กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 423.2 ค่ำคืนฝนพรำในยุทธภพ

บทที่ 423.2 ค่ำคืนฝนพรำในยุทธภพ

อู๋อี้ที่มองประเมินเฉินผิงอันอีกครั้งหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่ยังไม่กล้านั่งแล้วผงกศีรษะให้ “สุราคารวะดื่มแล้ว สุราลงทัณฑ์ก็ดื่มไปไม่น้อย ดีมาก ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าบ้านหลังเดียวกัน วันหน้าจวนเทพวารีของพวกเจ้าก็ถือว่าเป็นญาติกับจวนจื่อหยางของพวกเราครึ่งตัวแล้ว ยามถึงช่วงเทศกาลหรือปีใหม่ก็จำไว้ว่ามาเยี่ยมเยือนบ่อยๆ แต่ข้าคงต้องขอเตือนฮูหยินเซียวหลวนสักคำว่า วันนี้ที่เจ้ามีโอกาสนี้ล้วนเป็นคุณความชอบของคุณชายเฉิน ไม่คิดจะทำอะไรบ้างเลยรึ?”

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินเซียวหลวนผู้นั้นย่ำแย่เต็มที ลมหายใจของนางถี่กระชั้นจนเกิดเป็นทัศนียภาพที่เทือกเขาสลับสล้างขึ้นลง แต่ก็ยังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สมควรต้องทำอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าจะดื่มอีกหนึ่งไห ก็อย่างที่ต้งหลิงหยวนจวินกล่าวไว้ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยาก ไม่เมาไม่กลับ! ข้าเซียวหลวนล้วนไม่กล้าผิดต่อฤกษ์งาม ทัศนียภาพน่ามอง สุราเลิศรสและวีรบุรุษ หวังเพียงว่าถึงเวลานั้นหากข้าเมามายแล้วเสียกิริยา หยวนจวินจะไม่หัวเราะเยาะ…”

ระหว่างที่พูดเซียวหลวนก็ยกเหล้าขึ้นมาอีกไห นิ้วที่แกะผนึกดินสั่นเบาๆ อย่างเห็นได้ชัด

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หยิบจอกเหล้ามาไว้ในมือ มองไหเหล้าในมือของเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่อยู่ห่างไปตรงหน้าประตู พอก้มลงมองจอกเหล้าในมือของตัวเองก็หันไปหาอู๋อี้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ยิ้มกล่าวว่า “หยวนจวิน ข้าดื่มเหล้าไม่เก่ง ไม่สู้ให้ทั้งข้าและเจ้าแม่เทพวารีดื่มกันคนละจอกดีไหม? ไม่อย่างนั้นหากข้าดื่มหนึ่งจอก แต่เจ้าแม่เทพวารีกลับดื่มหนึ่งไห ตามเหตุตามผลแล้วล้วนเป็นข้าที่ทำไม่ถูก วันหน้าหากต้องมารบกวนจวนจื่อหยางอีกครั้ง ยามที่เดินทางผ่านจวนเทพวารีจะได้ไม่ถึงขั้นไม่กล้าไปเยี่ยมเยียนเจ้าแม่เทพวารี”

สายตาของอู๋อี้มืดลึก แกว่งกาเหล้า ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเฉิน แบบนั้นไม่ได้หรอก เซียวหลวนคารวะข้าสามไห แต่กลับดื่มให้คุณชายแค่จอกเดียว แบบนี้จะนับได้อย่างไร ไม่สมควรอย่างยิ่ง ทำไม หรือคุณชายเฉินเกิดมีใจนึกรักหยกถนอมบุปผาขึ้นมา? หากเป็นเช่นนั้นก็บังเอิญเลย ใช้สุราเป็นสื่อ ฮูหยินเซียวหลวนของเราอยู่ตัวคนเดียวมานานหลายปีแล้ว คุณชายเฉินผิงอันเองก็เป็นมังกรในกลุ่มคน…”

เฉินผิงอันรีบตัดบทคำพูดของอู๋อี้ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งออกทะเลไปไกล หิ้วไหเหล้าขึ้นมา แกะผนึกดินออก พูดคล้ายขอร้องอู๋อี้ “หยวนจวิน ข้าพูดสู้ท่านไม่ได้ ข้าเองก็น้อมรับการลงโทษ ดื่มสุราลงทัณฑ์ครึ่งไห ที่เหลืออีกครึ่งไหก็ถือซะว่าข้าคารวะเจ้าแม่เทพวารีกลับคืนแล้วกัน”

อู๋อี้พลันหัวเราะเสียงดังลั่น

ดังนั้นในโถงเซวี่ยหมางจึงมีเสียงหัวเราะสะเทือนฟ้าดังขึ้นมาอีกครั้ง

เฉินผิงอันหันหน้าเข้าหาตำแหน่งประธาน ดื่มหมดรวดเดียวครึ่งไห จากนั้นก็หันหน้าไปทางฮูหยินเซียวหลวน ชูไหเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งกาขึ้นสูง “คารวะเจ้าแม่เทพวารี”

ฮูหยินเซียวหลวนกระดกดื่มสุราหมดไหอีกครั้ง

คราวนี้นางไม่มัวรักษามารยาทอีก รีบนั่งลง หันหน้ากลับไปใช้หลังมืออุดปากไว้แน่น

หลังจากเรื่องวิวาทผ่านไป งานเลี้ยงก็กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง

ผู้ฝึกตนสาวที่สวมชุดสีสันงดงามยุ่งวุ่นวายไม่หยุดมือ

มีคนเริ่มลุกออกจากที่นั่งเพื่อมาดื่มคารวะกันและกันแล้ว

ถึงอย่างไรในจวนจื่อหยางตอนนี้ก็มีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางมารวมตัวกัน ในจำนวนนี้มีคนไม่น้อยที่เร่งรุดเดินทางมาจากจวนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับจวนจื่อหยาง ผู้ฝึกตนสองขอบเขตอย่างชมมหาสมุทรและประตูมังกรพิถีพิถันในเรื่องน้ำหยดลงหินมากที่สุด ผู้ฝึกตนที่เรียกได้ว่าฝึกบำเพ็ญตนจนประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงประเภทนี้ หากไม่ได้พบหน้ากันสิบกว่าปีหรือหลายสิบปีก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก หากไปถึงขอบเขตก่อกำเนิดในตำนานก็ยิ่งชื่นชอบความสงบดุจมังกรซ่อนตัวในหมู่เมฆ

สาวใช้ก้มตัวลงลูบแผ่นหลังฮูหยินเซียวหลวนเบาๆ แต่กลับถูกเซียวหลวนสะบัดออก สาวใช้รีบหยุดมือ ยืนนิ่งเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว

ฮูหยินเซียวหลวนที่สายตาปรือปรอยด้วยความเมายิ่งงดงามจับตา โดดเด่นชวนมอง นางพูดกับซุนเติงเซียนเบาๆ ว่า “เติงเซียน ไม่ไปดื่มเหล้ากับสหายของเจ้าสักหน่อยหรือ?”

สีหน้าของซุนเติงเซียนเผยความลำบากใจ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมามายหรือไม่ ฮูหยินเซียวหลวนเวลานี้จึงดูแตกต่างไปจากสตรีสุภาพเรียบร้อยในเวลาปกติ กลับมีท่าทางออดอ้อนเหมือนสาวน้อย นางกำลังมองซุนเติงเซียนด้วยสีหน้าน่าสงสาร

ซุนเติงเซียนรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาเคารพนับถือเจ้าแม่เทพวารีท่านนี้เพียงอย่างเดียว ไม่ได้มีใจคิดรักใคร่นางแบบชายหญิง แต่ใต้หล้านี้จะมีบุรุษสักกี่คนที่เห็นประกายออดอ้อนอ่อนหวานในดวงตาของคนงามแล้วจะทำใจแข็งเป็นหินได้?

ซุนเติงเซียนจึงได้แต่พยักหน้ารับ ลุกขึ้นหยิบจอกเหล้า เตรียมจะไปดื่มคารวะเฉินผิงอัน

ต่อให้ซุนเติงเซียนจะมีนิสัยพยศเย่อหยิ่ง หากไม่รู้ว่าเฉินผิงอันคือแขกผู้มีเกียรติอันดับหนึ่งของจวนจื่อหยางที่แม้แต่บรรพจารย์อู๋อี้ก็ยังต้องประจบเอาใจ แต่คิดว่าเขาคือจอมยุทธหนุ่มขอบเขตสามสี่ในความทรงจำของปีนั้น ทุกคนมาพบเจอกันโดยบังเอิญในยุทธภพ ในเมื่อมีโอกาสกลับมาเจอกันในยุทธภพอีกครั้ง อย่าว่าแต่เฉินผิงอันไม่มาดื่มคารวะเลย เขาซุนเติงเซียนนี่แหละจะเป็นฝ่ายไปชนแก้วกับเขาแล้วชวนคุยเอง แต่ตอนนี้ซุนเติงเซียนกลับรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง ความห้าวเหิมหายเกลี้ยงไม่มีเหลือ

แต่ซุนเติงเซียนก็ต้องอึ้งตะลึงอยู่กับที่

เห็นเพียงว่าคนหนุ่มชุดขาวสะพายกระบี่ผู้นั้นเดินมาพร้อมเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านที่กระโดดโลดเต้นตามมา

เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซุนเติงเซียน “จอมยุทธใหญ่ซุน ขอดื่มคารวะท่านหนึ่งจอก”

แม้ว่าก่อนหน้านี้ซุนเติงเซียนจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่พอเฉินผิงอันมาหาถึงที่ ซุนเติงเซียนก็ให้รู้สึกดีใจไม่น้อย แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองมีหน้ามีตา ในที่สุดการเดินทางมาจวนจื่อหยางที่น่าอึดอัดคับข้องใจนี้ก็มีช่วงเวลาที่สบายใจได้บ้าง ซุนตงเซียนคลี่ยิ้มลุกขึ้นยืนเคียงบ่ากับเฉินผิงอัน หลังจากชนแก้วกันแล้ว ต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าในจอกของตัวเองจนหมด ตอนที่ชนจอกกัน เฉินผิงอันจงใจลดระดับจอกของตัวเองให้อยู่ต่ำกว่า ซุนเติงเซียนรู้สึกว่าไม่เหมาะเท่าไหร่ จึงลดระดับต่ำตามไปด้วย คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะลดระดับต่ำลงไปอีก ซุนตงเซียนจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย

เดิมทีคืนนี้ซุนเติงเซียนก็เอาแต่ดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองด้วยความอัดอั้นจึงเริ่มกรึ่มๆ บ้างแล้ว พอดื่มเหล้าหนึ่งจอกนี้ไปแล้ว คำพูดบางอย่างที่วิ่งมารออยู่ตรงปากก็โพล่งหลุดออกไปทันที “เฉินผิงอัน เจ้าไปเรียนกฎบนโต๊ะสุราพวกนี้มาจากไหน บ้านนอกยิ่งนัก! อีกอย่าง ข้าเองก็รับมารยาทนี้ของเจ้าไม่ไหวหรอก”

ฮูหยินเซียวหลวนลุกขึ้นยืนแล้ว สหายสองคนของจวนเทพวารีซึ่งรวมถึงผู้เฒ่าเห็นว่าซุนเติงเซียนทำตัวเป็นกันเองขนาดนี้ก็ถึงกับพูดไม่ออก

ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายจ้า “จอมยุทธใหญ่ซุน ท่านรับได้ไหวอยู่แล้ว!”

ซุนเติงเซียนอารมณ์ดีทันใด “ก็แค่จับปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งได้ไม่ใช่หรือ เจ้าต้องจดจำไม่ลืมถึงขนาดนี้ด้วยหรือไง?”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดความในใจที่เป็นความรู้สึกซึ่งเขามีต่อยุทธภพ เพียงแต่หยิบเหล้าไหหนึ่งบนโต๊ะข้างๆ ขึ้นมา รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก แล้วก็รินให้ซุนเติงเซียนจนเต็มจอก ยิ้มกล่าวว่า “บนโลกมนุษย์ทางคับแคบ จอกเหล้ากว้าง ขอดื่มกับจอมยุทธใหญ่ซุนอีกจอก!”

คนทั้งสองยังคงดื่มเหล้าในจอกรวดเดียวหมด ซุนเติงเซียนหัวเราะอย่างเบิกบาน “เจ้าตัวดี ความสามารถในการชวนดื่มมีไม่น้อยเลยนี่นา!”

เฉินผิงอันยิ้มตาหยี ก่อนหน้านี้ดื่มเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอฤทธิ์แรงไปรวดเดียวหนึ่งไห ใบหน้าของเขาจึงแดงก่ำแล้วเช่นกัน

ครั้นแล้วก็บอกลาซุนเติงเซียน ไม่ได้โอภาปราศรัยกันนานนัก

ยิ่งไม่ได้พูดคุยกับเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ผู้นั้นเลยแม้แต่คำเดียว

ก่อนที่เฉินผิงอันจะจากไป เขาหันไปมองทางประตูใหญ่แวบหนึ่ง

ผู้ดูแลที่ได้แต่เฝ้าอยู่นอกธรณีประตูมองมาทางเฉินผิงอันและฮูหยินเซียวหลวนตาปริบๆ ตลอดเวลา พอเห็นสายตาเฉินผิงอันที่มองมา เขาก็รีบก้มหน้าค้อมตัวลงต่ำทันที

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกจอกเหล้าที่ว่างเปล่าในมือขึ้นสูง แล้วถึงได้ย้อนกลับไปที่นั่ง

พอได้รับสัญญาณนี้ ผู้ดูแลที่หวาดหวั่นพรั่นพรึงอยู่นานก็ดีใจจนแทบจะน้ำตาไหล

ฮูหยินเซียวหลวนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะก้มหน้าลงต่ำ เช็ดคราบเหล้าที่เปื้อนสาบเสื้อเบาๆ พ่นลมหายใจขุ่นมัวและกลิ่นสุราออกมา

สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าการดื่มสุราลงทัณฑ์อย่างเอาเป็นเอาตายนี้ก็คือ ต่อให้เจ้าอยากจะดื่มลงโทษตัวเองสักกี่ร้อยกี่พันจิน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่ให้โอกาสเจ้าได้ดื่มแม้แต่สองสามจิน

สาวใช้มองแผ่นหลังที่จากไปไกลของคนหนุ่มผู้นั้น หลังจากขบคิดใคร่ครวญแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งใจ

เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น ถามอย่างใคร่รู้ “ตาแก่นั่นใช้ตาสุนัขมองคนอื่นต่ำต้อย อาจารย์ท่านไม่โกรธหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มีอะไรให้ต้องโกรธกันเล่า”

เผยเฉียนถามเสียงเบา “เพราะอาจารย์หวังดีต่อพวกจอมยุทธใหญ่ซุนสินะ”

เฉินผิงอันตบศีรษะนางเบาๆ “เจ้านี่ฉลาดจริงๆ”

ห่างจากที่นั่งอีกแค่ไม่กี่ก้าว เผยเฉียนก็จับฝ่ามือที่อบอุ่นของเฉินผิงอันเอาไว้ เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”

เผยเฉียนหัวเราะคิกคัก “แตะสัมผัสกลิ่นอายในยุทธภพและกลิ่นอายเซียนของอาจารย์คนดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใช่ กินฟรีอยู่ฟรีมาได้ตลอดทาง จะไปหาอาจารย์แบบนี้ได้จากที่ไหนอีก”

เผยเฉียนถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์ ขอข้าดื่มเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอสักนิดได้ไหม หอมยิ่งนัก ข้าอยากกินจะตายอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”

เผยเฉียนพยักหน้า “ข้ารู้สึกว่าสามารถดื่มจอกเล็กๆ ได้ ข้าเองก็อยากจะทางแคบจอกเหล้ากว้างเหมือนกัน”

เฉินผิงอันดึงหูเผยเฉียน โยนนางไปไว้บนที่นั่งพิเศษที่ตั้งโต๊ะตัวเล็กและเก้าอี้ตัวเล็กสำหรับนาง “ดื่มเหล้าผลไม้ของเจ้าไปเลย”

เฉินผิงอันเตรียมจะนั่งลง อู๋อี้กลับเดินลงจากตำแหน่งประธาน มาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา นางโบกมือบอกให้คนในโถงเซวี่ยหมางที่เงียบลงในชั่วพริบตาดื่มเหล้ากันต่อ รอจนงานเลี้ยงสุรากลับคืนสู่ความคึกคักอีกครั้ง

อู๋อี้ถึงใช้เสียงในใจถามว่า “คุณชายเฉิน เจ้าเคยฆ่าพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงมาไม่น้อยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ศึกที่ร่องเจียวหลง เขาไม่ใช่คนสังหารเจียวเฒ่าก่อกำเนิดตนนั้นด้วยมือของตัวเอง

แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกถึงปีศาจปลาไหลตอนอยู่ริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีปขึ้นมาได้ เจ้านั่นเป็นเฉินผิงอันที่สังหารเองตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันขมวดคิ้ว ถามว่า “หยวนจวินมองอะไรออกหรือ?”

ตอนที่อู๋อี้เห็นเฉินผิงอันส่ายหน้า ลึกๆ ในใจก็ให้รู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย แต่พอนึกถึงจดหมายจากทางบ้านที่ได้ผลยิ่งกว่าคำสั่งของอริยะก็ได้แต่เอ่ยอธิบายอย่างอดทนว่า “ข้าเองก็ไม่สะดวกจะซักไซ้เรื่องในอดีตของคุณชายเฉิน แต่ข้ามองออกว่าบนร่างของคุณชายมีผลกรรมติดตัวอยู่ไม่น้อย”

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “หมายความว่ายังไง?”

อู๋อี้ยิ้มกล่าว “บนโลกนี้มีปีศาจบางตน เมื่อสังหารแล้วผลบุญจะติดตัว แต่ก็มีบางตนที่กลายเป็นเวรกรรมตามติด กฎเกณฑ์ที่ไม่เหมือนปกติทั่วไปพวกนี้ ลัทธิขงจื๊อเก็บไว้เป็นความลับตลอดเวลา ดังนั้นคุณชายอาจจะไม่รู้”

เฉินผิงอันถามอย่างตรงไปตรงมา “มีวิธีแก้ไขหรือขจัดทิ้งไหม?”

อู๋อี้อุบไว้ไม่ยอมบอก “ไม่ต้องรีบร้อน ถึงอย่างไรคุณชายก็ยังต้องอยู่ที่จวนจื่อหยางอีกวันสองวัน รอให้สร่างเมาเมื่อไหร่ ข้าค่อยคุยกับคุณชายเฉินเรื่องนี้ คืนนี้แค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวก็พอ อย่าคุยเรื่องที่ทำให้หมดสนุกพวกนี้เลย”

ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา

อู๋อี้ออกไปจากงานเลี้ยงก่อนใคร

และเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็พาพวกเผยเฉียนออกจากโถงเซวี่ยหมาง เดินย้อนกลับไปทางเดิม

เผยเฉียนยังคงอารมณ์ดี ไม่ลืมหยิบไม้เท้าเดินป่ามาคลอเพลงพื้นบ้านที่แต่งขึ้นเองไปตลอดทาง เนื้อเพลงล้วนเป็นภาษาถิ่นของบ้านเกิดในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่นางได้ยินมาจากอาจารย์

“วันนี้เทพเจ้าสายฟ้าร้องเพลง พรุ่งนี้ฝนตกก็คงไม่มาก นกนางแอ่นบินต่ำ งูเลื้อยผ่านทาง มดย้ายบ้าน ภูเขาสวมหมวก…ดวงจันทร์มีขน ฝนตกเซาะปราการ บนท้องฟ้าลายพร้อยด้วยจุดปลาหลี พรุ่งนี้ตากธัญพืชไม่ต้องพลิก…”

ร้องไปเรื่อยไม่มีท่าทีจะหยุด

จูเหลี่ยนฟังเพลงพื้นบ้านเพลงนี้มานานจนหูจะด้านชาแล้ว จึงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “จอมยุทธหญิงเผย เจ้าโปรดเมตตาปล่อยหูข้าไปเถอะนะ?”

เผยเฉียนทอดถอนใจ คืนนี้นางอารมณ์ดีมากก็เลยยอมตามใจพ่อครัวเฒ่าสักครั้ง นางวิ่งออกไปบนทางที่เงียบสงัดสองสามก้าว โบกตวัดไม้เท้าเดินป่า “หมาดุร้ายในใต้หล้าออกอาละวาด หมาป่าและหมาในสมคบคิดกันทำชั่ว ถึงได้ทำให้ยุทธภพอันตรายถึงเพียงนี้ ผู้คนอยู่กันอย่างหวาดหวั่น แต่ข้ายังฝึกวิชากระบี่และวิชาดาบล้ำโลกไม่สำเร็จ ต้องโทษข้า ต้องโทษข้าคนเดียว”

จูเหลี่ยนถีบเข้าที่ก้นของเผยเฉียน

เผยเฉียนเซถลาไปหลายก้าว แต่ก็ยังพลิ้วตัวหยุดยืนนิ่งได้อย่างสบายๆ ก่อนจะหันหน้ามาพูดอย่างเคืองๆ “ทำอะไรน่ะ?”

จูเหลี่ยนกำลังจะเอ่ยหยอกล้อนาง แต่กลับร้องเอ๊ะขึ้นมาเสียก่อน เขาเงยหน้าขึ้น ยื่นมือออกไป “ฝนตกแล้ว?”

เฉินผิงอันอืมหนึ่งที

มีฝนเม็ดบางๆ ตกลงมาจริงๆ

คนทั้งกลุ่มจึงเดินเร็วๆ กลับไปที่หอเก็บสมบัติแห่งนั้น

สือโหรวคือวัตถุหยิน ไม่จำเป็นต้องนอนหลับ จึงเฝ้ายามอยู่ที่ชั้นหนึ่ง

จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนแยกกันอาศัยในชั้นที่สองและชั้นที่สาม

ส่วนเฉินผิงอันไปยืนอยู่ตรงระเบียงของชั้นสี่เพียงลำพัง คืนนี้ฝนตกไม่แรงนัก

เดินนิ่งอยู่กลางระเบียงได้ครึ่งชั่วยาม กลิ่นเหล้าที่คลุ้งอยู่นอกกายก็หายไปสิ้น

เฉินผิงอันจึงกลับไปนอนในห้อง เขาหลับไม่สนิทนัก ถึงอย่างไรก็อยู่ที่จวนจื่อหยางซึ่งอู๋อี้ผู้มีนิสัยยากคาดเดาเป็นเจ้าของ

ครึ่งคืนหลังพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ

เฉินผิงอันลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า พอเปิดประตูออกกลับเห็นคนที่เขาคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็น

เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ ฮูหยินเซียวหลวน

เห็นเพียงว่านางมีสีหน้าสับสนระคนเขินอาย ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด ดูเหมือนว่านางจะเปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงที่รัดรึงแนบกายชุดใหม่ นางเบี่ยงหน้ามา กัดริมฝีปาก ปลุกความกล้าแล้วพึมพำแผ่วเบาว่า “คุณชายเฉิน…”

เฉินผิงอันกลับปิดประตูลงดังปัง

ฮูหยินเซียวหลวนที่ยืนอยู่ข้างนอกใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด

ได้ยินเพียงเสียงเดือดดาลของคนหนุ่มที่อยู่ในห้องดังลอดมา “ฮูหยินโปรดสำรวมกิริยาด้วย!”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท