื้องกรายมาเยือน ตลอดทั้งตำหนักจื่อชี่จุดไฟสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
คืนนี้จวนจื่อหยางจัดงานเลี้ยงใหญ่ สถานที่คือโถงเซวี่ยหมางในตำหนักจื่อชี่ที่เอาไว้ใช้ต้อนรับแขกสูงศักดิ์อันดับหนึ่ง
ฮูหยินเซียวหลวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่พาสาวใช้และพวกซุนเติงเซียนสามคนเดินตามผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยคนหนึ่งของจวนจื่อหยางมุ่งหน้าไปยังงานเลี้ยงที่โถงเซวี่ยหมาง
พูดคุยธุระกันเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมฮูหยินเซียวหลวนถึงได้รู้สึกว่าเจ้าประมุขหวงฉู่ค่อนข้างจะระมัดระวังตัว ไม่มีมาดฮึกเหิมสง่างามอย่างเวลาที่ไปเผยตัวตามจวนตระกูลเซียนแห่งต่างๆ ในอดีต
ที่พักของพวกเขาถูกหวงฉู่จัดไว้ในแถบที่ค่อนข้างห่างไกลของจวนจื่อหยาง ไม่มีทางจะได้มาพักอยู่ในตำหนักจื่อชี่ซึ่งเป็นเรือนส่วนตัวของอู๋อี้แห่งนี้ อีกทั้งยังมีแค่ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตสามซึ่งเป็นลูกศิษย์ฝ่ายนอกคนหนึ่งของจวนจื่อหยางคอยรับผิดชอบอาหารและที่พักของพวกเขา ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ผู้ฝึกตนขอบเขตสามเล็กๆ ผู้นี้ก็ยังไม่ทำสีหน้าดีๆ ให้เจ้าแม่เทพวารีของแม่น้ำใหญ่ได้เห็น จวนจื่อหยางก็เป็นดั่งร้านใหญ่ไม่แยแสลูกค้า ความเย่อหยิ่งหัวสูงที่แผ่ออกมาจากส่วนลึกของกระดูกเช่นนั้น เห็นได้ชัดเจนเพียงมองแค่ปราดเดียว
นอกจากฮูหยินเซียวหลวนแล้ว ตอนนั้นสาวใช้และบุรุษทั้งสามต่างก็มีสีหน้าไม่น่ามองนัก มีเพียงฮูหยินเซียวหลวนที่มีสีหน้าสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลา
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ยิ่งเกินจะทนรับ ทำให้สาวใช้และพวกซุนเติงเซียนไม่อาจตีหน้านิ่งเฉยได้อีกต่อไป แต่ละคนต่างก็แค่นเสียงเย็นชาออกจากลำคอ
หลังจากผู้ฝึกตนขอบเขตสามคนนั้นเดินผ่านประตูใหญ่ของตำหนักจื่อชี่มาอย่างระมัดระวังแล้ว ทุกก้าวที่เดินรู้สึกเหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ ข่าวลือเกี่ยวกับตำหนักจื่อชี่ล้วนทำให้คนเกิดความเคารพยำเกรง ผลกลับกลายเป็นว่าเดินไปได้ครึ่งทาง นางก็บอกทางคร่าวๆ ให้กับแขกกลุ่มนั้นแล้วบอกว่าให้ฮูหยินเซียวหลวนไปที่โถงเซวี่ยหมางด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรที่นั่งของนางก็หาได้ง่าย เพราะอยู่ติดกับประตูใหญ่
ฮูหยินเซียวหลวนเอ่ยปลอบใจทุกคนอยู่สองสามคำ แต่ก็ไม่ได้ผลสักเท่าไหร่ จึงได้แต่ยิ้มเจื่อนเดินนำไปข้างหน้า
พอเดินอ้อมกำแพงบังตาก็ไปเจอเข้ากับกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งในระเบียงยาว
ซึ่งก็คือพวกเฉินผิงอันสี่คน ก่อนหน้านี้มีผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งไปเชิญเฉินผิงอันด้วยตัวเอง แต่เฉินผิงอันถามทางเรียบร้อยแล้วก็บอกว่าไม่รบกวนให้ท่านผู้อาวุโสช่วยนำทาง เดี๋ยวตนเดินทางไปเองก็พอ เดิมทีผู้ฝึกตนเฒ่าแห่งจวนจื่อหยางที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างทุกคนอยากจะยืนกราน แต่พอนึกถึงคำพูดของบรรพจารย์ในโถงเจี้ยนชื่อก่อนหน้านี้ รวมไปถึงสิ่งที่ตนขบคิดออกมาได้ก็รู้สึกว่าควรจะอิงตามความต้องการของคุณชายเฉินผู้นี้จะดีกว่า จึงเอ่ยลาและหมุนตัวไปทำธุระของตัวเองต่อ
ทั้งสองฝ่ายมาเจอกันตรงจุดตัดของระเบียงสองเส้นพอดี
เฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายหยุดเดิน เปิดทางให้ฮูหยินเซียวหลวนเดินนำไปก่อน
ฮูหยินเซียวหลวนผงกศีรษะพลางคลี่ยิ้มน้อยๆ ถือเป็นการขอบคุณในความมีมารยาทของคนแปลกหน้าผู้นี้
คนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ยาวคนหนึ่งที่อยู่ในตำหนักจื่อชี่?
ฮูหยินเซียวหลวนไม่ได้คิดอะไรมาก
ทว่าสาวใช้ของนางกลับเหลือบมองเฉินผิงอันซ้ำอีกรอบ โอ้โห ตรงเอวยังห้อยกาเหล้าสีชาดเล็กๆ ไว้ใบหนึ่งด้วยนะ
มองดูคล้ายเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลฝ่ายในของจวนจื่อหยาง แต่ทำไมถึงไม่มีท่าทางโอหังเหมือนพวกผู้ฝึกตนจวนจื่อหยางเลยเล่า?
ซุนเติงเซียนที่เดินอยู่ด้านหลังสุดกลัดกลุ้มเป็นทุกข์ยิ่งนัก จึงไม่ทันได้สนใจกลุ่มของเฉินผิงอัน
แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินคนตะโกนขึ้นว่า “จอมยุทธใหญ่?!”
ซุนเติงเซียนไม่ได้สนใจ ยังคงเดินหน้าต่อไป
แต่คนผู้นั้นยังพูดต่อว่า “จอมยุทธใหญ่! พวกเราเคยพบกันมาก่อนที่หน้าวัดร้างเทือกเขาสันตะขาบ”
ซุนเติงเซียนอึ้งตะลึง หยุดฝีเท้า หันหน้ากลับไปมองก็เห็นคนหนุ่มชุดขาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสคนนั้น “เจ้าคือ?”
เฉินผิงอันเดินเร็วๆ มาหยุดอยู่ตรงหน้าซุนเติงเซียน ยิ้มกล่าวว่า “จอมยุทธใหญ่ยังจำได้หรือไม่ว่าตอนที่อยู่วัดร้าง ข้ามีเด็กสองคนอยู่ด้วย คนหนึ่งสวมชุดเขียว คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงชมพู หลังจากพวกท่านกำจัดปีศาจปราบมารแล้ว จอมยุทธใหญ่ยังหวังดีเตือนข้าว่าให้ระวัง ไม่ใช่คนบนภูเขาทุกคนที่จะไม่ถือสาคนที่มีปีศาจเดินทางอยู่ข้างกาย”
ซุนเติงเซียนพลันกระจ่างแจ้ง เขาหัวเราะร่าเสียงดัง “อ้อ ที่แท้ก็คือเจ้านี่เอง!”
เฉินผิงอันเกาหัว รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “สองปีมานี้ข้าโตเร็ว แล้วก็เปลี่ยนการแต่งตัวใหม่ จอมยุทธใหญ่จำไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ”
ซุนเติงเซียนตบลงบนไหล่ของเฉินผิงอันหนักๆ “เจ้าเด็กนี่ ไม่เลวๆ! มีชื่อเสียงใหญ่แล้ว ถึงขนาดได้มาดื่มเหล้าในตำหนักจื่อชี่! อีกเดี๋ยวที่นั่งของพวกเราคงห่างกันไม่ไกลนัก ถึงเวลานั้นพวกเรามาดื่มร่วมกันดีๆ สักสองจอก”
เฉินผิงอันอารมณ์ดียิ่งนัก พยักหน้ารับบอกว่าตกลง
ปีนั้นตอนที่อยู่เทือกเขาสันตะขาบ ชายฉกรรจ์ท่านนี้ถือดาบเล่มเล็กสีเงิน ร่วมกับสหายไล่จับสตรีวัยกลางคนหน้าตางดงามที่จำแลงร่างมาจากปีศาจจิ้งจอก และยังเกือบจะทะเลาะกับลูกหลานขุนนางที่ออกมาหาประสบการณ์ในยุทธภพ สุดท้ายชายฉกรรจ์ก็กำราบปีศาจจิ้งจอกที่จิตใจอำมหิตตนนั้นได้ ดูเหมือนว่าปีศาจจิ้งจอกจะเรียกตัวเองว่าฮูหยินชิงหยา
สำหรับการพบเจอกันโดยบังเอิญครั้งนั้น เฉินผิงอันจดจำได้อย่างลึกซึ้ง
ถึงขั้นพูดได้ว่าเฉินผิงอันที่มีความเข้าใจอันพร่าเลือนต่อยุทธภพได้รู้ว่าอะไรคือจอมยุทธ ทำไมต้องกำจัดปีศาจปราบมาร ควรจะมองยุทธภพที่เต็มไปด้วยความอันตรายชั่วร้ายอย่างไร ก็ล้วนมีจุดกำเนิดมาจากการพบกันโดยบังเอิญและการยืนชมเหตุการณ์ในครั้งนั้น
ไม่นึกว่าจะได้มาพบกับชายฉกรรจ์ที่ลงมือได้อย่างรวดเร็วฉับไวคนนั้นได้ในจวนจื่อหยางแห่งนี้ เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจระคนดีใจอย่างยิ่ง
เพียงแต่มีแค่เฉินผิงอันคนเดียวที่ดีใจ
เพราะเผยเฉียนกลับเบิกตากว้าง
มองฝ่ามือนั้นที่ตบลงบนไหล่เฉินผิงอันของผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกที่ไม่รู้ว่าเป็นหอมต้นไหนของแคว้นหวงถิง
ภาพนี้ทำเอาจูเหลี่ยนที่ได้เห็นยิ้มบางๆ สือโหรวก็ยิ่งหนังตากระตุก ในใจนางคิดว่าหากชุยตงซานอยู่ที่นี่ คาดว่าผู้ฝึกยุทธบุ่มบ่ามที่ตาไร้แววผู้นี้ มีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนว่าต้องตายแน่แล้ว
ฮูหยินเซียวหลวนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าซุนเติงเซียนก็ได้ยินความเคลื่อนไหวด้านหลัง พวกเขาพากันหยุดเดิน ซุนเติงเซียนหันหน้าไปมองพวกเขาแล้วคลี่ยิ้มกว้างแนะนำเฉินผิงอันให้รู้จัก “น้องชายผู้นี้ก็คือเด็กหนุ่มคนนั้นที่ข้าเคยเล่าให้พวกเจ้าฟัง อายุยังน้อยแต่ปณิธานหมัดกลับไม่ธรรมดา ความกล้าหาญก็ยิ่งมีมากกว่า ปีนั้นมีตบะวิถีวรยุทธแค่ขอบเขตสามสี่ก็กล้าพาปีศาจน้อยสองตัวออกมาท่องยุทธภพ แต่เมื่อเทียบกับพวกหมอนปักลายบุปผาที่เป็นลูกหลานขุนนางเหล่านั้นแล้ว จอมยุทธน้อยคนนี้มีประสบการณ์ในยุทธภพโชกโชนกว่ามากนัก…”
แม้ว่าบนใบหน้าของฮูหยินเซียวหลวนที่มีบุคลิกเรียบร้อยสุภาพ รูปโฉมงดงามโดดเด่นจะมีรอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นอีกครั้ง แต่สาวใช้ที่อยู่ข้างกายนางได้ใช้สายตาบอกเป็นนัยแก่ซุนเติงเซียนว่าเลิกอืดอาดได้แล้ว รีบไปร่วมงานเลี้ยงที่โถงเซวี่ยหมาง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน
ผู้เฒ่าคนหนึ่งเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เสี่ยวซุน พวกเจ้าเดินพลางคุยกันไปได้”
ซุนเติงเซียนไม่ใคร่จะพอใจสักเท่าไหร่ ยังดีที่เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “รีบไปร่วมงานเลี้ยงสำคัญกว่า จอมยุทธใหญ่แซ่ซุนหรือ? ข้าแซ่เฉินนามผิงอัน จอมยุทธใหญ่ซุนเรียกข้าว่าเฉินผิงอันก็แล้วกัน”
เดิมทีซุนเติงเซียนก็เป็นจอมยุทธที่มีนิสัยโผงผางใจกว้างอยู่แล้ว จึงไม่เกรงใจ “ได้ งั้นก็เรียกเจ้าว่าเฉินผิงอัน”
ฮูหยินเซียวหลวนเร่งรุดเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง
ซุนเติงเซียนที่อยู่ด้านหลังจึงเริ่มพูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างกระตือรือร้น
เดินไปถึงสุดปลายระบียงก็มีเสียงตวาดดังขึ้นว่า “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่? หรือต้องให้บรรพจารย์และเจ้าประมุขของพวกเรารอให้พวกเจ้าไปถึงก่อนถึงจะเริ่มงานเลี้ยงได้? ฮูหยินเซียวหลวน เจ้าช่างมีมาดใหญ่โตซะจริง!”
ผู้ที่ออกเสียงก็คือผู้ดูแลฝ่ายในคนหนึ่งของจวนจื่อหยางที่เดินเลี้ยวมาถึงสุดปลายระเบียงอย่างเร่งร้อน สีหน้าของเขาเย่อหยิ่งอย่างถึงที่สุด ไม่เห็นเทพวารีท่านหนึ่งอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
หลังจากผู้ดูแลคนนั้นตวาดสั่งสอนแล้วก็หมุนตัวเดินนำไปด้วยสีหน้าดำทะมึน “รีบตามมา ชักช้าอืดอาดซะจริง!”
ตอนที่ผู้ดูแลคนนั้นหมุนตัวเดินไป ฮูหยินเซียวหลวนพลันหรี่ตาลง พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งที ก่อนที่สีหน้าจะกลับคืนมาเป็นปกติ
ซุนตงเซียนสบถด่ามารดาอีกฝ่ายเบาๆ หนึ่งที
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร
ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางทั้งหมดของจวนจื่อหยางมารวมตัวกันที่โถงเซวี่ยหมางแล้ว
เมื่อฮูหยินเซียวหลวนเดินมาถึงนอกประตูใหญ่ของโถงก็ชะลอฝีเท้าลง เพราะนางรู้สึกเย็นสันหลังวาบ
ผู้ดูแลคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ถลึงตาใส่เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่อย่างดุดัน กดเสียงต่ำพูดว่า “ยังไม่รีบเข้าไปนั่งอีก!”
ฮูหยินเซียวหลวนสีหน้าไร้อารมณ์ เดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ด้านหลังคือสาวใช้และสหายในยุทธภพสองคนนั้น สำหรับเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ ผู้ดูแลยังมีอารมณ์อยากจะเอ่ยเหน็บแนมสักคำสองคำ แต่กับพวกคนด้านหลังที่เทียบไม่ได้แม้แต่ผายลมนั้น เขามีเพียงเสียงหัวเราะหยันเย็นชาให้
เพียงแต่ว่าพอเขาเห็นซุนเติงเซียนที่มีท่าทางสนิทสนมกับคนผู้หนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้ดูแลคนนี้พลันแข็งค้าง หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม
ซุนเติงเซียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตก ได้แต่เดินก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูไป
เฉินผิงอันที่เดินเข้าไปในโถงเซวี่ยหมางช้ากว่าหนึ่งก้าววางสีหน้าเป็นปกติ
—–