แล้วก็จริงดังคาด ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงหยัน “บิดาเมตตาบุตรกตัญญู ความคิดเช่นนี้เป็นลัทธิขงจื๊อที่สอนเจ้า ไม่ใช่พ่อที่สอนเจ้า พ่อไม่เคยคาดหวังว่าลูกหลานจะกตัญญูและนอบน้อมเชื่อฟัง ข้อนี้เจ้าควรจะรู้ชัดเจนดีกว่าพี่น้องชายหญิงที่อยู่ในท้องของพ่อไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าควรจะทำตัวเป็นบุตรสาวอย่างไรจึงจะถูกต้อง?”
อู๋อี้หน้าซีดขาว
ผู้เฒ่าแสยะปากเผยให้เห็นฟันสีขาวหิมะ “ภายในเวลาร้อยปี หากเจ้ายังไม่อาจกลายเป็นก่อกำเนิดได้ ข้าจะกินเจ้าซะ ไม่อย่างนั้นก็มีแต่จะสิ้นเปลืองปราณเจียวหลงของข้าไปเปล่าๆ เห็นแก่ที่เจ้าทำงานได้ดี จะบอกข่าวหนึ่งแก่เจ้า บนร่างของเฉินผิงอันยังมีหินดีงูก้อนที่ก่อตัวขึ้นมาจากแก่นเลือดของมังกรที่แท้จริงตัวสุดท้าย มีหลายก้อนที่คุณภาพดีเยี่ยม เมื่อเจ้ากินเข้าไปแล้ว แม้จะไม่อาจเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด แต่จะดีจะชั่วก็สามารถยกระดับพลังการต่อสู้ของเจ้าได้อีกขั้นหนึ่ง เมื่อถึงวันที่ข้ากินเจ้าลงท้อง เจ้าก็สามารถดิ้นรนขัดขืนได้มากหน่อย เป็นอย่างไร พ่อเมตตาต่อเจ้ามากเลยใช่ไหม?”
อู๋อี้ที่มีเรือนกายสูงเพรียวตัวสั่นเทิ้ม
ผู้เฒ่าพลันพูดอย่างสะท้อนใจว่า “เจ้ากินเผ่าน้ำที่กลายเป็นภูตจนอิ่มท้อง ส่วนข้าก็กินพวกเจ้า รวบรวมโชคชะตาเอาไว้ด้วยกัน ชุยตงซานที่ได้ครอบครองคราบร่างบรรพกาลก็ย่อมสามารถกินข้าได้ จะทำอย่างไรดี?”
ผู้เฒ่าส่งยิ้มให้อู๋อี้ “ดังนั้นข้าจึงรู้สึกว่าตบะสูง ความสามารถมาก นี่ต่างหากที่ร้ายกาจอย่างแท้จริง ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ ฉะนั้นแล้วพวกเราจึงยังต้องขอบคุณกฎที่เหล่าอริยะลัทธิขงจื๊อตั้งขึ้น ไม่อย่างนั้นเจ้ากับน้องชายคงกลายเป็นอาหารในจานของพ่อนานแล้ว ส่วนข้าก็น่าจะกลายเป็นของในกระเป๋าของชุยตงซาน อย่ามองว่าแต่ละแคว้นที่อยู่ตีนเขาของใต้หล้าในทุกวันนี้ตีกันไปตีกันมา พรรคบนภูเขาก็แย่งชิงกันไม่หยุด เมธีร้อยสำนักเองก็ปัดแข้งปัดขากัน แต่นี่สมควรใช้คำว่ากลียุคแล้วหรือ? ฮ่าๆ ไม่รู้ว่าหากเหตุการณ์ของเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนปรากฎขึ้นอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่ในยุคปัจจุบันจะพากันวิ่งไปที่ศาลบุ๋นของแต่ละเขตการปกครองเพื่อโขกหัวคำนับหรือไม่?”
สำหรับ ‘เรื่องใหญ่’ พวกนี้ อู๋อี้กลับไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งอะไรด้วยนัก
จิตใจของนางยังคงพะวงถึงวิธีการเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิด
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “เจ้ามอบของอะไรสี่ชิ้นให้เฉินผิงอัน?”
อู๋อี้ตอบไปตามตรง “เลือกอย่างละชิ้นจากแต่ละชั้น หนึ่งคือเหล็กอุกกาบาตที่ฟูมฟักท่ามกลางเสียงฟ้าร้องแรกในฤดูใบไม้ผลิ แล้วหล่นลงมาในโลกมนุษย์ ขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ หนักหกจิน ชิ้นหนึ่งคือชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมที่ทำจากหญ้าวสันต์เป็นเสื้อตัวบางๆ ยันต์ ‘คนงามหนังจิ้งจอก’ หกแผ่นที่สกุลซวี่นครลมเย็นทำขึ้นเป็นพิเศษ เมล็ดบ๊วยสีเขียวชิ้นหนึ่งที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น พอฝังไว้ใต้ดิน ระยะเวลาหนึ่งปีก็เติบโตกลายเป็นต้นหยางเหมยที่มีอายุยาวนานเป็นพันปี ทุกๆ ครั้งที่ถึงวันเปลี่ยนยี่สิบสี่ฤดูกาลก็จะแผ่ปราณวิญญาณออกมา ก่อนหน้านี้พรรคหลิงอวิ้นได้ส่งบรรพจารย์คนหนึ่งมา หมายจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อไป แต่ข้าก็ตัดใจขายไม่ลง”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “แรงไฟกำลังพอดี” (อุปมาถึงความชำนาญ/เปรียบเปรยถึงช่วงเวลาสำคัญที่กำลังคับขัน)
ผู้เฒ่าพลันหัวเราะ “อย่าทิ้งสายตาให้คนตาบอดดูอีกเลย องค์เทพขุนเขาเหนือเว่ยป้อย่อมต้องอธิบายให้เฉินผิงอันฟังอย่างชัดเจน แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น…เฉินผิงอันต้องเดินทางไปให้ถึงภูเขาลั่วพั่วเสียก่อน นี่ก็คือผลลัพธ์จากการประลองฝีมือระหว่างราชครูชุยฉานกับชุยตงซาน”
อู๋อี้ฟังความนัยที่น่าตะลึงในคำพูดนี้ออก ชุยฉานกับชุยตงซานประลองฝีมือกัน? แต่นางยังคงยึดติดอยู่กับคำกล่าวที่ว่า ‘ระหว่างคนและเทพ’ จึงพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปการวิงวอนขอร้อง “ท่านพ่อ หากข้าสามารถเลื่อนขั้นสู่ก่อกำเนิดได้จะไม่ยิ่งช่วยท่านพ่อทำธุระได้มากกว่าเดิมหรอกหรือ?”
ผู้เฒ่ากลับเก็บเรือลำเล็ก สลายวิชาอภินิหารฟ้าดินขนาดเล็กทิ้งไป ทะยานร่างวูบย้อนกลับไปยังภูเขาพีอวิ๋นของต้าหลี
ทิ้งอู๋อี้ที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มและหวาดกลัวไว้เพียงลำพัง
ระยะเวลาร้อยปี
คืออายุขัยยาวนานที่คนธรรมดาปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน แต่ในสายตาของอู๋อี้ จะนับเป็นอะไรได้?
……
เทพลำคลองศาลจีเซียงกระตือรือร้นเกินความจำเป็นมาตลอดทาง เฉินผิงอันจึงได้แต่เอาจูเหลี่ยนออกมาต้านรับหายนะครั้งนี้แทน
เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็เรียกขานกับเทพวารีลำคลองเถี่ยเชวี่ยนเป็นพี่เป็นน้อง พอไปถึงท่าเรือ คนทั้งสองต่างก็อาลัยอาวรณ์ที่จะต้องแยกจากกัน เทพลำคลองเรียกจูเหลี่ยนว่าพี่ใหญ่ได้อย่างคล่องปากและจริงใจยิ่ง
เทพลำคลองขับเรือข้ามฟากกลับไป เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนดึงสายตากลับมา เฉินผิงอันยิ้มถามว่า “คุยอะไรกันถึงได้ถูกคอกันขนาดนี้”
จูเหลี่ยนหัวเราะหึหึ “ผู้ชายยังจะคุยอะไรกันได้อีกเล่า ก็เรื่องผู้หญิงไง พูดถึงฮูหยินเซียวหลวนนั่นมาเสียครึ่งทาง”
เฉินผิงอันจึงคร้านจะพูดอะไรอีก
จูเหลี่ยนพลันกล่าวด้วยสีหน้าเขินอาย “นายน้อย วันหน้าหากเจอเหตุการณ์ที่ยุทธภพอันตรายอีก ขอให้บ่าวเฒ่าช่วยแบ่งเบาภาระได้หรือไม่? บ่าวเฒ่าเองก็ถือว่าเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว ไม่กลัวที่จะฝ่าลมฝ่าคลื่นมรสุมมากที่สุด องค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำอย่างฮูหยินเซียวหลวนนี้ บ่าวเฒ่ากลับไม่กล้าคาดหวังว่าจะคว้ามาไว้ในมือได้สำเร็จ แต่ขอแค่ปลดปล่อยฝีมืออย่างเต็มที่ งัดเอาความมีเสน่ห์น้อยนิดของปีนั้นออกมาจากซอกเล็บ สาวใช้ที่อยู่ข้างกายฮูหยินเซียวหลวน และยังมีพวกผู้ฝึกตนหญิงของจวนจื่อหยางพวกนั้น อย่างมากสุดก็แค่สามวัน…”
เฉินผิงอันรีบตัดบทคำพูดของจูเหลี่ยน ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ยังอยู่ข้างกาย อายุของแม่หนูน้อยยังไม่มาก แต่กลับจะยิ่งจดจำคำพูดเหล่านี้ได้ดีเป็นพิเศษ ตั้งใจยิ่งกว่ายามเรียนหนังสือเสียอีก
จูเหลี่ยนยังคงไม่ยอมแพ้ พูดพึมพำว่า “นายน้อย น้ำและดินของสถานที่หนึ่งเลี้ยงผู้คนแบบหนึ่ง ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอันเป็นบ้านเกิดคงต้องมีสาวงามมากมายดุจก้อนเมฆเลยกระมัง?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “หากพูดถึงเรื่องหน้าตาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ต่างจากพวกชาวบ้านในเมืองเล็กสักเท่าไหร่”
จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “ความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบแท้ๆ”
แต่เพียงไม่นานจูเหลี่ยนก็กล่าวว่า “บ่าวเฒ่าบังอาจพูดคุยถึงเรื่องบางอย่างของซุนเติงเซียนกับน้องเล็กเทพลำคลองโดยพลการ คาดว่าวันหน้าต่อให้ซุนเติงเซียนไปเจอปัญหาในแคว้นหวงถิง ขอแค่น้องเล็กเทพลำคลองที่เชี่ยวชาญการศึกษาค้นคว้าได้ยินเข้า ไม่แน่ว่าอาจจะพอช่วยซุนเติงเซียนได้บ้าง เพียงแต่ว่านายน้อยเองก็ต้องเตรียมตัวให้ดี ต่อให้อยู่ห่างไกล มีพันภูเขาหมื่นแม่น้ำกางกั้น เทพลำคลองศาลจีเซิงก็คงยังไปขอความดีความชอบจากนายน้อยอยู่บ่อยครั้ง”
เฉินผิงอันยกนิ้วโป้งให้จูเหลี่ยน “เรื่องนี้ทำได้ดีเยี่ยม”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างสงสัย “เหตุใดนายน้อยถึงได้เลื่อมใสซุนเติงเซียนมากขนาดนี้?”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเล “เพราะเขาคือจอมยุทธใหญ่อย่างไรล่ะ พวกเราท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่เลื่อมใสจอมยุทธใหญ่ หรือจะให้ไปเลื่อมใสโจรเด็ดบุปผาเล่า”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นายน้อย ข้าจูเหลี่ยนไม่ใช่โจรเด็ดบุปผานะ! ข้าเป็นคนมีเสน่ห์โด่งดัง…”
ประโยคเดียวของเฉินผิงอันก็ทำให้จูเหลี่ยนชะงักได้ทันที “เจ้าโม้มากกว่ากระมัง”
เผยเฉียนโคลงศีรษะ พูดราดน้ำมันลงบนกองเพลิงด้วยน้ำเสียงเลียนแบบเฉินผิงอัน “เจ้าโม้มากกว่ากระมัง”
จูเหลี่ยนทำท่ายกเท้า ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบวิ่งหนีไปไกล
เฉินผิงอันยังคงไม่เลือกด่านเหย่ฟูเป็นเส้นทางเข้าอาณาเขตเฉกเช่นครั้งแรกที่เดินทางกลับจากต้าสุยไปถึงบ้านเกิด
ไปถึงอำเภอเฟิงหย่าที่อยู่ริมชายแดนแคว้นหวงถิงอีกครั้ง เมื่อมาถึงที่นี่ก็หมายความว่าอยู่ห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไม่ถึงหกร้อยลี้
เมื่อขยับเดินหน้าไปอีกนิดก็จะผ่านสะพานไม้เลียบติดหน้าผาระยะทางยาวไกลเส้นหนึ่ง ครั้งนั้นข้างกายมีเด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพู ท่ามกลางลมหิมะหวีดหวิว เฉินผิงอันหยุดพักเท้าก่อไฟ แล้วก็ได้พบกับนายบ่าวคู่หนึ่งที่ผ่านทางมาโดยบังเอิญ
ยิ่งเฉินผิงอันใคร่ครวญถึงสีหน้าอันอบอุ่นและบุคลิกอันสุขุมเยือกเย็นของบุรุษผู้นั้นก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือที่ฝีมือสูงส่งมากคนหนึ่ง
ผ่านอำเภอเฟิงหย่าไป ท่ามกลางแสงสนธยา คนทั้งกลุ่มก็มาถึงสะพานไม้เลียบหน้าผาที่คุ้นเคยดีเส้นนั้น
เฉินผิงอันเลือกตำแหน่งที่กว้างขวาง คิดจะพักแรมที่นี่ กำชับเผยเฉียนว่าตอนที่ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งอย่าได้อยู่ใกล้กับขอบของสะพานไม้มากนัก
เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “ถึงอย่างไรพ่อครัวเฒ่าก็บินได้ ต่อให้ข้าตกลงไปโดยไม่ทันระวัง เขาก็คงช่วยข้าได้กระมัง?”
เฉินผิงอันตอบอย่างเรียบง่าย “คิดจะบังคับลมทะยานไกลก็บอกให้จูเหลี่ยนช่วยเจ้าได้โดยตรง แต่เวลาฝึกกระบี่แล้วต้องระวัง มันเป็นคนละเรื่องกัน”
เผยเฉียนร้องอ้อรับหนึ่งที
เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่า แล้วก็เริ่มฟาดฟ้าฟาดดินฟาดภูตผีปีศาจของตัวเองไป
แต่ละครั้งทำเอาจูเหลี่ยนเห็นแล้วแสบตายิ่งนัก
แต่สือโหรวกลับชอบดูการเล่นสนุกของเผยเฉียน จึงนั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่ง ชื่นชมวิชากระบี่ของเผยเฉียน
ฝึกฝนอย่างยากลำบากไปคำรบหนึ่งจนเหงื่อแตกเต็มตัว เผยเฉียนถึงวางไม้เท้าเดินป่าลง หยิบหีบไม้ไผ่ของอาจารย์มาวางตั้งขวาง ทำเป็นโต๊ะหนังสือ พอหยิบทรัพย์สมบัติของตัวเองออกมาแล้วก็ฉวยโอกาสที่ยังมีแสงอาทิตย์อัสดงเสี้ยวสุดท้าย นั่งลงตรงนั้นแล้วเริ่มคัดตัวอักษร
คัดตัวอักษรเสร็จ จูเหลี่ยนก็หุงข้าวเสร็จพอดี เผยเฉียนและสือโหรวหยิบชามและตะเกียบออกมา ส่วนจูเหลี่ยนก็หยิบจอกเหล้ามาสองใบ เฉินผิงอันเอาเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ คนทั้งสองจะจิบเหล้าเบาๆ เป็นบางครั้ง
เผยเฉียนกินข้าวถ้วยใหญ่หมดไปหนึ่งถ้วยอย่างรวดเร็วปานพายุลมกรด เฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนเพิ่งจะเริ่มดื่มจอกที่สอง นางก็ยิ้มตาหยีถามเฉินผิงอันว่า “อาจารย์ ขอข้าดูกล่องไม้จื่อถานใบเล็กนั่นหน่อยได้ไหม หากของข้างในหายไป พวกเราก็จะได้รีบย้อนกลับไปตามหาทางเดิมไงล่ะ”
เฉินผิงอันซดเหล้าดังซวบ ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ไปดูเองเลย”
เผยเฉียนจึงหยิบกล่องไม้ใบเล็กงดงามออกมาจากในหีบไม้ไผ่ กอดมันมานั่งขัดสมาธิตรงหน้าเฉินผิงอัน พอเปิดออกดูก็ไล่นับไปทีละชิ้น ก้อนเหล็กขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือแต่กลับหนักอึ้ง เสื้อสีเขียวตัวหนึ่งที่ทบซ้อนกันแล้วก็ยังหนักไม่ถึงสองตำลึง ยันต์ที่วาดเป็นรูปสาวงามหนึ่งปึก นางทำท่าพลิกไปพลิกมาอย่างละเอียดราวกับกลัวว่าพวกมันจะมีขาวิ่งหนีไป แล้วจู่ๆ เผยเฉียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “อาจารย์ อาจารย์ เม็ดบ๊วยนั่นหายไปแล้ว! จะทำอย่างไรดีๆ จะให้ข้าย้อนกลับไปหาดูดีไหม?”
จูเหลี่ยนกลอกตามองบน
สือโหรวหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ นังหนูนี่เวลาหลอกคนอื่น ช่วยเก็บซ่อนรอยยิ้มในดวงตาให้ดีหน่อยได้ไหม?
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ไม่เป็นไร ตอนนี้อาจารย์มีเงิน หายแล้วก็หายไปเถอะ”
เผยเฉียนส่งเสียงหัวเราะดังฮิ พลันพลิกข้อมือ แบมือออกแล้วกล่าวว่า “อาจารย์ ดีใจหรือไม่ เมื่อครู่นี้พวกเราต่างก็คิดว่ามันหายไปแล้ว ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าตอนนี้พวกเรามีเม็ดบ๊วยเพิ่มขึ้นมาอีกเม็ดหนึ่งแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เผยเฉียนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “อาจารย์ ท่านนี้โง่จริงๆ มันไม่ได้หายไปสักหน่อย แค่นี้ท่านก็มองไม่ออกหรือ”
เฉินผิงอันดีดหน้าผากเผยเฉียนหนึ่งที
เผยเฉียนไม่สะทกสะท้าน ทำท่ากดลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน “ไม่เจ็บเลยสักนิด!”
จูเหลี่ยนอดทนมานานจนทนไม่ไหวอีกต่อไป ดีดนิ้วกลางอากาศหนึ่งที
ความเจ็บมาเยือนกะทันหันจนเผยเฉียนไม่ทันได้ตั้งตัว นางเก็บเม็ดบ๊วยใส่กลับไว้ในกล่องใบเล็กแล้วรีบก้มตัวย้ายกล่องไปวางด้านข้าง จากนั้นก็ยกสองมือกุมหัว ร้องไห้จ้าเสียงดัง
เฉินผิงอันหัวเราะปากกว้าง
พอเห็นว่าอาจารย์ไม่สงสารนาง เผยเฉียนที่แอบมองอาจารย์ผ่านร่องนิ้วก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม
เฉินผิงอันจึงรีบเก็บรอยยิ้ม ถามว่า “อยากเห็นอาจารย์ขี่กระบี่เดินทางไกลไหม?”
มุมปากเผยเฉียนเบะลง พูดอย่างน้อยใจ “ไม่อยาก”
เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มบางๆ
เผยเฉียนพลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส “อยากเห็นมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันจึงปลดเจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งอาคมที่อยู่ด้านหลังลง แต่ไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝัก พอยืนขึ้นแล้วก็หันหน้าออกไปนอกหน้าผา จากนั้นก็ขว้างมันออกไป
เฉินผิงอันก้าวเร็วๆ ไปเบื้องหน้า ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง พุ่งตัวออกไปเหยียบลงบนกระบี่ยาวเล่มนั้นแล้วทะยานจากไปไกล
เผยเฉียนอ้าปากกว้าง รีบลุกขึ้นยืน วิ่งมาที่หน้าผา เบิกตากว้างมองแผ่นหลังสง่างามที่กำลังขี่กระบี่นั่น
จูเหลี่ยนกับสือโหรวย่อมรู้ว่ากลเม็ดที่เฉินผิงอันใช้ก็คือให้กระบี่บินชูอีกับสืออู่ซ่อนตัวอยู่ด้านใต้เจี้ยนเซียนเล่มนั้น
เผยเฉียนตะโกนเสียงดัง “อาจารย์ อย่าบินไปไกลนักนะ”
ท่ามกลางลมภูเขา เฉินผิงอันงอเข่าน้อยๆ เหยียบอยู่บนกระบี่เจี้ยนเซียน จิตของเขาเชื่อมโยงกับกระบี่บิน ปลายฝักของกระบี่เจี้ยนเซียนที่ตวัดขึ้นด้านบนเล็กน้อยพลันแหงนทะยานขึ้นสูง เฉินผิงอันและกระบี่ยาวใต้ฝ่าเท้าแหวกทะเลเมฆชั้นหนึ่ง แล้วก็ต้องหยุดลอยนิ่งอย่างอดไม่ได้ ใต้ฝ่าเท้าก็คือทะเลเมฆสีทองท่ามกลางแสงสุดท้ายที่เหลืออยู่ มองไปเห็นแต่ความกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ระหว่างฟ้าดินมีเพียงความงดงามที่มิอาจบรรยายได้
เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบว่าที่แท้สิ่งที่มองเห็นระหว่างการที่ตัวเองขี่กระบี่ท่องเที่ยว กับการที่โดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนก้มหน้าลงมองทะเลเมฆ คือทัศนียภาพและความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันมองทะเลเมฆอยู่นาน เมื่อดวงอาทิตย์เหมือนจมหายลงไปในมหาสมุทร แสงสุดท้ายที่เหลือก็ค่อยๆ สลายหายไป สุดท้ายเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนกระบี่เล่มยาวหลับตาลง กลั้นหายใจทำสมาธิ ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
เฉินผิงอันเก็บท่าเจี้ยนหลู ทันใดนั้นความรู้สึกบางอย่างพลันเกิดขึ้นในใจ เขาพึมพำว่า “เฉาสือฝ่าทะลุขอบเขตอีกแล้วหรือ?”
—–