นั่งเรือหอซิ่วโหลวที่จำแลงมาจากเรือน้อยแกะสลักด้วยเมล็ดเหอเถาลำนั้นแค่หนึ่งชั่วยามก็แหวกทะเลเมฆลดระดับลงระหว่างยอดของเทือกเขาที่มีไอน้ำล้อมเวียนวน
มาถึงจวนจื่อหยางแล้ว
หากมองมาจากจุดสูง ตระกูลเซียนแห่งนี้มีขนาดไม่เป็นรองวังหลวงของราชวงศ์ในโลกมนุษย์เลย พื้นที่ตรงกลางคือสิ่งปลูกสร้างยิ่งใหญ่โอฬารที่เมื่อถูกแสงอาทิตย์สาดส่องก็มีประกายแสงสีม่วงเหลือบทองเรืองรอง
หลังจากที่พวกเฉินผิงอันลงมาจากเรือแล้ว สตรีร่างสูงโปร่งที่เรียกตัวเองว่าอู๋อี้ ต้งหลิงเจินจวินก็เก็บเรือลำน้อยเมล็ดเหอเถาแกะสลักใส่ไว้ในชายแขนเนื้อ ส่วนดรุณีน้อยที่อยู่รอบด้านก็พากันกลายมาเป็นแผ่นยันต์ แต่กลับไม่ได้ถูกต้งหลิงเจินจวินท่านนั้นเก็บไป เมื่อนางโบกชายแขนเสื้อพัดพายันต์ทั้งหลายไปยังลำคลองที่น้ำไหลริกๆ สายหนึ่ง ยันต์ทั้งหลายก็กลายเป็นปราณวิญญาณอันเปี่ยมล้นที่ผสานรวมเข้ากับน้ำในลำคลอง
ผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งมาปรากฏกายอยู่ตรงริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามของลำคลองอย่างรู้เวลา เขาคุกเข่าโขกศีรษะให้กับผู้ฝึกตนหญิงผู้นี้พลางตะโกนก้องว่า “เทพน้อยจากศาลจีเซียงคารวะบรรพจารย์ต้งหลิง ขอกราบขอบพระคุณบุญคุณอันใหญ่หลวงของท่านบรรพจารย์ไว้ ณ ที่นี้!”
จูเหลี่ยนตบเข้าที่ศีรษะของเผยเฉียน พูดเบาๆ ว่า “คนบนเส้นทางเดียวกับเจ้าปรากฏตัวอีกคนแล้ว ไปไม่ทักทายหน่อยรึ?”
เผยเฉียนกลอกตามองบนใส่
อู๋อี้กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “ไม่มีเรื่องอะไรก็กลับไปที่ศาลจีเซียงของเจ้าซะ”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นรีบลุกขึ้นยืนบอกลา กลายร่างเป็นควันเขียวที่มีประกายแสงสีทองเจือปนผลุบหายเข้าไปในลำคลอง
อู๋อี้ยิ้มอธิบายว่า “ออกจากบ้านก็มักไม่ดีตรงนี้แหละ ยากที่จะหาความสงบสุขได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับแสดงให้รู้ว่าเข้าใจ
อู๋อี้ถามชวนคุย “คุณชายเฉิน คราวก่อนท่านกับกลุ่มคนที่เดินทางมาด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่นแม่นางน้อยชุดแดงที่ท่านพ่อของข้าชื่นชอบมากที่สุดคนนั้น พวกเขาหายไปไหนเสียเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กำลังเล่าเรียนอยู่ที่ต้าสุย”
อู๋อี้มีท่าทางเสียดายเล็กน้อย
บิดาเคยบอกว่า เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่มีนามว่าอวี๋ลู่ผู้นั้นก็คือรัชทายาทราชวงศ์สกุลหลูผู้ที่แคว้นล่มสลายซึ่งปิดบังชื่อแซ่อำพรางตน!
ปราณมังกรเข้มข้นทั่วร่างของเขาก็คืออาหารรสเลิศที่สุดบนโลกใบนี้
ปีนั้นไม่รู้ว่าเหตุใดบิดาถึงไม่ได้จับกิน นางเองที่อยู่ภายใต้เปลือกตาของบิดาก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่าม จึงพลาดของดีไปด้วย แค่ไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีโอกาสได้กินอิ่มหนำสักมื้อหรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถฝ่าทะลุคอขวดโอสถทองสมควรตายนั่นไปได้
เพื่อฝ่าทะลุขอบเขต สามารถเลื่อนขั้นไปสู่ ‘ปลายทางมหามรรคา’ ของเผ่าพันธ์เจียวหลงในทุกวันนี้อย่างขอบเขตก่อกำเนิด น้องชายยอมกลายเป็นองค์เทพแม่น้ำหันสืออย่างไม่เสียดาย ส่วนตนก็มุมานะฝึกวิชานอกรีต พูดไม่ได้ว่าไร้ประโยชน์ ได้แต่กล่าวว่าการพัฒนาเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนแทบจะทำให้คนคลั่งตาย
หรือว่าในอีกร้อยปีพันปีให้หลังก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้เงาของบิดาต่อไปจริงๆ? ต้องหวาดหวั่นขวัญผวาอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าวันใดบิดาหิวโหย หรือไปเข่นฆ่ากับคนอื่นจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจำต้องกินอาหารชดเชย แล้วจะเอาบุตรชายบุตรสาวอย่างพวกเขาสองคนมาเติมเต็มให้อิ่มท้อง?
ปีนั้นตนกับน้องชายที่น่าสงสารไปพบชุยฉานราชครูต้าหลีพร้อมกับบิดา ประสบการณ์ครั้งนั้นไม่ถือว่าดี บิดาถูกซิ่วหู่อาศัยแท่นฝนหมึกโบราณชิ้นหนึ่งและวิชาอภินิหารโบราณเล่นงานให้ตบะหายไปสามร้อยปี หลังจบเรื่องบิดาพาลโมโหใส่นางกับน้องชาย ทุบตีพวกเขาจนสภาพน่าอนาถชวนสังเวช แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ถือว่าไม่เลว ในที่สุดบิดาก็ได้ออกไปจากแคว้นหวงถิง นางและน้องชายไม่ต้องรู้สึกเหมือนมีภูเขาใหญ่กดทับในหัวใจอีก ถึงอย่างไรท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานหลายพันปี ลูกหลานที่ถูกบิดาผู้มีนิสัยดุร้ายอำมหิตผู้นี้กินเข้าไปก็มีมากจนนับไม่ถ้วน อีกทั้งจวนจื่อหยางและแม่น้ำหันสือต่างก็ได้เป็นพื้นที่สำคัญที่ราชสำนักต้าหลีให้การยอมรับ มีฐานะโดดเด่นเหนือกว่าแคว้นหวงถิง
แน่นอนว่าอู๋อี้นี้เป็นเพียงแค่นามสมมติ ในฐานะบรรพบุรุษของจวนจื่อหยาง ร่างจริงก็ยิ่งเป็นทายาทเผ่าพันธุ์เจียวแห่งแคว้นสู่โบราณ หากไม่เป็นเพราะจดหมายฉบับนั้นที่บิดาส่งมาให้ ต่อให้เฉินผิงอันจะมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลเป็นผู้ติดตาม นางก็คร้านจะใส่ใจ คงหนีไม่พ้นต่างคนต่างเดินกันไปบนทางของตัวเอง ทำไมนางจะต้องกระตือรือร้นถึงขนาดไปต้อนรับเขาด้วยตัวเอง อีกทั้งยังต้องฝืนใจเค้นรอยยิ้มส่งให้คนหนุ่มคนหนึ่งด้วย?
อู๋อี้พาพวกเฉินผิงอันเดินไปบนทางเส้นใหญ่ริมลำคลองช้าๆ เส้นทางสายนี้ราบเรียบผิดไปจากปกติ เป็นทางที่ถูกปูด้วยหินสีเขียวเส้นยาวก้อนใหญ่ ภาพสะท้อนในแผ่นหินชัดเจนแจ่มแจ๋ว
เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือเอาแต่จับจ้องพื้นหินสีเขียวที่วาววับราวกับกระจก มองนังหนูถ่านดำที่อยู่ข้างในแล้วแสยะเขี้ยวใส่อย่างสนุกสนาน
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนเรือหอเรือน อู๋อี้ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเฉินผิงอันมากนัก ดังนั้นจึงฉวยโอกาสนี้แนะนำประวัติความเป็นมาของจวนจื่อหยางให้เฉินผิงอันฟังคร่าวๆ
การตอบรับของเฉินผิงอันบอกได้แค่ว่าไม่ถือว่าเสียมารยาท สำหรับเรื่องประเภทนี้ อย่าว่าแต่หลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าเลย ต่อให้เป็นหลี่ไหวก็ยังเก่งกว่าเขา
คงเป็นเพราะเปิดจวนน้ำไว้แห่งหนึ่ง และหล่อหลอมตราประทับอักษรน้ำ เมื่อมาเดินอยู่บนนี้ เฉินผิงอันจึงสามารถสัมผัสได้ถึงแก่นชะตาน้ำเป็นเส้นๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางหินยักษ์สีเขียวใต้ฝ่าเท้า
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน แล้วก็พลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ
เผ่าพันธุ์เจียวหลงบนโลกจำเป็นต้องฝึกตนอยู่ใกล้กับน้ำ ต่อให้เป็นทายาทเจียวหลงที่มองดูเหมือนรากฐานของมหามรรคาใกล้เคียงกับภูเขามากกว่า แต่ขอแค่สร้างโอสถทองได้แล้วก็ยังจำเป็นต้องออกมาจากภูเขา ลงแม่น้ำเป็นเจียว หรือลงสายน้ำใหญ่เป็นมังกรแต่โดยดี ซึ่งก็หนีไม่พ้นตัวอักษรน้ำเช่นกัน
คาดว่าผู้ฝึกตนแต่ละยุคของจวนจื่อหยางแห่งนี้คิดจนหัวแทบแตกก็คงยังเดาไม่ถูกว่าเหตุใดบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาท่านนี้ถึงต้องเลือกสถานที่แห่งนี้มาสร้างจวนและแตกกิ่งก้านสาขาออกไป
จวนจือหยางก็คือตระกูลเซียนอันดับต้นของแคว้นหวงถิง แต่กลับไม่เหมือนตระกูลเซียนทั่วไปที่สร้างอยู่บนยอดเขา แต่มาสร้างอยู่ริมลำคลองงดงามที่การมองเห็นเปิดกว้าง ลำคลองที่เกิดจากธารน้ำในผืนป่าหลายสายไหลมารวมตัวกันมีนามว่าเถี่ยเชวี่ยน คือตอนบนของแม่น้ำป๋ายกู่แม่น้ำใหญ่อันดับสามของแคว้นหวงถิง ถือว่าเป็นต้นน้ำของแม่น้ำป๋ายกู่ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร อีกทั้งแม่น้ำป๋ายกู่ก็เป็นรองแค่แม่น้ำหันสือและแม่น้ำอวี้เจียงเท่านั้น เป็นเหตุให้มีองค์เทพวารีของแคว้นหวงถิงได้รับการแต่งตั้ง สามารถสร้างร่างทอง สร้างศาลบูชา ช่วยฮ่องเต้สกุลหงหลายยุคสมัยของแคว้นหวงถิงเฝ้าพิทักษ์โชคชะตาน้ำยาวไกลแปดร้อยลี้
ต้องรู้ว่าแคว้นมากมายในใต้หล้าไพศาล เรื่องการแต่งตั้งองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำนั้นเป็นเรื่องสำคัญในสำคัญที่เกี่ยวพันไปถึงชาติบ้านเมือง แล้วก็สามารถตัดสินได้ว่าฮ่องเต้องค์หนึ่งจะสามารถนั่งบนบัลลังก์มังกรได้อย่างมั่นคงหรือไม่ เพราะจำนวนมีจำกัด องค์เทพห้าขุนเขาซึ่งเป็นหนึ่งในองค์เทพเหล่านั้นจึงถือว่าเป็นคนประเภทที่มาก่อนได้ก่อน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะให้ฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นเป็นคนเลือก โดยทั่วไปแล้วกษัตริย์ในยุคหลังจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงง่ายๆ เพราะจะเกี่ยวพันกับหลายเรื่องเป็นวงกว้าง และอาจจะทำลายไปถึงเส้นเอ็นและกระดูก เทพแม่น้ำ เทพลำคลอง พ่อปู่ลำคลองและแม่ย่าลำคลองทั้งหลายที่ขึ้นตรงกับเทพวารี เทพภูเขาน้อยใหญ่ เทพเจ้าที่ เทพแห่งผืนดินปลายแถวใต้อาณัติของห้าขุนเขาล้วนไม่สามารถถูกฮ่องเต้แต่ละยุคสมัยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนำมาใช้อย่างสิ้นเปลืองได้ ต่อให้เป็นกษัตริย์ที่ไร้ความสามารถมากแค่ไหนก็ไม่ยินดีเอาเรื่องนี้มาเล่นสนุก ต่อให้เป็นขุนนางในราชสำนักที่มีแต่คนถ่อยเรืองอำนาจแค่ไหนก็ไม่กล้าปล่อยให้ฮ่องเต้ทำตัวเหลวไหลกับเรื่องนี้
มีเพียงทุกครั้งที่ท้องพระคลังเปี่ยมล้นจึงจะสามารถนำไปแลกเป็นเงินเทพเซียนที่มากพอ จากนั้นค่อยขออนุญาตจากสำนักศึกษาบางแห่งที่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักของลัทธิขงจื๊อ ปรากฏกายด้วยสถานะของวิญญูชน ปากอมกฎแห่งสวรรค์ เยื้องกรายไปเยือนภูเขาและแม่น้ำแห่งนั้น ช่วย ‘ชี้นำแผ่นดิน’ ให้กับแคว้นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นราชสำนักแห่งนี้ก็จะสามารถสร้างองค์เทพที่ได้รับการสืบทอดอย่างถูกต้องท่านหนึ่งให้กับภูเขาแม่น้ำของแคว้นตัวเอง ให้องค์เทพย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงชะตาแคว้น ทำให้โชคชะตาแคว้นมั่นคง
นี่เรียกว่าปรากฎการณ์ของยุคสันติรุ่งโรจน์ ย่อมได้รับคำอวยพรจากขุนนางบุ๋นบู๊นับร้อย คนทั้งแคว้นร่วมยินดี และฮ่องเต้ก็มักจะปลาบปลื้มอารมณ์ดี ประกาศอภัยโทษให้แก่คนทั่วหล้า เพราะถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้รับการขนานนามด้วยชื่อเสียงที่ดีงามว่าเป็นเจ้าเหนือหัวผู้นำพาความเจริญรุ่งเรือง คือกษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาในตำราประวัติศาสตร์
เพียงแต่ว่าทัศนียภาพล่างภูเขาที่เป็นเช่นนี้ล้วนถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาพ่นเสียงออกจมูก เอ่ยเยาะหยันว่า ‘เพิ่มฝาโลงชาวบ้านหนึ่งชั้น เพิ่มไม้บนบัลลังก์มังกรฮ่องเต้หนึ่งชิ้น’
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดในอาณาเขตของแต่ละแคว้นถึงมักจะมีศาลเถื่อนปรากฏขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เป็นเพราะราชสำนักอ่อนแอ ไม่มีกำลังพอจะตัดรากถอนโคนจริงๆ น่ะหรือ?
อันที่จริงแล้ว ศาลเถื่อนจำนวนมากได้รับการยอมรับโดยปริยายจากทางราชสำนักก็เพราะศาลเหล่านี้แค่ไม่ได้รับการยอมรับจากสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ไม่อาจเชิญวิญญูชนท่านหนึ่งให้เปิดปากทองคำเอ่ยเอื้อนถ้อยคำได้ก็เท่านั้น ราชสำนักของแต่ละแคว้นถึงได้ลืมตาข้างหนึ่งหลับตาข้างหนึ่งกับศาลเถื่อนที่ควันธูปโชติช่วงเหล่านี้ ถึงขั้นที่ว่าราชสำนักบางแห่งยังแอบมอบเงินเทพเซียนสนับสนุนศาลเถื่อนลับหลังสำนักศึกษาอยู่ตลอดเวลา แอบยุยงให้ปัญญาชนนักท่องเที่ยวในพื้นที่นำพาผู้คนไปจุดธูป เพื่อสะดวกให้ชาวบ้านในท้องถิ่นติดตามมาทำบุญด้วย
และลำคลองเถี่ยเชวี่ยนก็มีเทพลำคลองที่ได้รับการสืบทอดจากระบบดั้งเดิมอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งก็คือผู้เฒ่าท่าทางนอบน้อมที่ไปมาอย่างเร่งรีบผู้นั้น
หลายปีที่ผ่านมานี้ เทพลำคลองแห่งศาลจีเซียงที่มีร่างทองให้ผู้คนกราบไหว้ท่านนี้เป็นหุ่นเชิดที่ถูกจวนจื่อหยางชักใยมาตลอดเวลา หนึ่งในการฝึกประสบการณ์ของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างของจวนจื่อหยางแห่งนี้ก็คือการสังหารภูตผีทั้งหลายที่เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนซึ่งมักจะถูกเพื่อนร่วมงานหัวเราะเยาะว่า ‘สหายตายข้าไม่ตาย แล้วข้ายังจะช่วยเก็บกระเป๋าเงินเจ้ามาด้วย’ ผู้นี้ส่งตัวไปให้ ลูกสมุนที่น่าสงสารเหล่านั้นแทบจะเท่ากับว่ายื่นคอไปให้ตัวอ่อนผู้ฝึกลมปราณทั้งหลายสังหาร หากโชคดีหน่อยก็จะหนีรอดมาได้ ไปๆ มาๆ ภูตผีที่ฟูมฟักมาจากลำคลองเถี่ยเชวี่ยนจึงมีไม่มากพอ จำต้องให้เทพลำคลองท่านนี้ควักเงินของตัวเองมาเพิ่มแก่นชะตาน้ำ หากเป็นปีใดที่รายรับไม่ดี ยังต้องเอาของขวัญไปเยี่ยมเยือนถึงที่ ขอร้องให้เหล่าผู้เฒ่าเทพเซียนในจวนจื่อหยางทุ่มเงินเทพเซียนลงไปในลำคลองเพื่อเพิ่มปราณวิญญาณชะตาน้ำ ทำให้ผีพรายภูติน้ำเติบโตได้เร็วขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ให้การฝึกประสบการณ์ของลูกศิษย์ในจวนจื่อหยางถูกถ่วงเวลาล่าช้า
ฟังดูเหมือนถูกลดค่า แทบจะเรียกได้ว่ามีชีวิตอยู่รอดไปเพียงวันๆ เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่รู้ว่ามีองค์เทพแห่งลำคลองและแม่น้ำมากน้อยเท่าไหร่ในแคว้นหวงถิงที่อิจฉาเขา
หลักการนั้นง่ายมาก ลำคลองเถี่ยเชวี่ยนมีแค่เทพลำคลอง แต่ระดับความแข็งแกร่งของร่างทองเขากลับไม่เป็นรององค์เทพวารีของแม่น้ำใหญ่ลำดับสามของแคว้นหวงถิงอย่างแม่น้ำป๋ายกู่เลย
อาศัยอะไร? แน่นอนว่าต้องอาศัยเศษน้ำแกงที่ทุกปีจวนจื่อหยางแคะออกมาจากซอกเล็บ เก็บสั่งสมปีแล้วปีเล่า และบวกกับควันธูปที่รมอยู่ในศาลจีเซียงอันเป็นที่ตั้งของร่างทอง
ผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางไม่ชอบให้คนนอกมารบกวนการฝึกตน ขุนนางและชนชั้นสูงจำนวนมากที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงเลื่อมใสมานานก็ได้แต่หยุดเท้าอยู่ที่ศาลจีเซียงซึ่งห่างจากจวนจื่อหยางไปสองร้อยลี้
เมื่อหยุดเดินแล้ว แน่นอนว่าต้องจุดธูปกราบไหว้เทพเจ้า และหากมีธุระบางอย่างที่ไม่อาจบอกใครได้ก็จำเป็นต้องขอให้เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนช่วยเข้าหาจวนจื่อหยางแทน เพราะจวนจื่อหยางมีวิธีการหาเงินเป็นของตัวเอง ตั้งแต่ผู้ฝึกตนขอบเขตสามไปจนถึงผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกร ทุกครั้งที่ถูกเชื้อเชิญให้ออกจากภูเขาไป ‘หาประสบการณ์’ จะต้องมีการตั้งราคาคร่าวๆ เอาไว้ แต่ผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางเป็นพวกหัวสูงมองไม่เห็นใครในสายตา ต่อให้ชนชั้นสูงทั่วไปในโลกมนุษย์จะมีเงินแค่ไหน เทพเซียนเหล่านี้ก็อาจจะไม่ยอมพบหน้า จำเป็นต้องให้ศาลจีเซียงแห่งลำคลองเถี่ยเชวี่ยนที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับจวนจื่อหยางช่วยเชื่อมสะพานความสัมพันธ์ให้
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ เทพลำคลองเถี่ยเชวี่ยนจะไม่กล้าตักตวงผลประโยชน์เด็ดขาด แม้แต่อีแปะเดียวก็ไม่มีทางรับไป เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่นำเงินเทพเซียนซึ่งขุนนางและชนชั้นสูงของต่างถิ่นมอบให้ไปให้แก่เทพเซียนของจวนจื่อหยาง ฝ่ายหลังออกจากภูเขาไปจัดการเรื่อง เมื่อเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว เงินควันธูปก้อนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับจวนจื่อหยางก็จะถูกส่งมาที่ศาลจีเซียงเอง
บริเวณใกล้เคียงกับจวนจื่อหยาง
นอกประตูจวนคือลานกว้างหยกขาวแห่งหนึ่ง
เวลานี้มีกลุ่มคนของจวนจื่อหยางจำนวนมากมารอรับการกลับมาของบรรพจารย์อย่างเนืองแน่น จวนจื่อหยางแบ่งออกเป็นฝ่ายในและฝ่ายนอก ผู้ฝึกตนฝ่ายในคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายของอู๋อี้บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขา รวมไปถึงเจ้าประมุขจวนจื่อหยางแต่ละรุ่นและลูกศิษย์ของพวกเขา บวกกับผู้ถวายงานผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกร และผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรที่เป็นผู้ดูแลเรื่องต่างๆ ซึ่งได้กุมอำนาจอย่างแท้จริง ส่วนฝ่ายนอกนั้นค่อนข้างจะปะปนกันหลากหลาย นอกจากผู้ฝึกลมปราณที่คุณสมบัติธรรมดาแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนอิสระ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่สวามิภักดิ์ต่อจวนจื่อหยาง รวมไปถึงพวกข้ารับใช้ที่อุทิศตนให้กับจวนจื่อหยางมาหลายยุคหลายสมัย ฝ่ายนอกที่มีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกัน จำนวนคนย่อมมากกว่าผู้ฝึกลมปราณที่ตั้งใจฝึกตนอย่างมุ่งมั่นอยู่แล้ว
มีคนเกือบพันคน
บนลานกว้าง ทุกคนต่างก็ยืนอยู่ตามตำแหน่งฐานะของตัวเอง ซึ่งตำแหน่งนี้ไม่มีการคลาดเคลื่อนผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย
คงเป็นเพราะไม่อยากให้เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าตนแสดงบารมีต่อหน้าพวกเขา อู๋อี้จึงยิ้มบางๆ พลางอธิบายว่า “ข้าไม่ได้เปิดเผยตัวในจวนจื่อหยางมาร้อยกว่าปีแล้ว ในอดีตเคยป่าวประกาศว่าได้เลือกพื้นที่สวรรค์ถ้ำมงคลไว้แห่งหนึ่งแล้วปิดด่านฝึกตน แต่ความจริงเป็นเพราะรำคาญที่ต้องไปมาหาสู่กับผู้อื่นซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็เลยเลือกหลบซ่อนตัวไม่พบใครเสียเลย”
เมื่ออู๋อี้ก้าวจากทางเดินหินเขียวเข้าไปยังริมขอบของลานกว้างหยกขาว ทุกคนต่างก็พากันคุกเข่าโขกหัวคำนับพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย พร้อมกับเปล่งเสียงอันดังว่า “ขอแสดงความยินดีกับบรรพจารย์ที่ออกจากด่าน”
เมื่อดังเข้าหูเผยเฉียนก็ไม่ต่างจากเสียงฟ้าผ่า
จัดขบวนยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เอิกเกริกขนาดนี้ ทำเอาเผยเฉียนที่ได้เห็นดวงตาสาดประกายเจิดจ้า
อู๋อี้ยกมือข้างหนึ่งขึ้น
เผยเฉียนเห็นแล้วก็จุ๊ปากชื่นชม ทั้งๆ ที่คนพันกว่าคนนั้นคุกเข่าก้มหน้าแนบพื้น แต่เวลานี้กลับพากันลุกพรึ่บขึ้นยืนราวกับว่ามีตาอยู่บนหัวอย่างไรอย่างนั้น
อู๋อี้เดินตรงไปด้านหน้า เฉินผิงอันจึงจงใจเดินเยื้องมาด้านหลังหนึ่งก้าว หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองไปบังรัศมีของบรรพจารย์จวนจื่อหยาง คิดไม่ถึงว่าอู๋อี้จะหยุดเดิน ใช้ริ้วกระเพื่อมในทะเลสาบหัวใจบอกกับเฉินผิงอัน ในคำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะที่จริงใจ “คุณชายเฉินไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนี้ ท่านคือแขกสูงศักดิ์ที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้งของจวนจื่อหยางเรา ในพื้นที่เล็กๆ ซึ่งตั้งอยู่กลางป่ากลางเขา ห่างไกลจากอริยะปราชญ์ของข้านี้ วิถีการรับรองแขกที่สมควรมีก็ยังต้องมี ดังนั้นคุณชายเฉินก็เดินเคียงไหล่ไปกับข้าได้เลย”
—–