อู๋อี้มีนิสัยเย่อหยิ่ง คือเซียนดินที่มีชื่อเสียงว่าจองหองโอหังของแคว้นหวงถิง เดิมทีการที่ไปพบเฉินผิงอันก็เป็นเรื่องที่ฝืนใจทำ ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นคำพูดคำจาหรือการกระทำของเฉินผิงอันล้วนพอเหมาะพอดี อีกทั้งยังไม่อาศัยความสนิทสนมกับบิดา ซิ่วหู่และเว่ยป้อมาวางมาดต่อหน้านาง นี่จึงทำให้อู๋อี้สบายใจขึ้นไม่น้อย และถึงได้มีคำพูดในทะเลสาบหัวใจนี้
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “อู๋เจินจวินกลับจวนครั้งแรกในรอบร้อยปี หากเป็นเวลาปกติ ข้าเองก็คงอาจจะกล้าเดินเคียงบ่าไปกับอู๋เจินจวิน แต่วันนี้จะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด อู๋เจินจวินโปรดเดินนำไปก่อนเถิด พวกเราจะตามติดไปด้านหลังทันที”
อู๋อี้คลี่ยิ้ม แล้วก็เดินนำไปด้านหน้าเพียงลำพังโดยไม่ยืนกรานอีก
ถือว่าเป็นคนหนุ่มที่รู้จักกาลเทศะ
แต่คร่ำครึเกินไปสักหน่อย ไม่ต่างจากอาจารย์ในโรงเรียนเลย ไม่รังเกียจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชื่นชอบอะไร
เมื่ออู๋อี้เดินนำไปด้านหน้า ฝูงมหาชนบนลานกว้างก็แหวกออกเป็นทางทันที
มีเพียงคนห้าหกคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะมาเดินตามหลังอู๋อี้ ยิ่งฐานะสูงส่งมากเท่าไหร่ในจวนจื่อหยาง ตำแหน่งยืนก็ยิ่งขยับมาเบื้องหน้ามากเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่เดินมาอยู่ทางฝั่งขวามือของเฉินผิงอันก็คือเจ้าประมุขจวนจื่อหยางคนปัจจุบัน คือเซียนดินขอบเขตโอสถทอง ส่วนผู้ฝึกตนสองท่านที่มีสถานะไม่ต่างจากจูเหลี่ยนและสือโหรวสักเท่าไหร่ก็คือผู้ฝึกลมปราณผู้เฒ่าขอบเขตมังกรที่มีวัยวุฒิสูงกว่าเจ้าประมุขจวนจื่อหยาง คนหนึ่งคือผู้ที่ดูแลด้านการให้รางวัลและการลงโทษ คนหนึ่งดูแลเรื่องการเงิน ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรมาตำแหน่งเจ้าประมุขจวนจื่อหยางจึงเป็นเพียงแค่ตำแหน่งลอยๆ ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริง เป็นแค่บุคคลที่ช่วยออกหน้าเวลาที่ต้องคบค้าสมาคมกับราชสำนักแคว้นหวงถิงและตระกูลเซียนบนภูเขาลูกอื่นเท่านั้น
เจ้าประมุขจวนจื่อหยางในแต่ละรุ่นรวมกันแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน แต่มีเพียงคนเดียวที่อาศัยพรสวรรค์ของตัวเองเลื่อนขั้นเป็นเทพเซียนพสุธา คนอื่นๆ อีกหกคนก็เหมือนเจ้าประมุขคนปัจจุบันนี้ที่ล้วนอาศัยเงินเทพเซียนของจวนจื่อหยางฝืนผลักดันจนได้ขอบเขตมาครอบครอง พลังการต่อสู้ที่แท้จริงเป็นรองเซียนดินโอสถทองในสำนักใหญ่อยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซียนดินอิสระที่เดินผ่านเส้นทางสายโลหิตมาด้วยตัวเอง
รากฐานของจวนจื่อหยางย่อมไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยังมีอดีตเจ้าประมุขอีกหลายคน หรือไม่ก็เป็นลูกศิษย์ที่อู๋อี้เคยรับไว้ในอดีต บุรพาจารย์ของจวนจื่อหยางในรุ่นหลังกำลังปิดด่าน แล้วก็มีผู้ฝึกตนวัยชราบางส่วนที่ไม่มีหวังบนมหามรรคา โอสถทองถูกสายน้ำแห่งกาลเวลาชะล้างไปจนเน่าเปื่อยไม่เหลือสภาพ ได้แต่หลบเลี่ยงอยู่ในจวนแต่ละแห่งของจวนจื่อหยางที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นประหนึ่งคนธรรมดาที่นอนป่วยติดเตียงแล้วอาศัยโสมคนมาต่อชีวิต ได้แต่เก็บตัวเงียบไม่ออกไปไหน
ทุกคนของจวนจื่อหยางต่างก็กำลังคาดเดาตัวตนของคนหนุ่มที่สะพายหีบไม้ไผ่ไว้ด้านหลัง
หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่บรรพาจารย์ต้งหลิงไปรับมาใหม่จากข้างนอก? ถ้าอย่างนั้นจะเป็นตัวเลือกเจ้าประมุขคนถัดไปหรือไม่?
อู๋อี้พาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในจวนจื่อหยาง ตรงดิ่งไปที่ตำหนักจื่อชี่ที่ตั้งอยู่ใจกลางของจวนใหญ่ มอบหมายให้เจ้าประมุขจัดงานเลี้ยงใหญ่ยามค่ำคืนเพื่อต้อนรับแขกผู้สูงศักดิ์
เข้ามาในตำหนักจื่อชี่แล้ว อู๋อี้ก็บอกให้ทุกคนไปรอที่โถงเจี้ยนชื่อ นางบอกว่าต้องการจัดหาที่พักให้คุณชายเฉินด้วยตัวเอง
แขกผู้สูงศักดิ์?
คนทั้งกลุ่มหันมามองหน้ากันเอง
หรือว่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซียนดินก่อกำเนิดท่านใดของต้าหลี หรือจะเป็นลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงอย่างพวกสกุลหยวนสกุลเฉาที่เป็นเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลี
อู๋อี้จัดการหาที่พักให้พวกเฉินผิงอันอย่างรวดเร็วและเรียบร้อย จากนั้นจึงไปที่โถงเจี้ยนชื่อที่พวกผู้อาวุโสใหญ่ของจวนจื่อหยางรวมตัวกันอยู่ นางนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรของเจ้าประมุขที่สร้างขึ้นจากไม้จื่อถาน แรกเริ่มยังบอกให้แต่ละคนรายงานเรื่องต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นรายรับเงินเทพเซียนที่จวนจื่อหยางได้มาตลอดร้อยปีมานี้ การพัฒนาของเหล่าลูกศิษย์ในสำนักที่มีพรสวรรค์โดดเด่น สถานการณ์ของพวกคนเฒ่าคนแก่ในจวน โดยรวมแล้วนางจะเป็นผู้ฟัง ไม่เสนอความเห็นใดๆ หากไม่เป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีทางหายตัวไปเป็นร้อยปี เป็นเถ้าแก่แต่สะบัดมือทิ้งร้าน ยิ่งไม่มีทางเลือกหุ่นเชิดขึ้นมาเป็นเจ้าประมุขทั้งๆ ที่ตัวเองก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลก
อันที่จริงในใจทุกคนต่างก็รู้ดีว่าบรรพจารย์ไม่ชอบฟังเรื่องยิบย่อยพวกนี้ การรายงานอย่างเอาจริงเอาจังของทุกคนก็แค่ทำให้พอเป็นพิธีเท่านั้น
อู๋อี้เองก็ไม่ปิดบังสีหน้าเบื่อหน่ายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย นางนั่งตัวเอียง เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง บางครั้งก็พยักหน้ารับ
โดยรวมแล้วจวนจื่อหยางสามารถใช้สี่คำว่า ‘เจริญรุ่งเรืองในทุกวัน’ มาบรรยายได้
นี่ก็ถือว่าพอสมควรแล้ว
อู๋อี้คร้านจะไปสนใจพวกกลอุบายทั้งหลายนอกเหนือจากการฝึกตน
การที่นางสร้างจวนจื่อหยางขึ้นมา และกลายมาเป็นบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขา เป็นเพราะความคิดชั่วแล่นของนางในปีนั้น เพราะความเบื่อหน่ายนำพาโดยแท้
นอกจากนี้เผ่าพันธุ์เจียวหลงมากมายที่ยังหลงเหลืออยู่ ส่วนใหญ่ก็ชอบสร้างจวนเพื่อโอ้อวดบารมี รวมไปถึงใช้มันเป็นที่เก็บซ่อนทรัพย์สมบัติที่ไปรีดไถมาจากสี่ทิศ
แคว้นหวงถิงถือเป็นหนึ่งในอาณาเขตเก่าหลังจากที่แคว้นสู่โบราณแตกแยก แคว้นเสินสุ่ยที่อยู่ดีๆ ก็ราวกับว่าล่มสลายภายในค่ำคืนเดียวก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน ต่างก็เป็นสถานที่วิเศษที่เผ่าพันธ์เจียวหลงปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน เพราะมีโชคชะตาน้ำเข้มข้น นอกจากนี้เซียนกระบี่บรรพกาลก็ชอบมาสังหารเจียวหลงที่นี่ ท่ามกลางการเข่นฆ่ากันเองทำให้คนมากมายต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ สมบัติอาคมจึงมีมากตามไปด้วย แม้ว่าส่วนใหญ่จะถูกราชวงศ์ที่แข็งแกร่งอย่างพวกแคว้นเสินสุ่ยกวาดเอาเข้าไปไว้ในท้องพระคลังของตัวเอง กลายเป็นอาวุธสำคัญของแคว้นที่แต่ละชิ้นได้รับการสืบทอดอย่างมีระบบระเบียบ การถ่ายโอนในภายหลังก็เป็นแค่การผลัดเปลี่ยนจากมือของราชวงศ์ที่ตกอับทรุดโทรมไปสู่มือของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ที่รุ่งเรืองขึ้นมาใหม่เท่านั้น แต่กระนั้นก็ยังมีสมบัติตกทอดหลายชิ้นที่ถูกบิดาของนางเก็บเข้ากระเป๋าอย่างไม่กระโตกกระตาก
นางรู้ดีที่สุดว่าทรัพย์สมบัติของบิดานั้นมากมายมหาศาลปานใด
สมบัติอาคมที่เป็นเรือเมล็ดเหอเถาแกะสลักลำน้อยบนร่างของตนชิ้นนั้นก็เป็นแค่ของขวัญเล็กๆ ที่ปีนั้นบิดาหยิบยื่นมาให้เพราะนางเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตก็เท่านั้น
แต่ความอุดมสมบูรณ์ของสมบัติที่บิดานางเก็บสะสมเอาไว้ สามารถพูดได้ว่าเกินจริงที่สุดในบรรดาผู้ฝึกตนเซียนดินทุกคนทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป
ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้อาจจะพอเอาชนะไปได้ แต่นั่นเป็นสมบัติที่คนตลอดทั้งตระกูลฝูเก็บสะสมมานานถึงสองพันกว่าปี แต่บิดาของนางอาศัยกำลังของตัวเองคนเดียวเท่านั้น
ดังนั้นอู๋อี้จึงทั้งเกลียด ทั้งกลัวและทั้งยำเกรงบิดาที่นางไม่เคยเข้าใจความคิดของเขาผู้นี้ ความเกลียดนั้นคือภายนอก ความกลัวอยู่ในกระดูก แต่ความเคารพยำเกรงอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ คิดดูแล้วน้องชายของนางก็น่าจะมีความรู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไหร่
อู๋อี้เงยหน้าขึ้น ที่แท้ก็มีคนมาถามว่าจวนจื่อหยางควรจะรับรองคุณชายเฉินผู้นั้นอย่างไร
อู๋อี้คิดแล้วก็ตอบว่า “พวกเจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้ ควรทำอะไร ข้าจะสั่งความไปเอง”
……
การจัดการของอู๋อี้นั้นน่าสนใจมาก นางจัดให้พวกเฉินผิงอันสี่คนอยู่ในหอสูงหกชั้นแห่งหนึ่งที่สามารถเทียบเท่ากับหอเก็บสมบัติได้
ทุกชั้นของหอแห่งนี้ล้วนวางสมบัติที่ต้งหลิงเจินจวินกับผู้ฝึกตนหลายยุคหลายสมัยของจวนจื่อหยางเก็บสะสมเอาไว้
ก่อนที่อู๋อี้จะจากไปได้บอกแค่ว่า หวังว่าพวกเขาจะไม่เดินขึ้นไปบนสองชั้นบนสุด ส่วนอีกสี่ชั้นที่เหลือสามารถเดินเที่ยวได้ตามใจชอบ
เนื่องจากอาคารแห่งนี้กินอาณาบริเวณกว้างขวาง นอกจากชั้นหนึ่งแล้ว ชั้นบนทุกชั้นล้วนมีทั้งห้องนอน ห้องหนังสือ ชั้นสามยังมีลานแสดงวรยุทธที่จัดวางหุ่นเชิดกลไกสูงหนึ่งจั้งไว้สามตัว ดังนั้นพวกเฉินผิงอันจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าที่นี่จะมีแต่วัตถุดิบวิเศษละลานตา แต่ไม่มีที่ให้พักนอน
ลำพังแค่ชั้นหนึ่ง เผยเฉียนก็นึกอยากให้ตัวเองมีดวงตาเพิ่มมาอีกคู่หนึ่งแล้ว
การเดินทางมาเยือนจวนจื่อหยางในครั้งนี้ทำให้เผยเฉียนได้เปิดโลกทัศน์จึงอารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด
ก่อนหน้านี้นางมักรู้สึกว่าในอนาคตนอกจากกล่องเก็บสมบัติที่เหยาจิ้นจือมอบให้แล้ว หาชั้นวางสมบัติอีกชั้นสองชั้นมาจัดวางเพิ่มก็ถือเป็นขีดจำกัดความสามารถในการจินตนาการของหัวสมองเล็กๆ ของเผยเฉียนแล้ว ตอนนี้พอเข้ามาในหอเรือนของตำหนักจื่อชี่แห่งนี้ นางถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้คนมีเงินจริงๆ เขาก็มีเงินกันแบบนี้นี่เอง!
ตอนนี้ไม่ต้องให้เฉินผิงอันเอ่ยเตือน เผยเฉียนก็ไม่กล้าไปลูบคลำสมบัติโบราณลักษณะแปลกประหลาดเหล่านั้นโดยพลการ
นางคิดว่าคืนนี้คงไม่นอนแล้ว จะต้องเดินเที่ยวให้ครบทั้งสี่ชั้นชื่นชมสมบัติหลายร้อยชิ้นนี้ให้ถ้วนทั่ว ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องเสียดายไปตลอดชีวิต
ปล่อยให้เผยเฉียนและสือโหรวที่จิตใจหวั่นไหวไม่หยุดพอๆ กัน ‘ชื่นชมทัศนียภาพ’ อยู่ที่ชั้นหนึ่ง เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนมายืนอยู่ที่ชั้นสี่ หลุบตาลงต่ำมองไปยังจวนจื่อหยางครึ่งแห่งที่เห็นจากมุมสูง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เคยพูดคุยกับคนอื่นว่าภูเขาของตัวข้าในอนาคตควรจะเป็นเช่นไร ตอนนี้มาลองดูแล้ว เวลานั้นคงต้องเรียกว่าเป็นความคิดเหลวไหลของคนยากจน จวนจื่อหยางนี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าตัวอย่างที่มีชีวิตอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันรีบพูดเสริมไปอีกประโยค “อันที่จริงตอนนั้นข้าก็ไม่ถือว่ายากจนแล้วนะ”
จูเหลี่ยนถาม “นายน้อย ดูเหมือนว่าต้งหลิงเจินจวินผู้นี้จะไม่ใช่เซียนดินโอสถทองทั่วไป?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเกินครึ่งตัวกระมัง”
ถึงอย่างไรก็มากินฟรีอยู่ฟรีในบ้านคนอื่น เฉินผิงอันจึงไม่อยากพูดถึงความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ภายในให้จูเหลี่ยนฟังอย่างละเอียด
ในใจจูเหลี่ยนพอจะรู้คร่าวๆ แล้ว
อู๋อี้อยู่ในจวนจื่อหยางย่อมต้องมีค่ายกลตระกูลเซียน ทำให้ที่นี่เป็นเหมือนฟ้าดินขนาดเล็ก จึงมองได้ว่านางมีพลังการต่อสู้ที่เกือบจะเท่าเทียมก่อกำเนิด
จูเหลี่ยนพูดหยอกล้อ “หากมีผู้ฝึกตนอิสระที่สามารถมากวาดเอาสิ่งของของที่นี่ไปได้ จะไม่ร่ำรวยกลายเป็นเศรษฐีเลยหรือ ได้ยินมาว่าแจกันสมบัติทวีปมีผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบอยู่คนหนึ่ง”
เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าใบหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อฉื่อยื่นส่งให้จูเหลี่ยน ส่ายหน้ากล่าวว่า “สำหรับเซียนดินทุกคนแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน การดำรงอยู่ของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อมีพลังสยบกำราบที่รุนแรงเกินไป พวกเขาอาจจะดูแลทุกเรื่องได้ไม่ทั่วถึง แต่หากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อลงมือขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือหมายหัวใครขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่กลับไร้ที่ให้ซ่อนตัว ดังนั้นนี่จึงเป็นการกำราบความขัดแย้งของผู้ฝึกตนใหญ่มากมายอย่างที่มองไม่เห็น”
จูเหลี่ยนดื่มเหล้าหนึ่งอึก ยิ้มกล่าวว่า “เหตุใดใต้หล้าไพศาลถึงไม่มีพันธนาการต่อผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างพวกเรามากนัก? หรือแค่เพราะผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดเก้ามีน้อยเกินไป? ได้ยินมาว่าผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งสังหารฮ่องเต้ตาย ก็ไม่แน่เสมอไปว่าสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อจะส่งคนไปไล่จับ”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “นี่เกี่ยวพันกับเรื่องวงในสมัยโบราณที่ถูกฝุ่นทับถมจนหนาชั้น ชุยตงซานไม่ค่อยเต็มใจอยากจะพูดถึงเรื่องพวกนี้ ข้าเองก็ไม่ค่อยสนใจสักเท่าไหร่ เมื่อก่อนตอนอยู่บ้านเกิดเขตการปกครองหลงเฉวียน ครั้งแรกที่ข้าออกเดินทางไกล ผู้ตรวจการงานเตาเผาและนายอำเภอที่ได้รับการแต่งตั้งใหม่ในภายหลังก็ถือว่าเป็นขุนนางที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มักรู้สึกว่าฮ่องเต้อะไรนั่นอยู่ห่างไกลเกินไป ภายหลังเหนียงเนียงท่านหนึ่งจากวังหลวงต้าหลี ซึ่งก็คือมารดาแท้ๆ ของซ่งจี๋ซินส่งคนมาสังหารข้า ในใจข้าจดจำบัญชีนี้ไว้ตลอดเวลา คราวก่อนที่พบเจอกับซ่งจี๋ซินซึ่งเคยเป็นเพื่อนบ้านตรอกหนีผิงในสำนักศึกษาซานหยา ก็ได้พูดคุยกับเขาจนเข้าใจแล้ว แต่เล่าให้เจ้าฟังแล้วก็ไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะหรอกนะ ต่อให้ตอนนี้ข้ามองซ่งจี๋ซินก็ยังไม่อาจจินตนาการได้ว่าเขาคือองค์ชายต้าหลีท่านหนึ่ง เกาเซวียนยังดีกว่าหน่อย ถึงอย่างไรตอนที่พบหน้ากันครั้งแรกเขาก็สวมเสื้อผ้าหรูหราสีสันสดใส ข้างกายยังมีข้ารับใช้ติดตามมา แต่ซ่งจี๋ซิน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังคงเป็นเจ้าคนเอ้อระเหยลอยชายผู้นั้นอยู่นั่นเอง”
จูเหลี่ยนยกกาเหล้าขึ้นชนกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือเฉินผิงอันเบาๆ เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วก็ไม่ได้ขยับมันอีก เวลานี้เพิ่งจะดื่มเหล้าเป็นคำแรก
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “หากวันใดซ่งจี๋ซินเป็นฮ่องเต้ต้าหลีขึ้นมาจริงๆ นายน้อยจะไม่ยิ่งนึกภาพไม่ออกหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว”
คนทั้งสองเงียบงันไปครู่หนึ่ง
เฉินผิงอันพลันกล่าวขึ้นว่า “ชุยตงซานเคยพูดประโยคหนึ่งที่น่าสนใจมาก เขาบอกว่าอริยะของสามลัทธิต่างก็กำลังพยายามเปลี่ยนแปลงวิธีการ ทำให้ความเร็วในการไหลรินของแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะพุ่งทะยานไปอย่างไม่หยุดยั้งนั้นไหลช้าขึ้นอีกนิด”
จูเหลี่ยนพลันเกิดความสนใจ ถามอย่างใคร่รู้ว่า “จะลดความเร็วอย่างไร?”
เฉินผิงอันฟุบตัวลงบนราวระเบียง ตบราวรั้วกล่าวว่า “ภูเขาของตระกูลเซียนคือสิ่งหนึ่ง”
จูเหลี่ยนมึนงงไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันพูดต่ออีก “เมืองและนครในโลกมนุษย์ก็คือสิ่งหนึ่ง”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “สงคราม ก็คืออีกสิ่งหนึ่ง”
สุดท้ายเฉินผิงอันกล่าวว่า “ความรู้ของร้อยสำนักที่สามารถทำให้จิตใจของคนจมจ่อมอยู่กับมันก็คล้ายจะเป็นหนึ่งในนั้น”
จูเหลี่ยนฟังแล้วยิ่งรู้สึกหัวโต “ชุยตงซานช่างพูดได้ลึกลับนัก บ่าวเฒ่าสับสนยิ่งกว่าเดิมแล้ว”
เฉินผิงอันดื่มเหล้า ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
จูเหลี่ยนถามเสียงเบา “ถ้าอย่างนั้นนายน้อยอยากเข้าใจมหามรรคาที่ลี้ลับซับซ้อนพวกนี้ไหม?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้า “หากไม่จำเป็นต้องเข้าใจก็อย่าเข้าใจดีกว่า”
จูเหลี่ยนอืมรับหนึ่งที “นายน้อยเข้าใจได้มากพอแล้ว แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องคิดอยากสืบเสาะไปถึงต้นกำเนิดของทุกเรื่องราวจริงๆ นั่นแหละ”
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “จูเหลี่ยน นิสัยที่ต้องหาจังหวะพูดประจบของเจ้านี่ ช่วยเปลี่ยนหน่อยได้ไหม?”
จูเหลี่ยนชูแขน แกว่งกาเหล้าที่อยู่ในมือ หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยเล่า? เปลี่ยนแล้วจะมีเหล้าดื่มหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็จริงนะ”
จูเหลี่ยนถามหยั่งเชิง “ก่อนหน้านี้นายน้อยบอกว่าจะไปฝึกประสบการณ์ที่อุตรกุรุทวีปเพียงลำพัง พาบ่าวเฒ่าไปด้วยไม่ได้จริงๆ หรือ? ข้างกายไม่มีพ่อครัวที่ก่อไฟทำอาหารให้กิน ไม่มีผู้ติดตามที่คอยประจบเอาใจ จะน่าเบื่อแค่ไหน?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เจ้าจงอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วไปแต่โดยดีเถอะ ข้ายังคงหวังว่าเจ้าจะสามารถ…เดินขึ้นไปบนวิถีวรยุทธได้อีกชั้นหนึ่ง ในเมื่อวิธีการป้อนหมัดของผู้เฒ่าแซ่ชุยคนนั้นเหมาะสมกับข้า แน่นอนว่ายิ่งต้องเหมาะสมกับเจ้า วันหน้าหากเจ้าสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขา ถ้าอย่างนั้นการเดินทางออกท่องยุทธภพในครั้งแรกของเผยเฉียน ต่อให้จะเดินไปไกลแค่ไหน หรืออาจถึงขั้นไปเที่ยวเล่นที่ทวีปอื่นกับหลี่ไหว ขอแค่มีเจ้าคอยให้การปกป้องคุ้มครองอย่างลับๆ ข้าก็วางใจได้มากแล้ว”
จูเหลี่ยนจึงได้แต่ล้มเลิกความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมให้เฉินผิงอันเปลี่ยนใจ
เฉินผิงอันถาม “จูเหลี่ยน เล่าเรื่องตอนที่เจ้ายังหนุ่มให้ฟังได้ไหม?”
จูเหลี่ยนมีท่าทางขัดเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “บัญชีเลอะเลือนนับไม่ถ้วน หนี้ของความเสเพลเกินคณานับ พูดเรื่องพวกนี้ ข้ากลัวว่านายน้อยจะไม่มีอารมณ์ดื่มเหล้าอีก”
เฉินผิงอันกระโดดขึ้นไปนั่งบนราวระเบียง “ลองพูดมาสิ อันที่จริงนิยายยุทธภพหลายเล่มที่เจ้ามอบให้เผยเฉียนนั้น ข้าแอบอ่านมาหลายรอบแล้ว ข้ารู้สึกว่าเขียนได้ดีมากเลย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นยุทธภพในจินตนาการของปัญญาชนที่อยู่ในห้องหนังสือ ไม่สมจริงมากพอ เชื่อว่าไม่น่าสนใจเท่าประสบการณ์ที่เจ้าผ่านมาด้วยตัวเองและเล่าจากปากของเจ้าเองหรอก”
จูเหลี่ยนเองก็ขึ้นมานั่งบนราวระเบียง ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ได้สิ งั้นก็ให้บ่าวเฒ่าได้เล่าให้ฟังก็แล้วกัน นายน้อยท่านไม่รู้หรอกว่าปีนั้นที่บ่าวเฒ่ายังเป็นเด็กหนุ่มสง่างามเพียงใด ในยุทธภพมีจอมยุทธหญิงและเทพธิดามากน้อยเท่าไหร่ที่ชื่นชมเลื่อมใสข้าจะเป็นจะตาย หลงรักข้าจนโงหัวไม่ขึ้น”
ผลก็คือยิ่งฟังมาถึงช่วงท้าย จูเหลี่ยนกลับพบว่าสายตารังเกียจของนายน้อยตัวเองยิ่งชัดเจนมากขึ้น ถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันก็ตบไหล่จูเหลี่ยน ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงกระโดดลงจากราวระเบียงแล้วเดินจากไป
นี่ทำให้จูเหลี่ยนเจ็บปวดเล็กน้อย
ไม่ว่าอะไรนายน้อยของตัวเองก็ดีหมด มีเพียงเรื่องความรักชายหญิงเท่านั้นที่เป็นวิญญูชน เป็นคนจริงจังเกินไป ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันเอาเสียเลย!
จูเหลี่ยนคงจะไม่รู้ว่า เฉินผิงอันที่เดินเข้าไปในหอเรือนบ่นพึมพำอยู่ในใจว่า “เจ้ามีแม่นางหนิงแล้ว เจ้ามีแม่นางหนิงแล้ว หากกล้าคิดเหลวไหลส่งเดช กล้าทำตัวหลายใจ ต้องถูกแม่นางหนิงที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงตีตายแน่…แต่แค่คิดก็ไม่ได้เลยหรือ? ไม่ได้สิไม่ได้ ขอแค่เจ้าได้เจอกับแม่นางหนิง เวลาอยู่กับนางมีหรือจะเก็บซ่อนความคิดได้อยู่ แปบเดียวก็ถูกนางมองทะลุปรุโปร่งแล้ว ก็ยังต้องถูกตีจนเกือบตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ เจ้ากล้าเอาคืนหรือไง?”
—–