หายนะครั้งนี้ย่อมไม่อาจหลีกหนีไปได้ แต่ตอนนี้ยังจำเป็นต้องให้กู้เทาซ่อมแซมชดเชยโชคชะตาของจวนสกุลฉู่จริงๆ ถึงอย่างไรตอนนี้ที่นี่ก็ถือว่าอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ในฐานะองค์เทพองค์แรกของห้าขุนเขาแห่งใหม่ของต้าหลี เว่ยป้อจึงยิ่งแสดงให้เห็นบารมีอันสูงศักดิ์ขององค์เทพมากขึ้นทุกที ดังนั้นควรจะสลายจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของกู้เทาเมื่อไหร่ นอกจากจะต้องสอบถามใต้เท้าราชครูแล้ว ตามกฎเกณฑ์แห่งภูเขาและแม่น้ำของต้าหลี เขาก็ยังจำเป็นต้องรายงานให้เว่ยป้อทราบด้วย
นี่เรียกว่าขุนนางประจำอำเภอไม่สู้ขุนนางในพื้นที่
หากไม่เป็นเพราะตั้งแต่ต้นจนจบกู้เทาไม่เคยเปิดเผยท่าทีว่าจะโน้มน้าวให้เฉินผิงอันเดินทางไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซู กลับกันยังเกลี้ยกล่อมให้เฉินผิงอันกลับไปซื้อภูเขาที่บ้านเกิดด้วย ไม่อย่างนั้นป่านนี้กู้เทาก็คงจิตวิญญาณแหลกสลายไปนานแล้ว
นี่ก็ถือว่าสมเหตุสมผล ข่าวคราวส่วนใหญ่จากทะเลสาบเจี่ยนซูที่กู้เทาได้รับมาเป็นการส่วนตัว อันที่จริงล้วนเป็นข่าวที่สายลับของต้าหลีต้องการให้เจ้าจวนท่านนี้รับรู้
อยู่ดีๆ เทพวารีก็ขว้างทวนยาวในมือออกไป ทวนยาวแทงทะลุหน้าท้องของเทพหยินไปปักตรึงฝังอยู่บนพื้นดิน แสงสีทองบนทวนยาวเปล่งประกายเผาไหม้รูโหว่บนร่างของกู้เทา ขนาดมีร่างกายอย่างกู้เทาที่เปลี่ยนจากวัตถุหยินมาเป็นองค์เทพร่างทองก็ยังบาดเจ็บสาหัสอยู่ดี
กู้เทาเองก็กระดูกแข็งไม่น้อย เขาไม่พูดไม่จาสักคำ ใบหน้าเริ่มบิดเบือน ควันดำทั่วร่างซัดตลบและเริ่มสลายออก
เทพวารียื่นมือออกมาข้างหน้าแล้วปาดหนึ่งครั้ง ม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งก็ถูกคลี่ออก ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในอาณาเขตของจวนสกุลฉู่เริ่มเกิดการไหลรินเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วตามจิตใจของเทพวารีท่านนี้ ไม่ว่าจะเรื่องราวหรือบุคคลที่อยู่บนภาพวาดล้วนปรากฏเด่นชัดทั้งหมด
แล้วเขาก็คลี่ภาพอีกม้วน นั่นเป็นภาพในอาณาเขตของแม่น้ำซิ่วฮวา
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแข็งกระด้าง “ขอแค่มีต้นตอน้อยนิดที่ทำให้ข้าเกิดความสงสัย ข้าก็ยินดีฆ่าเจ้าผิดมากกว่าจะปล่อยเจ้าไป!”
กู้เทาที่หน้าท้องถูกทวนยาวสีทองทะลุผ่านกล่าวอย่างเดือดดาล “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง?! ใต้เท้าราชครูหรือจะยอมให้เจ้าทำตัวกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้! เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าเจ้าแอบหลงรักฮูหยินฉู่มานานหลายร้อยปีแล้ว?! ทำไม ตอนนี้ข้าได้ยึดครองจวนของฮูหยินฉู่ เจ้าเห็นข้าก็เลยขัดหูขัดตา คิดจะกำจัดข้าเพื่อให้ตัวเองสบายใจ? คิดจะใส่ร้ายคนอื่นยังกลัวว่าจะหาข้ออ้างไม่ได้อีกหรือ? ดีๆๆ ในที่สุดข้าก็ได้รู้ถึงจิตใจของเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาอย่างเจ้าแล้ว!”
เทพวารีไม่สนใจกู้เทาที่เป็นเดือดเป็นแค้นเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ก้มหน้าลงจ้องมองเฉินผิงอันกับจูเหลี่ยนสองคนที่อยู่บนม้วนภาพวาด สังเกตสีหน้า ท่าทางและคำพูดของคนทั้งสองโดยไม่ปล่อยให้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หลุดรอดไป
ส่วนเรื่องที่ว่าใต้เท้าราชครูคิดจะทำอะไร เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาไม่สนใจ เป็นเพราะเขาไม่กล้ามีความคิดที่จะไปสืบเสาะไล่เรียง ไม่กล้าแม้แต่น้อย
ตลอดเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมาของต้าหลี
สำหรับราชครูที่คอยยืนอยู่ในเงาของฮ่องเต้มาตลอดเวลาท่านนี้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่เขาเดินออกมาจากเงาก็ล้วนก่อให้เกิดลมคาวฝนเลือด หัวคนกลิ้งหลุนๆ ได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชนชั้นสูงที่มีอำนาจหรือเซียนซือบนภูเขาก็ล้วนไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าเจ้าจะเป็นขุนนางคนสำคัญของศูนย์กลาง ขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาหรือเซียนดินที่มีฐานะสูงส่งเพียงใดก็ตาม
หากไม่หายเข้ากลีบเมฆก็มีจุดจบที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
เทพวารีกวักมือหนึ่งครั้ง บังคับให้ทวนยาวกลับเข้ามาอยู่ในมือ “เจ้าจงรีบกลับเข้าไปใต้ดินของจวน ซ่อมแซมส่วนที่เหลือของโชคชะตาซะ จงรอฟังคำสั่งต่อจากนี้ จะเป็นหรือตาย เจ้าก็ภาวนาขอให้ตัวเองโชคดีแล้วกัน”
กู้เทาเอามือกุมท้อง ร่างทองได้รับบาดเจ็บ ตบะเสียหาย ทำให้เทพหยินท่านนี้เจ็บปวดอย่างถึงที่สุด “เจ้าน่าจะรู้รากฐานของข้าอยู่บ้าง เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่!”
เทพวารีตอบกลับด้วยสีหน้าเฉยชา “ที่พึ่งใหญ่ที่สุดของต้าหลีพวกเรา คือกฎหมายที่ราชครูช่วยตั้งให้แก่ฮ่องเต้”
……
เดินเลียบแม่น้ำซิ่วฮวาที่สายน้ำไหลรินเอื่อยเฉื่อยมาจนถึงเมืองหงจู๋ที่ยังคงครึกครื้นเฉกเช่นในอดีต
เฉินผิงอันเคยซื้อตำรา ‘หน้าผาใหญ่น้ำหยุด’ เล่มหนึ่งให้หลี่ไหวจากร้านหนังสือของที่นี่
เผยเฉียนและสือโหรวไปพักอยู่ในโรงเตี๊ยมที่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเคยมาเข้าพัก
พอเข้ามาในห้อง เผยเฉียนที่กำลังจะอ้าปากเล่าถึงสถานที่ที่น่าสนใจของเมืองหงจู๋แห่งนี้ เห็นสีหน้าของเฉินผิงอันแล้วก็เงียบกริบทันที
จูเหลี่ยนปิดประตูลง ยืนอยู่ใกล้กับประตู เฉินผิงอันยังคงเงียบขรึมไม่พูดไม่จา
ประโยคแรกที่เฉินผิงอันเอ่ยขึ้นมาก็เข้าประเด็นทันที “ข้าคิดว่าจะยังไม่กลับไปเขตการปกครองหลงเฉวียนก่อน จูเหลี่ยน เจ้าคุ้มครองเผยเฉียนและสือโหรวไปส่งที่ภูเขาลั่วพัว ที่แคว้นหวงถิงมีท่าเรือตระกูลเซียนอยู่แห่งหนึ่ง ข้าจะลองไปดูว่าที่นั่นมีเรือข้ามฟากที่เดินทางไปยังทะเลสาบเจี่ยนซูหรือไม่ หากไม่ได้จริงๆ ก็เดินเท้าไปทะเลสาบเจี่ยนซู หากไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว คิดจะไปที่นั่นอีกกลับจะยิ่งยาก”
จูเหลี่ยนคิดแล้วก็เอ่ยเนิบช้าว่า “บ่าวเฒ่าเป็นวิชาแปลงโฉมที่ฝีมือถือว่าพอจะใช้ได้อยู่บ้าง ไม่สู้ให้บ่าวเฒ่าปลอมตัวเป็นนายน้อย ส่วนนายน้อยก็ปลอมตัวเป็นใครก็ได้ จากนั้นค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ให้นายน้อยไปจากเมืองหงจู๋ก่อน พวกเรารั้งรออยู่ที่นี่สักสองสามวัน แบบนี้น่าจะเหมาะกว่า อาจไม่สามารถปิดฟ้าข้ามทะเลได้เสมอไป แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”
สือโหรวมึนงงไม่เข้าใจ
เผยเฉียนก็ยิ่งสับสน
จูเหลี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “นายน้อย ท่านบอกเองว่า ทุกเรื่องไม่ควรร้อนใจ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “ยังคงเป็นนายน้อยที่รอบคอบ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าพอไปถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน การประลองฝีมือของชุยตงซานครั้งนี้ เขาคงต้องแพ้แน่ๆ”
จากการที่เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาปรากฏตัว จนมาถึงท่านอากู้ที่ตามมาในภายหลัง เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคยเสี้ยวหนึ่ง
ดังนั้นตอนนั้นเฉินผิงอันจึงเลือกที่จะเงียบงัน รอจนท่านอากู้เปิดปากพูดเอง ไม่ใช่ว่าพลั้งเผลอหลุดปากออกมา
แล้วก็จริงดังคาด
ในคำพูดของท่านอากู้มีความนัยซ่อนแฝง ‘เป็นครั้งแรก’ ที่เขาเปิดเผยสถานะบิดาของกู้ช่าน
เฉินผิงอันจึงร่วมเล่นละครไปพร้อมกับท่านอากู้ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการเอ่ยเตือนเฉินผิงอันด้วยความหวังดีว่าให้รีบกลับไปซื้อภูเขาที่เขตการปกครองหลงเฉวียน
หรือบอกว่าสองแม่ลูกอยู่ที่ทะเลสาบเจี่ยนซูปลอดภัยดีอะไรนั่น
ขอแค่เฉินผิงอันฟังออกว่าเป็นความหมายในทางตรงกันข้ามทั้งหมดก็จะรู้ได้เอง
นอกจากนี้จิตของคนทั้งสองก็เชื่อมโยงถึงกัน ต่างคนจึงไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความแม้แต่คำเดียว หรือแม้แต่จะสบตาบอกเป็นนัยแก่กันสักครั้งก็ยังไม่ทำ
เพราะเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาผู้นั้นต้องแอบจับตามองอยู่อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นก็เป็นจูเหลี่ยนที่ช่วยแต่งเสริมรายละเอียด ยกตัวอย่างเช่นคืนนี้ไปดื่มเหล้าเคล้านารีกับหญิงสาวชาวเรือที่มีเฉพาะในเมืองหงจู๋เสียก่อน ที่นั่นมีสายตาผู้คนมากมาย เหมาะแก่การแอบจับตามองคนอย่างลับๆ มากที่สุด เฉินผิงอันถอดชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่จำเป็นต้องสวมระหว่างเดินทางไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูตัวนั้นออก เปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวตัวหนึ่งแทน เพื่อสะดวกให้จูเหลี่ยนปลอมกายเป็นเฉินผิงอันยามไปเยือนภูเขาลั่วพั่ว หากไม่มีชุดคลุมอาคมจินหลี่จะสะดุดตามากเกินไป
จูเหลี่ยนและเฉินผิงอันต่างก็ช่วยกันตรวจสอบชดเชยหาช่องโหว่อยู่เช่นนี้
เผยเฉียนนั่งอยู่ด้านข้างอย่างว่าง่าย ไม่คิดจะพูดจาสอดแทรกมุกตลกในช่วงเวลาเช่นนี้
สือโหรวยืนคุ้มกันอยู่ตรงตำแหน่งหน้าต่าง
นางไม่รู้สึกอีกแล้วว่าการที่จูเหลี่ยนเสนอให้ไปดื่มเหล้าเคล้านารีเป็นการใช้ความต้องการส่วนตัวมาเบียดบังงานส่วนรวม
คืนนี้เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนพากันออกไปจากโรงเตี๊ยม ดื่มเหล้าเคล้านารีกันไปรอบหนึ่ง เฉินผิงอันนั่งตัวตรงอย่างสำรวม จูเหลี่ยนประหนึ่งปลาได้น้ำ พูดคุยกับหญิงสาวชาวเรืออย่างถูกคอจนทำให้ดรุณีน้อยนางนั้นเกิดความรู้สึกเสียใจที่ตัวเองเกิดช้าไป
วันที่สองเฉินผิงอันพาเผยเฉียนไปเดินเล่นทั่วเมืองหงจู๋ ซื้อของสารพัดอย่างเหมือนตอนอยู่ที่บ้านเกิด อีกทั้งยังใกล้จะเข้าหน้าหนาว จึงสามารถเริ่มเตรียมของสำหรับปีใหม่ไว้ได้แล้ว
บุรุษวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งออกจากเมืองหงจู๋ไปอย่างเงียบเชียบ
ไม่ได้โดยสารเรือล่องไปตามตอนล่างของแม่น้ำซิ่วฮวา แต่เดินไปบนถนนทางหลวงที่จอแจไปด้วยผู้คนเส้นหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังชายแดน เมื่อไปใกล้ด่านพรมแดนก็ไม่ได้ใช้เอกสารผ่านด่านผ่านเข้าไปในแคว้นหวงถิง แต่เหมือนผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ชอบพันธนาการ เดินทางข้ามผ่านภูเขาสูงตระหง่านอย่างผ่อนคลาย แล้วจากนั้นก็เร่งเดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืน
มาถึงท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของแคว้นหวงถิงด้วยเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นดิน ชายวัยกลางคนไม่ได้สอบถามเอาจากผู้ดูแลท่าเรือ เพียงแค่อาศัยฟังคนอื่นพูดคุยกันจนได้รู้ว่าตอนนี้ที่ท่าเรือไม่มีเรือข้ามฟากตรงไปยังทะเลสาบเจี่ยนซู เส้นทางเดินเรือสายนั้นหยุดเดินทางไปนานแล้ว จึงเลือกเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่เดินทางไปยังภูเขากูซู ว่ากันว่าเมื่อเปลี่ยนเรือที่ภูเขากูซูก็จะสามารถเดินทางไปยังแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งได้ หลังจากนั้นก็ได้แต่ต้องเดินเท้าไปเยือนทะเลสาบเจี่ยนซูเท่านั้น
บุรุษจ่ายเงินเทพเซียนก้อนหนึ่งเช่าห้องเดี่ยวของเรือข้ามฟากแล้วเก็บตัวเงียบอยู่ภายใน
พอไปถึงภูเขากูซู บุรุษก็ได้ยินข่าวร้ายอีกข่าวหนึ่ง ตอนนี้แม้แต่เรือที่เดินทางไปยังแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งแห่งนั้นก็ยังหยุดเดินทางไปด้วย
บุรุษหยุดพักอยู่ที่ภูเขากูซูหนึ่งวัน เดินทางเตร็ดเตร่ไปทั่ว สุดท้ายจึงทุ่มเงินก้อนใหญ่ ใช้เงินเทพเซียนเช่าเรือส่วนบุคคลลำหนึ่งที่ราคาสูงกว่าเรือลำอื่นทั่วไปซึ่งไม่เต็มใจจะรักษากฎตายตัวมากนัก โดยจ่ายค่าเช่าไปก่อนครึ่งหนึ่ง ภายใต้สายตาของเจ้าของเรือที่มีใบหน้าประจบสอพลอแต่แววตากลับฉายชัดว่ากำลังมองคนโง่ บุรุษก้าวขึ้นเรือลำนั้น บนเรือมีเขาเป็นผู้โดยสารคนเดียว
รอบกายรายล้อมไปด้วยคนเลว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบุรุษยังมีประสบการณ์ในยุทธภพไม่มากพอจึงสัมผัสอะไรไม่ได้ หรือเป็นเพราะฝีมือสูงและใจกล้า ถึงได้จงใจแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ในขณะที่ทางเรือข้ามฟากมาแจ้งข่าวแก่ผู้โดยสารว่าต้องการจอดเทียบท่าเพื่อเติมเสบียง ในที่สุดบุรุษผู้นั้นก็ยอมออกมาจากห้องพัก เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมสีขาว สะพายกระบี่เล่มยาว บนผมปักปิ่นเล่มหนึ่ง ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เขาเดินตรงไปหาเจ้าของเรือที่มีตบะขอบเขตชมมหาสมุทรโดยตรง ตบกาเหล้าสีชาดที่ธรรมดาอย่างยิ่งในสายตาของผู้ฝึกตนทั่วไป กระบี่บินเล่มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เขากล่าวว่า “เงินเทพเซียนนั้นหาง่าย แต่หากสิ้นใจก็ไร้ชีวิตให้ใช้เงิน”
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่เป็นเจ้าของเรือซึ่งเกิดใจคิดสังหารคนเพื่อชิงทรัพย์ก็มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระเช่นกัน ในเมื่อถูกผู้โดยสารมองความคิดออกแล้วก็คร้านที่จะปกปิดไว้อีก เขาชำเลืองตามองน้ำเต้าบรรจุเหล้าลูกนั้น ยิ้มกล่าวว่า “ลูกค้าคงไม่รู้ว่าหากอิงตามราคาของคนอาชีพอย่างพวกเรา น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งมีค่ายิ่งกว่าชีวิตของข้าบวกกับเรือลำนี้เสียอีก เจ้าคิดว่า…”
ไม่รอให้ผู้ฝึกตนเฒ่าพูดจบ กระบี่บินก็พุ่งวาบออกไป
ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนเฒ่าก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาที่ป่ายปีนจนมาถึงขอบเขตชมมหาสมุทร สำหรับผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นหนึ่งในสี่ผีใหญ่ที่ตอแยด้วยยากที่สุดบนภูเขาแล้ว ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา บังเอิญที่เขามีสมบัติวิเศษก้นกรุชิ้นหนึ่งที่พอจะต้านทานมันได้พอดี
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนเฒ่าอาศัยวัตถุแห่งชะตาชีวิตหลบเลี่ยงกระบี่บินเล่มนั้นมาได้อย่างหวุดหวิด ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กลับมีกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งปักตรึงเข้ามาที่หว่างคิ้วของเขา
ไม่ถึงขั้นเอาชีวิต แต่หากเขามีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ปลายกระบี่แทงลึกลงมาอีกนิด เขาก็ต้องตายแน่ๆ
ในขณะที่ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นี้ตกตะลึงว่าเหตุใดผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งถึงมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงสองเล่ม
หมัดหนึ่งก็พุ่งมาถึง
ต่อยให้ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปราณทั้งหมดของผู้ฝึกตนเฒ่าระเหยเป็นน้ำเดือด
แล้วก็ตามมาอีกหมัด
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่สามารถใช้ปราณวิญญาณมาหล่อเลี้ยงหลอมเรือนกายของตัวเองจนร่างกายแข็งแกรงเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่คนหนึ่ง เวลานี้ก็ยังถูกหมัดต่อยจนสำลักน้ำดี ล้มตึงแล้วลุกไม่ขึ้นอีก
กระบี่บินสองเล่มก็ยิ่งปักตรึงเข้าไปในช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตสองแห่งของผู้ฝึกตนเฒ่า ปั่นป่วนให้ช่องโพรงทั้งสองเละเทะ เป็นเหตุให้ขอบเขตชมมหาสมุทรของเจ้าของเรือถดถอยกลับไปที่ขอบเขตถ้ำสถิตโดยตรง ผู้ฝึกตนเฒ่าร้องโหยหวนคร่ำครวญไม่หยุด
คนผู้นั้นกวาดตามองไปรอบด้าน เลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลง พูดกับคนที่เหลือว่า “รีบออกเดินทางต่อ”
หลังจากนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าก็ไปนั่งอยู่ในมุมเล็กๆ ของห้องห้องหนึ่งที่นับว่ากว้างขวาง กระบี่บินสองเล่มบินล้อมวนอยู่รอบด้านอย่างเชื่องช้า
ผู้โดยสารคนนั้นกลับเอาแต่นั่งเปิดตำราอ่านอยู่ตรงนั้น
ผู้ฝึกตนเฒ่าปลุกความกล้าถามว่าตนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ตรงนี้ได้หรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้ขอบเขตถ้ำสถิตต้องถูกทำลายลงไปด้วย
บุรุษคนนั้นพยักหน้า ไม่มีความเห็นต่าง
หลังจากนั้นบุรุษก็อ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า มีบ้างบางครั้งที่งีบหลับ บางครั้งก็ลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าเดินพลางออกหมัดช้าๆ
เมื่อเรือข้ามฟากมาถึงแคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์จูอิ๋งที่มีอาณาเขตใหญ่ที่สุดในชายแดนแล้ว ก่อนที่บุรุษคนนั้นจะลงจากเรือก็จ่ายเงินเทพเซียนที่เหลืออีกครึ่งก้อน
หลังจากสอบถามผู้ฝึกตนเฒ่าที่มีสีหน้าอ่อนระโหยจนรู้ถึงทิศทางที่ตั้งของทะเลสาบเจี่ยนซูคร่าวๆ แล้ว คนผู้นั้นก็ปลดกระบี่ยาวที่สะพายไว้ด้านหลัง แล้วโยนมันขึ้นไปกลางอากาศพร้อมกับฝักกระบี่
ครั้นจึงขี่กระบี่มุ่งตรงไปยังทะเลสาบเจี่ยนซู
—–