และในขณะที่จูเหลี่ยนรู้สึกว่าการมาจับผีครั้งนี้คงไม่มีหน้าที่ของตนนั้นเอง ประตูใหญ่ของจวนหลังนั้นก็เปิดออก มีคนผู้หนึ่งเดินออกมา
จูเหลี่ยนอดไม่ไหวถามว่า “นายน้อย คือคู่รักของผีสาวตนนั้นหรือ? หน้าใหญ่นักเชียว ชายฉกรรจ์ท่านนี้ ดูแล้วไม่ด้อยไปกว่าองค์เทพแม่น้ำป๋ายกู่อย่างฮูหยินเซียวหลวนเลย”
คนที่เดินออกมาคือชายฉกรรจ์ที่มีรูปร่างกำยำ สวมเสื้อเกราะ ตรงแขนมีงูเขียวที่มีดวงตาสีทองตัวหนึ่งรัดพัน ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือออกก็ล้วนมีไอหมอกสีขาวล้อมวนเวียน ประหนึ่งควันธูปที่ตลบอบอวลอยู่ในศาลเจ้า
เฉินผิงอันจำคนผู้นี้ได้ เขาเคยปรากฏตัวบนแม่น้ำซิ่วฮวาพร้อมกับสวี่รั่ว มีความเป็นไปได้มากว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือองค์เทพบางท่านของแม่น้ำซิ่วฮวาหรือไม่ก็แม่น้ำอวี้เย่
เกี่ยวกับแม่น้ำซิ่วฮวา แม่น้ำอวี้เย่ ภูเขาฉีตุนและจวนแห่งนี้ ล้วนมีความพิถีพิถันทั้งสิ้น เว่ยป้อเคยเล่าว่านี่คือสถานที่ที่ถูกอำพรางเอาไว้เพื่อสยบโชคชะตาของแคว้นเสินสุ่ยที่ยังเหลืออยู่ ดังนั้นเป็นองค์เทพของแม่น้ำที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องเหมือนกัน ทว่าเทพแม่น้ำของแม่น้ำซิ่วฮวาและแม่น้ำอวี้เย่ เมื่อเทียบกับเทพวารีของต้าหลีที่น่านน้ำซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองมีขนาดพอๆ กันแล้ว กลับมีระดับขั้นสูงกว่าเล็กน้อย
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นั้นพูดเสียงทุ้มหนัก “เฉินผิงอัน ฝ่าสิ่งกีดขวางแห่งภูเขาและแม่น้ำของพื้นที่หนึ่งเข้ามาโดยพลการ บุกมาเยือนจวนสกุลฉู่ ตามกฎการแต่งตั้งภูเขาที่ต้าหลีกำหนดไว้ ต่อให้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลคนหนึ่งก็ต้องถูกถอดถอนสำมะโนครัว ลบชื่อออกจากผังวงศ์สกุล ถูกเนรเทศไปไกลเป็นพันลี้!”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “ฮูหยินฉู่ผู้นั้นล่ะ?”
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาโบกมือ “นางไปจากจวนแห่งนี้ตั้งนานแล้ว อีกทั้งสถานที่แห่งนี้ก็มีเจ้าของคนใหม่แล้ว เห็นแก่ที่บนร่างเจ้ามีป้ายสงบสุขปลอดภัยอยู่แผ่นหนึ่ง และได้รับการบันทึกลงในเอกสารของกรมพิธีการแล้ว จะอนุญาตให้เจ้ารีบจากไป แต่ห้ามให้มีคราวหน้าอีก”
เฉินผิงอันกุมหมัดถาม “ขอถามท่านเทพวารี ตอนนี้ฮูหยินฉู่ไปอยู่ที่ใด?”
เทพแห่งสายน้ำที่ปรากฎตัวด้วยร่างทองผู้นี้ขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองกระบี่เล่มยาวที่เฉินผิงอันสะพายไว้ด้านหลัง “รู้แค่ว่าฮูหยินฉู่ไปที่สำนักศึกษากวานหู มีบัณฑิตคนหนึ่งตายอยู่ที่นั่น นางต้องการไปเก็บกระดูกของเขากลับมา แต่ช่วงเวลาอันใกล้นี้นางต้องยังไม่กลับมาที่นี่แน่”
เฉินผิงอันถอนหายใจ คงจะมาเสียเที่ยวแล้ว เขารู้สึกเสียดายยันต์กระดาษเหลืองสองแผ่นนั้นเล็กน้อย เอ่ยขออภัยกับเทพวารีท่านนี้ว่า “ครั้งนี้มาเยี่ยมเยือนฮูหยินฉู่ เป็นข้าที่บุ่มบ่ามเอง คราวหน้าจะต้องระวังแน่นอน”
เทพวารีหัวเราะหยัน “ยังจะมีครั้งหน้าอีกหรือ?”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร เทพวารีก็ชำเลืองตามองผู้เฒ่าหลังค่อมคนนั้น “ทำไม รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลก็จะสามารถทำอะไรได้ตามใจปรารถนาอย่างนั้นรึ?”
จูเหลี่ยนลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับเฉินผิงอัน “นายน้อย ขอให้ข้าได้ต่อสู้สักครั้งเถอะ หน้าตาท่าทางของเจ้าหมอนี่กวนโอ้ยยิ่งนัก กลับไปข้าจะต้องชดใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองให้นายน้อยแน่นอน”
เฉินผิงอันใช้สายตาบอกเป็นนัยกับจูเหลี่ยนว่าอย่าใช้สิ่งนี้มาหยั่งเชิงว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ เพราะผีสาวสวมชุดแต่งงานตนนั้นน่าจะไม่อยู่ที่จวนจริงๆ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวกับเทพวารีว่า “พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”
และเวลานี้เอง ทางด้านหลังของจวนตระกูลฉู่ก็มีควันดำตลบอบอวลขุมหนึ่งผุดขึ้นมาด้วยพลังอำนาจยิ่งใหญ่ ควันกลุ่มนั้นพุ่งกรูกันมาถึง สุดท้ายเมื่อสัมผัสกับพื้นก็กลายร่างมาเป็นคนที่สวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เจ้าจวนกู้ ไม่ใช่ว่าเจ้ากำลังซ่อมแซมรากฐานภูเขาและสายน้ำหรอกหรือ?”
ไม่ว่าอย่างไรเฉินผิงอันก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจวนคนปัจจุบันจะเป็นเทพหยินแซ่กู้ที่ปกป้องคุ้มครองพวกเขาไปตลอดทาง อีกทั้งยังเป็นบิดาของกู้ช่าน
วัตถุหยินพยักหน้าให้เฉินผิงอัน จากนั้นค่อยหันไปคลี่ยิ้มบางๆ อธิบายกับเทพวารี “ก่อนหน้านี้สัมผัสได้ว่ามีผู้ฝึกตนทำลายสิ่งกีดขวาง คิดได้ว่าใต้เท้าเทพวารีมาตรวจสอบความก้าวหน้าอยู่ที่จวนพอดีก็เลยไม่ได้ใส่ใจ เพียงแต่ว่านึกถึงความวุ่นวายภายในของต้าหลีทุกวันนี้แล้วก็กังวลว่าจะเป็นผู้ฝึกตนของต้าสุยที่คิดจะทำลายรากฐานของสถานที่แห่งนี้ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนคุ้นเคยที่มาเยี่ยมเยือน”
เทพวารีหรี่ตาลง “ปีนั้นเจ้าจวนกู้ปกป้องพวกเฉินผิงอันเดินทางไปต้าสุย พูดได้ว่าคุ้นเคยกันจริง ไม่ทราบว่าเจ้าจวนกู้จะยังเชิญให้เฉินผิงอันเข้าไปในจวน จัดงานเลี้ยงฉลองต้อนรับสหายด้วยหรือไม่?”
เทพหยินแซ่กู้หัวเราะฮ่าๆ “ในเมื่อเป็นเจ้าจวนกู้แล้ว ข้าก็ย่อมไม่กล้าถ่วงเวลาธุระสำคัญที่อยู่ในมือตัวเอง แค่จะพูดคุยกับเฉินผิงอันสักสองสามคำ แล้วส่งเขาออกไปจากอาณาเขตของจวนสกุลฉู่ก็เท่านั้น”
“การซ่อมแซมสายน้ำและรากภูเขาเป็นงานละเอียดที่ไม่อาจหยุดลงกลางคัน หวังว่าเจ้าจวนกู้จะไม่เสียเวลานานนัก ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องทำงานตามหน้าที่ บันทึกเรื่องนี้ลงไปในรายงาน” เทพวารีทิ้งประโยคนี้ไว้แล้วก็หมุนตัวก้าวยาวๆ เข้าไปในจวน
เทพหยินสกุลกู้กุมหมัดขอบคุณ จากนั้นก็มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ก่อนที่เฉินผิงอันซึ่งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงระคนดีใจจะเปิดปากพูด เขาก็รีบพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ช่วยไม่ได้ คุ้มครองพวกเจ้าไปส่งในปีนั้นทำให้ได้รับคุณความเหนื่อยยากมาจากที่ว่าการกรมพิธีการ จึงได้สถานะเทพภูเขาที่ไม่ดีไม่เลวมาครอง ดังนั้นหลายๆ เรื่องจึงไม่อาจทำตามใจปรารถนา ไม่สามารถเชิญเจ้าไปเป็นแขกในจวนได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร วันหน้ายังมีโอกาสอีกมาก ที่นี่ก็ไม่ถือว่าห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนไกลนัก”
เทพหยินแซ่กู้พลันโค้งตัวลงต่ำจนสุด จากนั้นก็พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “เดินทางไกลคราวก่อน ข้าจากมาโดยไม่ลา เนื่องจากมีภารกิจติดตัว จึงไม่กล้าพูดเรื่องส่วนตัวโดยพลการ ตอนนี้ได้เป็นหนึ่งในองค์เทพของต้าหลีแล้ว แม้ว่าจะมีหน้าที่ติดตัว ไม่อาจออกจากพื้นที่ของตัวเองได้โดยไม่มีความจำเป็น แต่ก็ขออาศัยโอกาสนี้เล่าให้เจ้าฟังอย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องปิดบังอีกต่อไป ก็ถือว่าเป็นการลดเรื่องในใจไปได้เรื่องหนึ่ง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เทพหยินแซ่กู้ที่มีใบหน้าประดับรอยยิ้มก็โคจรวิชาอภินิหาร ทำให้ใบหน้าที่เดิมทีล่องลอยพร่าเลือนเปลี่ยนมาเป็นแจ่มชัด เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “คิดว่าค่อนข้างเหมือนใคร?”
เฉินผิงอันมองประเมินเขาอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวอย่างตกตะลึงว่า “คงจะไม่ใช่?”
เทพหยินแซ่กู้หัวเราะเสียงดังกังวาน กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “เฉินผิงอัน หากไม่มีเจ้า กู้ช่านก็ไม่มีทางได้รับโชควาสนาใหญ่ครั้งนั้นไปเปล่าๆ! บุญคุณที่ใหญ่ยิ่งกว่าผืนฟ้านี้ ข้าผู้แซ่กู้ตอบแทนด้วยความตายก็ยังไม่มากเกินไป!”
เป็นนานเฉินผิงอันก็ยังไม่คืนสติกลับมา เขากล่าวว่า “มิน่าเล่าปีนั้นถึงมักจะรู้สึกว่าท่านชอบแอบมองข้าเป็นประจำ ตอนนั้นยังเข้าใจผิดคิดว่าท่านมีเจตนาร้าย ท่านอากู้ ท่านควรจะบอกข้าให้เร็วกว่านี้!”
หลังจากนั้นก็พูดคุยเรื่องยิบย่อยของคนรู้จักในตรอกหนีผิง เพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณใกล้เคียงกับจุดที่มีสิ่งกีดขวางระหว่างภูเขาและแม่น้ำ เทพหยินแซ่กู้ยิ้มขื่นกล่าวว่า “ไม่กล้าละเมิดกฎ ใช่แล้ว ก็เหมือนอย่างที่เทพวารีกล่าว จวนสกุลฉู่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ไม่ดี รากฐานภูเขาและแม่น้ำจึงพังทลายแทบไม่เหลือชิ้นดี มีสภาพเหมือนรากบัวที่ถูกตัดขาดจนเหลือแค่ใยแล้ว ข้าไม่อาจออกมานานนัก ข้าคงไม่ไปส่งไกลกว่านี้แล้ว แยกกันตรงนี้แล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ครั้งนี้ข้ากลับมาจากนครมังกรเฒ่า เพราะทะเลสาบเจี่ยนหูตั้งอยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป สงครามลุกลามเหมือนไฟลามทุ่ง เรือข้ามฟากตระกูลเซียนต่างก็ไม่ยินดีไปเสี่ยงอันตราย ข้าคิดว่าอีกไม่นานก็จะไปเยี่ยมหากู้ช่านที่ทะเลสาบเจี่ยนหู ไม่ทราบว่าท่านอากู้รู้หรือไม่ว่าตอนนี้กู้ช่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว สกัดคงคาเจินจวินผู้นั้นดีต่อเขาหรือไม่?”
เทพหยินแซ่กู้หัวเราะฮ่าๆ “พวกเขาสองแม่ลูกสบายดีนักล่ะ เสี่ยวช่านกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสกัดคงคาเจินจวิน ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องห่วง ไม่อย่างนั้นข้าจะอยู่ที่นี่อย่างสบายใจได้อย่างไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ กุมหมัดกล่าวว่า “ขอให้ท่านอากู้ได้เลื่อนตำแหน่งเทพในเร็ววัน!”
เทพหยินแซ่กู้เอ่ยเตือนเสียงเบา “ใช่แล้ว เฉินผิงอัน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าตอนนี้ทางบ้านเกิด กลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนจำนวนมากที่ปีนั้นซื้อภูเขาไว้ได้เริ่มขายต่อเปลี่ยนมือกันแล้ว ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรรีบกลับไป ไม่แน่ว่าอาจจะซื้อภูเขาสักลูกสองลูกมาในราคาถูกได้ โอกาสอันดีเช่นนี้ห้ามพลาดเด็ดขาดเชียว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เคยได้ยินมาก่อนแล้ว ก็เลยส่งจดหมายกระบี่บินไปที่ภูเขาพีอวิ๋น บอกให้เว่ยป้อช่วยดูให้”
เทพหยินสกุลกู้โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สิ่งกีดขวางระหว่างแม่น้ำและภูเขาก็ปรากฎเป็นประตูใหญ่บานหนึ่ง เฉินผิงอันก้าวเข้าไปในนั้น ก่อนจะหันหน้ามากุมหมัดบอกลาเทพหยินแซ่กู้
กลับมาเดินบนทางภูเขาอีกครั้ง เฉินผิงอันพูดขึ้นอย่างสะท้อนใจว่า “ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าท่านอากู้จะกลายมาเป็นเทพหยิน แล้วยังได้เป็นเจ้าของจวนแห่งนี้อีก เพียงแต่ไม่รู้ว่าครอบครัวของพวกเขาสามคนจะได้กลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเมื่อไหร่”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ “แม้จะไม่ได้พบผีสาวสวมชุดแต่งงานผู้นั้น แต่การเดินทางครั้งนี้ก็ไม่เสียเที่ยว ก็เหมือนอย่างที่นายน้อยเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ว่าเดิมทีภูเขาฉีตุนก็เป็นสถานที่เงียบเหงาเปลี่ยวร้างซึ่งเว่ยป้อตกต่ำกลายไปเป็นเทพเจ้าที่ระดับปลายแถว แต่ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่แห่งปาฏิหาริย์ที่ทำให้เขากลายเป็นองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีได้ในก้าวเดียวเช่นกัน ดังนั้นคำว่าเรื่องราวบนโลกยากจะคาดเดาก็เป็นเช่นนี้เอง”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ไปกันเถอะ ไปเมืองหงจู๋กัน”
คนทั้งสองเพิ่มความเร็วฝีเท้าเล็กน้อยเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองหงจู๋ที่เผยเฉียนกับสือโหรวนำไปก่อนแล้ว
จนกระทั่งเดินออกไปจากแถบภูเขาแห่งนั้นได้หลายสิบลี้ คนทั้งสองคุยเล่นกันไปตลอดทาง จูเหลี่ยนชะลอฝีเท้า ใช้ความสามารถของผู้ฝึกยุทธที่รวมเสียงให้กลายเป็นเส้นถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “นายน้อย หลังจากนี้จะทำอย่างไรกันต่อ?”
เฉินผิงอันเองก็ใช้การรวมเสียงให้กลายเป็นเส้น ตอบด้วยสีหน้าปกติ “ไม่รีบร้อน ไปถึงเมืองหงจู๋แล้วค่อยวางแผนขั้นถัดไป ไม่อย่างนั้นท่านอากู้อาจต้องเจอกับปัญหาใหญ่”
……
หน้าประตูใหญ่ของจวนสกุลฉู่
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาสีหน้ามืดทะมึน มองเจ้าจวนที่เดินกลับมาช้าๆ ตวาดกร้าวว่า “กู้เทา ข้าบอกให้เจ้าอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสายหลักของโชคชะตาน้ำของจวน ห้ามห่างออกไปแม้แต่ก้าวเดียว! เจ้ากลับวิ่งออกมาเองโดยพลการอย่างนั้นรึ?!”
แขนของเทพวารีข้างที่มีงูเขียวรัดพันพลันสั่นสะเทือน งูเขียวที่มีดวงตาสีทองตัวนั้นร่วงลงพื้นแล้วขดกาย กลายร่างเป็นงูยักษ์ขนาดลำตัวหนาใหญ่เท่าถังน้ำ จากนั้นมันก็เลื้อยออกไปช้าๆ ขดตัวล้อมให้เจ้านายและเจ้าจวนผู้นั้นอยู่ในวงขนาดใหญ่ ก่อนที่มันจะชูคอ มองจับจ้องเทพหยินแซ่กู้ด้วยสายตาเย็นชา
เทพวารียื่นมือไปคว้าจับ ในมือก็มีหอกยาวที่ทำจากเหล็กกล้าอันหนึ่งปรากฏขึ้นมา แสงสีทองที่วนเวียนอยู่รอบทวนประหนึ่งสายน้ำที่ไหลริน เขาหัวเราะหยันกล่าวว่า “ราชครูมีคำสั่ง ขอแค่เจ้ามีการกระทำใดที่เกินขอบเขตแม้แต่นิด ข้าก็สามารถสลายจิตวิญญาณของเจ้าได้ครึ่งหนึ่ง! หากเจ้าไม่ยอมแพ้ก็ลองอาศัยจวนตระกูลฉู่แห่งนี้มาต่อต้านดูได้”
เทพหยินแซ่กู้ไม่สะทกสะท้าน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “การที่ปรากฏตัวครั้งนี้ก็เพื่อพูดความลับนั่นออกไป เป็นเพราะเก็บกลั้นมานาน หากไม่พูดก็อึดอัดใจ เทพวารีมาเยือนครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่ง อีกทั้งยังได้บอกเตือนข้าก่อนแล้ว ข้ายอมรับการลงทัณฑ์! แต่ข้าหวังว่าก่อนที่เทพวารีจะลงโทษข้า จะช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าเหตุใดแม้แต่พบหน้าเฉินผิงอัน ข้าก็ยังทำไม่ได้? หวังว่าใต้เท้าเทพวารีจะช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจ ไม่อย่างนั้นต่อให้กายข้ายอมรับการลงทัณฑ์ ใจข้ากลับไม่ยินยอม!”
เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาจ้องเทพหยินตนนี้เขม็ง เขาไม่ได้กำลังสองจิตสองใจว่าควรจะสลายจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของเทพหยินที่เป็นเจ้าของจวนตนนี้ไปดีหรือไม่ แต่กำลังลังเลว่าควรจะทำลายจิตวิญญาณทั้งหมดของอีกฝ่ายเลยดีไหม
ความเป็นความตายของกู้เทาอยู่ระหว่างทางเลือกสองทางนี้
—–