หยางเหล่าโถวชำเลืองตามองชายฉกรรจ์หลังค่อมที่สายตาเหม่อลอยนิดๆ แล้วเอ่ยประโยคที่เป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ “สิ่งที่ชุยฉานต้องการ ความรู้ทั้งหลายที่เขาบอกอย่างเป็นนัยได้กลายมาเป็นของดีที่ทำให้ข้าได้รับประโยชน์มหาศาล เมื่อก่อนเค้นสมองครุ่นคิด คิดมานานถึงเก้าพันกว่าปีก็ยังไม่สามารถคลายปมในใจได้ คิดไปมากมาย แต่ผลที่ได้กลับน้อยนิด สู้พูดคุยกับชุยฉานแค่สองครั้งไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับมาเพิ่มเติมส่วนนี้ ข้าต้องคืนมันให้กับชุยฉาน”
“ดังนั้นต่อให้สิ่งเล็กน้อยที่ลงเดิมพันไปบนร่างของเฉินผิงอันจะทำให้ข้าต้องขาดทุนย่อยยับ ก็ยังไม่เป็นปัญหามากเท่าไหร่”
เจิ้งต้าเฟิงถาม “อาจารย์ ข้าอยากรู้อย่างมาก ในบรรดาลูกศิษย์มากมายที่ท่านรับไว้จะมีใครที่ทำให้ท่านดีใจเป็นพิเศษหรือเสียใจเป็นพิเศษไหม? ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่หลี่เอ้อร์ที่มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็น ‘เทพมาเยือน’ ในตำนาน อาจารย์จะค่อนข้างพึงพอใจหรือไม่?”
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “ไม่”
เจิ้งต้าเฟิงชี้มาที่ตัวเองพลางหัวเราะคิกคัก “แล้วข้าล่ะ? ศิษย์มีสภาพน่าสังเวชขนาดนี้ ท่านไม่เสียใจสักนิดเลยหรือ”
หยางเหล่าโถวมีเพียงเสียงหัวเราะเย้ยหยันเป็นคำตอบ
แววตาของเจิ้งต้าเฟิงเศร้าสร้อยและแฝงแววไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “อาจารย์ แม้จะเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้ว แต่พอรู้คำตอบจริงๆ ศิษย์ก็ยังเสียใจนิดๆ อยู่ดี”
หยางเหล่าโถวคร้านจะพูดจาเหลวไหลกับลูกศิษย์คนนี้ จู่ๆ เขาก็เอ่ยว่า “เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อ เมื่อมีชีวิตอยู่ต่อแล้วก็เพื่อให้มีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ล้วนต้องงัดข้อกับโลกใบนี้ เด็กน้อยไม่รู้ความ เด็กหนุ่มเลือดร้อน ชายชาตรีผู้กล้าหาญ จอมยุทธผู้ผดุงคุณธรรม บัณฑิตผู้เปี่ยมไปด้วยปณิธาน แม่ทัพผู้จงรักภักดี วีรชนผู้แกล้วกล้า คนพวกนี้ล้วนสามารถบุกไม่ข้างหน้าอย่างไม่กลัวเกรง ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย แต่คนบางคนกลับดึงดันจะขมวดปมให้ตัวเอง เจ้าจะคลายเงื่อนตายที่ตัวเองผูกมันขึ้นเองได้อย่างไร?”
“ผู้ฝึกตนในทุกวันนี้ ฝึกฝนจิตใจนั้นยาก นี่ก็คือข้อห้ามอย่างหนึ่งที่ปีนั้นพวกเรา…สร้างขึ้นเพื่อพวกเขา เป็นต้นตอของสาเหตุที่มดตัวเล็กอย่างพวกเขาไม่เคยรู้ แต่ตอนนั้นล้วนไม่มีใครคิดถึงว่า ซี่โครงไก่นี้กลับกลายมาเป็นประกายแสงดาวอย่างที่ชุยฉานพูดถึงพอดี…ช่างเถอะ ความอืดอาดของใจคนก็เหมือนกับคนที่เดินขึ้นภูเขาแล้วสวมเสื้อผ้าที่เปียกโชก ไม่เพียงแต่ถ่วงเวลาการเดินทาง ยิ่งเดินยังยิ่งหนักอึ้ง ระยะทางร้อยลี้ เดินไปได้เก้าสิบลี้กลับเหมือนเพิ่งเดินได้แค่ครึ่งทาง ถึงท้ายที่สุดควรจะบิดผ้าให้แห้ง ทำให้ตัวเบาโล่งสบายแล้วเดินขึ้นเขาต่อได้อย่างไร ก็ต้องมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่ เพียงแต่ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงว่า มดกลุ่มนี้จะสามารถปีนไปถึงยอดเขาได้จริงๆ แน่นอนว่าอาจมีคนที่คิดได้เหมือนกัน แต่กลับไม่แยแสคำว่าเป็นอมตะ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อมดปีนไปถึงยอดเขา ได้เห็นหอหยกเรือนแก้วทั้งหลายบนท้องฟ้าแล้ว ต่อให้มีปีกบิน แต่หากคิดจะบินจากยอดเขาไปถึงสวรรค์จริงๆ ก็ยังมีระยะทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน ถึงเวลานั้นค่อยกระทืบให้ตายก็ยังไม่สาย เดิมทีคิดจะเลี้ยงเหยื่อให้อ้วนพีแล้วค่อยออกล่า จะได้กินอิ่มอย่างเต็มคราบ และในความเป็นจริงแล้วเมื่อผ่านไปนานหลายปีจนนับไม่ถ้วน พวกเขาก็ยังคงมีชีวิตได้สงบสุขมั่นคงอยู่ดี ร่างทองขององค์เทพมากมายเสื่อมโทรมได้ช้าลง สี่ด้านแปดทิศของฟ้าดินถูกขยับขยายไปอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายแล้วจุดจบจะเป็นเช่นไร เจ้าเองก็ได้เห็นแล้ว”
หยางเหล่าโถวกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ไม่ได้แสดงความเศร้าสร้อยหรือเจ็บแค้นอะไรออกมามากนัก เขาพูดอย่างง่ายๆ สบายๆ เหมือนเป็นคนนอกสถานการณ์ที่กำลังพูดถึงความลับที่ใหญ่ที่สุดของโลกมนุษย์
เจิ้งต้าเฟิงถามอย่างระมัดระวัง “เหตุใดอริยะสามลัทธิไม่ตัดรากถอนโคนอาจารย์ให้สิ้นซาก?”
หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “เจ้าในตอนนี้ถามคำถามที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้จะมีความหมายอะไร? เจ้าไม่ควรคิดให้ดีๆ หรือว่าทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องกลายเป็นชายแก่ขึ้นคาน?”
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มประจบ “อาจารย์ก็พูดล้อเล่นเป็นด้วยหรือ”
หยางเหล่าโถวเผยสีหน้าเอือมระอาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยจึงยิ่งยับย่น “ก็ไม่ใช่เพราะเรียนรู้มาจากเมียที่ผีเห็นยังหวาดกลัวเทพเห็นยังรังเกียจของหลี่เอ้อร์หรือไง”
เจิ้งต้าเฟิงถามเบาๆ “พี่สะใภ้ก็เป็นด้วยหรือ?”
หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด “หากนางเป็น ข้าจะไม่ทำให้นางมีชีวิตยิ่งกว่าหมูหมาไปทุกภพทุกชาติเลยหรือ? ก็เพราะว่านางเป็นเพียงหญิงปากตลาดที่ทำให้เจ้าหงุดหงิดใจ ข้าถึงได้ไม่ถือสานาง”
เจิ้งต้าเฟิงรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
หยางเหล่าโถวกล่าว “กู้ช่านกับเฉินผิงอัน ก็เหมือนเฉินผิงอันกับฉีจิ้งชุน ต่างก็เป็นเงื่อนตายในทางตันของกันและกันพอดี”
เจิ้งต้าเฟิงขมวดคิ้ว “กู้ช่านกับฉินผิงอัน นิสัยต่างกันมากเกินไปหน่อยกระมัง?”
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ส่ายหน้าไม่หยุด “ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกัน”
หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “หากไม่พูดถึงดีเลว เจ้าลองย้อนกลับมาดูอีกครั้ง ยังรู้สึกว่าไม่เหมือนกันจริงๆ หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงตกอยู่ในภวังค์ความคิด
แล้วสายตาของเจิ้งต้าเฟิงก็เริ่มฉายความเด็ดเดี่ยว
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “อย่าไปมีส่วนร่วมด้วยเลย ต่อให้เจ้าเจิ้งต้าเฟิงเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้วก็ไม่มีประโยชน์ สถานการณ์เป็นตายที่ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันนี้ ต่อให้เหวินเซิ่งอยากจะช่วยเฉินผิงอันก็ยังช่วยไม่ได้ นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่ามีความรู้มากหรือไม่ ตบะสูงพอหรือเปล่า แม้เทวรูปที่ตั้งอยู่ในศาลบุ๋นจะถูกทุบทำลายแล้ว แต่รากฐานความรู้ของเหวินเซิ่งยังคงวางอยู่ตรงนั้น แน่นอนว่าเหวินเซิ่งสามารถใช้ความรู้ที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าไปฝืนปิดทับความรู้ของเฉินผิงอันและสยบเจียวร้ายในบ่อแห่งหัวใจของเฉินผิงอันได้ชั่วคราว ทว่าหากมองตามระยะยาวแล้วกลับได้ไม่คุ้มเสีย ง่ายที่จะทำร้ายให้เฉินผิงอันเดินหลงไปทางผิดจนถึงแก่ความตาย”
หยางเหล่าโถวชำเลืองตามองม่านฟ้า “เจ้าลัทธิลู่ที่เคยมาเป็นแขกท่านนั้นสามารถช่วยให้เฉินผิงอันเดินไปบนเส้นทางอีกเส้นหนึ่งได้ แต่ตัวเฉินผิงอันเองจะไม่มีทางตอบรับ”
“อีกทั้งมีอยู่ข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันคาดเดาได้แม่นยำ คนที่เจ้าลัทธิลู่อยากได้มาตลอดเวลาคือเฉินผิงอันคนที่ฉีจิ้งชุนเลือก แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเฉินผิงอัน เพราะฉะนั้นหากจิตใจของเขาไม่มั่นคง ถูกหลอกไปอยู่ป๋ายอวี้จิง ดีหน่อยก็กลายเป็นหุ่นเชิด ขอบเขตสิบเอ็ดขอบเขตสิบสองก็ใช่ว่าจะไม่มีหวัง แต่หากเลวร้ายหน่อย คาดว่าไม่ว่าจะชาติภพไหนก็คงหนีไม่พ้นกำมือของเจ้าลัทธิลู่ ต้องถูกเขาเอามาใช้พิศมรรคาอยู่ร่ำไป”
เจิ้งต้าเฟิงอืมรับหนึ่งที “ก็เหมือนกับบุรุษคนหนึ่งที่พอไม่ได้สตรีที่ต้องการมาครอบครอง ในใจก็ยิ่งอัดอั้น ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่านางงดงาม แต่พอได้มาครองจริงๆ กลับเห็นว่าที่แท้นางก็มีแค่นี้เอง”
อยู่ดีๆ หยางเหล่าโถวก็โพล่งประโยคหนึ่งออกมา “ตอนนี้ในเมืองเล็กมีหอโคมเขียวอยู่ไม่น้อย”
เจิ้งต้าเฟิงหน้าแดง “อาจารย์ ข้าก็แค่ปากดีไปอย่างนั้นเอง แท้จริงแล้วไม่ใช่คนแบบนั้น!”
หยางเหล่าโถวถามคำถามข้อหนึ่งที่มองดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันเลย “กรอบป้ายสี่กรอบของสามลัทธิหนึ่งสำนักที่แขวนอยู่บนซุ้มประตูก้ามปูของเมืองเล็ก เขียนว่าอะไรบ้าง?”
เจิ้งต้าเฟิงตอบ “ไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่พึงปฏิบัติของลัทธิขงจื๊อ พูดให้น้อยปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติของลัทธิเต๋า ไม่แสวงหาสิ่งนอกกายของลัทธิพุทธ พลังอำนาจสะท้านฟ้าของสำนักการทหาร”
หยางเหล่าโถวถามด้วยรอยยิ้ม “ลองใคร่ครวญดูดีๆ”
เจิ้งต้าเฟิงหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เกี่ยงงอนในสิ่งที่พึงกระทำ คือหนึ่งในเงื่อนตายสำคัญที่ทำให้เฉินผิงอันตกอยู่ในสถานการณ์นี้…”
หยางเหล่าโถวยิ้ม “แสวงหามรรคาด้วยตัวเองเพียงลำพัง เพื่อให้สอดคล้องกับฟ้าดินของลัทธิเต๋า เป็นเรื่องที่สวยงามหรือไม่? ดังนั้นข้าถึงได้พูดว่ามรรคกถาของเจ้าลัทธิลู่สามารถช่วยเฉินผิงอันได้ในช่วงขณะหนึ่ง ขนาดคนทั้งโลกยังไม่สนใจ แล้วยังจะสนใจความเป็นความตาย ความผิดความถูกของเด็กคนหนึ่งในตรอกหนีผิงอย่างนั้นหรือ? เหวินเซิ่งด่าเจ้าลัทธิลู่ว่ามองแต่ด้านดี ไม่มองด้านที่เป็นความจริง แต่ข้าว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น บางทีในอดีตตอนที่เจ้าลัทธิลู่มาแสวงหามรรคาอยู่บนผืนแผ่นดินของใต้หล้าไพศาลอาจจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเขาล่องเรือออกทะเลกลับเริ่มเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาเป็นหลงลืมตนเอง ใกล้ชิดและสอดคล้องกับมหามรรคาของบรรพจารย์เต๋าอย่างถึงที่สุด ดังนั้นถึงได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ที่มรรคาจารย์เต๋าโปรดปรานมากที่สุด ส่วนธรรมะที่วิวัฒนาการมาจากภาษาของลัทธิพุทธประโยคนั้น มองดูเหมือนมีหวังว่าเฉินผิงอันจะมีวิธีการฝ่าทำลายสถานการณ์ครั้งนี้ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่ ชุยฉานต้องคิดได้แน่นอน และต้องมีแผนการรับมือไว้อยู่แล้ว ส่วนคำว่าพลังอำนาจสะท้านฟ้า…”
เจิ้งต้าเฟิงกดเสียงลงต่ำ “แล้วนาง?”
หยางเหล่าโถวพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นาง? ไม่สนใจแม้แต่น้อย ไม่แน่อาจนึกอยากให้เฉินผิงอันลงมืออย่างว่องไวเลยด้วยซ้ำ ขอแค่เฉินผิงอันไม่ตายก็พอแล้ว ต่อให้เดินไปสู่หนทางที่สุดโต่ง นางก็ยินดีที่จะเห็นเช่นนั้น”
เจิ้งต้าเฟิงเกาหัว “พูดไปพูดมา เฉินผิงอันต้องจบเห่แน่แล้ว?”
หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “ถึงเวลานั้นกลายมาเป็นเศรษฐีที่ได้เฝ้าพิทักษ์ภูเขาลูกหนึ่ง ส่วนเจ้าก็ช่วยเฝ้าประตูภูเขาให้เขา กินดื่มไม่ต้องเสียเงินก็ดีมากไม่ใช่หรือ?”
เจิ้งต้าเฟิงพลันเงยหน้าขึ้น จ้องผู้เฒ่าเขม็ง “อาจารย์จงทำให้เจียวร้ายในใจของเฉินผิงอันชูหัวขึ้น เพื่อใช้สิ่งนี้มาหล่อหลอมจิตกระบี่ให้ไม่ต้องยึดมั่นถือมั่นอยู่กับคุณธรรมน้ำใจที่พันธการมือเท้าพวกนั้นอีก ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ขอแค่มีกระบี่อยู่ในมือก็คือหลักการเหตุผลแล้ว จะได้ใช้สิ่งนี้มาช่วยให้บุคคลผู้นั้นโยนฝักกระบี่อย่างเฉินผิงอันทิ้งไป ถูกไหม?!”
หยางเหล่าโถวยิ้มบางๆ “สามารถคิดได้ถึงขั้นนี้ ดูท่ายังพอจะมีพัฒนาการอยู่บ้าง”
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงสั่น “นี่เป็นความต้องการของนางหรือ?”
หยางเหล่าโถวส่ายหน้า เผยให้เห็นสีหน้าปลงอนิจจังและคะนึงคิดเสี้ยวหนึ่ง เขาพูดพึมพำว่า “นางหรือจะสนใจเรื่องพวกนี้ นางไม่แยแสเลยสักนิด นาง…คือนางนี่นา”
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าเศร้ารันทด “น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ”
เขาหวนนึกถึงคนหนุ่มที่นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนม้านั่งยาวใต้ชายคาตรงข้ามกับตัวเองในร้านยาฮุยเฉินพลางยิ้มมองทุกคนที่อยู่ในลานบ้าน
เขาคิดมาตลอดว่าหลังจากเจอหายนะที่มาเยือนโดยไม่ทันตั้งตัวครั้งนั้นแล้ว คนหนุ่มคนนั้นก็ควรจะมีชีวิตที่สุขสบายได้แล้ว
ไหนเลยจะคิดได้ว่า นับตั้งแต่ออกจากนครมังกรเฒ่ามาก็มีสถานการณ์ที่น่ากลัวยิ่งกว่าตู้เม่าขอบเขตบินทะยานและเรือกลืนกระบี่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเขารอเฉินผิงอันอยู่
เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
ได้เวลาล่าสัตว์แล้ว
หยางเหล่าโถวเอ่ยอย่างเฉยชา “สักวันหนึ่งเมื่อกลียุคมาถึง ทุกคนจะไม่ชอบพูดถึงเหตุผลของใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ ผู้คนจะรู้สึกว่าคนโง่ที่ต่อให้มีเหตุผลแต่ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ และคนชั่วร้ายที่แสร้งยกเหตุผลมาก็เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองล้วนจะต้องเป็นดั่งก้อนหินที่ผุดขึ้นมาหลังน้ำลดไปพร้อมๆ กับเหตุผลเหล่านั้น ไม่กินข้าวก็ตาย ไม่ดื่มน้ำก็ยิ่งตายง่าย รอจนถึงเวลานั้นก็จะรู้ถึงความล้ำค่าของการที่มีคนยินดีใช้เหตุผลเอง ยังดีที่คนเราความจำไม่ดี เมื่อความเจ็บปวดผ่านไป แปบเดียวก็ลืมแล้ว วิถีทางโลกก็เป็นอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ผ่านมาตั้งหนึ่งหมื่นปีแล้ว ยังไม่เห็นว่าจะดีไปยังไง”
เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงสั่น “ดี? จะดีได้ยังไง?”
หยางเหล่าโถวหัวเราะ “ข้าใช่คนไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงไร้คำพูดตอบโต้
หยางเหล่าโถวถามอีก “แล้วเจ้าใช่คนไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงยังคงเงียบงัน
สุดท้ายเจิ้งต้าเฟิงออกมาจากร้านยา เดินไปที่ตรอกหนีผิง เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน แล้วก็เดินผ่านบ้านบรรพบุรุษของกู้ช่าน
หยางเหล่าโถวนั่งพ่นควันยาสูบอยู่ในเรือนเพียงลำพัง
เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน แสงสีแห่งจิตวิญญาณบนฟากฟ้าเกาะกลุ่มเรียงรายยิ่งใหญ่ตระการตา หมู่ดาวทอแสงพร่างพราว
จิตใจของมนุษย์บนโลกที่เล็กจ้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึงก็เป็นได้แค่ประกายของแสงดาวเท่านั้น จะชนะได้อย่างไร?
ชุยฉานได้ให้คำตอบมาแล้ว
หยางเหล่าโถวไม่เต็มใจยอมรับ ก็ต้องยอมรับ
และเจ้าคนที่สามารถให้คำตอบได้ผู้นั้น คาดว่าเวลานี้คงอยู่มุมใดมุมหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วกระมัง
……
บนชั้นบนสุดของหอสูงแห่งหนึ่งของนครน้ำบ่อที่การมองเห็นเปิดกว้าง ประตูใหญ่เปิดอ้า มีเด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วคนหนึ่งนั่งอยู่กับผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อ พวกเขามองไปยังทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่งดงามของทะเลสาบซูเจี่ยนที่อยู่เบื้องนอกด้วยกัน
ชุยตงซาน ชุยฉาน
คนสองคนในปัจจุบัน คนคนเดียวกันในอดีต ราชครูต้าหลีซิ่วหู่ อดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง
ชุยตงซานมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาบังคับให้จินสุ้ยกระบี่บินเล่มนั้นวาดบ่อสายฟ้าเล็กๆ รอบกายของตัวเองเพื่อใช้เตือนตัวเองว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ห้ามเดินออกไปจากวงกลมนี้เด็ดขาด
ชุยฉานมองชุยตงซานแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์และลูกศิษย์กัน ทั้งสองคนต่างก็ชอบวาดกรงขังพันธนาการตัวเองเหมือนกัน”
ชุยตงซานเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูด “หากข้าแพ้ ข้าก็ยอมรับความพ่ายแพ้ แต่หากเจ้าแพ้ก็อย่าอาศัยว่ามีกำลังมากกว่ามารังแกคนอื่น เล่นแง่ไม่ยอมรับแล้วกัน!”
หากไม่เป็นเพราะเจ้าตะพาบเฒ่าผู้นี้บังคับวางแผนครั้งนี้ขึ้นมา อีกทั้งยังไม่เหลือพื้นที่ใดๆ ให้เขาปฏิเสธ เขาชุยตงซานหรือจะยินดีมาร่วมโต๊ะพนันครั้งนี้? ตอนนี้เขาเกลียดคำเรียกขานว่า ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ เข้ากระดูกดำ สำหรับการเดิมพันที่ลงมากโอกาสชนะก็มาก ก็ยิ่งไม่ยินดีจะข้องเกี่ยวด้วย
ทว่าเจ้าตะพาบเฒ่ากลับไม่ยอม เขาชุยตงซานจะทำอย่างไรได้?
มาลองนึกดูอีกที หากเป็นชุยตงซานที่นั่งอยู่ในตำแหน่งของชุยฉาน เขาคิดว่าตัวเองก็จะทำแบบนี้เหมือนกัน
ตนจะไม่เข้าใจตนเองได้อย่างไร?
การเดิมพันครั้งนี้ระหว่างเขาชุยตงซานกับชุยฉานนั้นเรียบง่ายมาก แค่ให้รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ แค่นี้เท่านั้น ไม่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย
และนี่ก็คือสาเหตุที่ชุยตงซานไม่ยินดีทำให้สถานการณ์แย่ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ และนี่ก็เป็นจุดที่ชุยตงซานเกลียดตัวเองมากที่สุดเช่นกัน ‘คนคนหนึ่ง’ ย่อมเข้าใจดีกว่าคนนอกว่าเส้นขีดจำกัดของตัวเองอยู่ตรงไหน
หากชุยฉานแพ้ นับแต่วันนี้เป็นต้นไปก็จะอนุญาตให้ชุยตงซานที่อยู่ในต้าสุยมีสถานะคล้ายคนที่แบ่งแยกดินแดนแล้วยกตนขึ้นเป็นราชา อีกทั้งไม่เพียงแต่เขาชุยฉานเท่านั้น ตลอดทั้งราชวงศ์สกุลซ่งต้าหลีล้วนต้องวางเดิมพันลงที่ตัวเฉินผิงอัน เฉินผิงอันมีค่ามากพอกับราคานี้ คราวก่อนที่พบหน้ากัน ชุยฉานยิ้มกล่าวว่า ‘แม้แต่ข้ายังรู้สึกว่าเป็นสถานการณ์หมากล้อมที่มีแต่ทางตัน หากเฉินผิงอันฝ่าออกไปได้ แน่นอนว่าย่อมคู่ควรให้ข้า ‘นับถือ’ บุคคลที่เป็นเช่นนี้ อีกทั้งยังไม่สามารถฆ่าทิ้งได้ตามใจชอบ ถ้าอย่างนั้นก็…เลือกไปอีกทางหนึ่ง พยายามดึงมาเป็นพวกอย่างสุดกำลัง มีอะไรน่าอายตรงไหน’
หากชุยตงซานแพ้ก็จำเป็นต้องออกจากภูเขา ออกจากสำนักศึกษาซานหยา มาช่วยชุยฉานวางแผนยึดครองราชวงศ์จูอิ๋ง จากนั้นเมื่ออ้อมผ่านทะเลสาบกวานหูไปแล้วก็ต้องช่วยจัดวางกำลังให้แก่กองทัพม้าเหล็กต้าหลี สยบกำราบฝ่ายต่างๆ ที่ไม่ว่าจะอยู่ทางใต้ของต้าหลีหรือจะเป็นทางเหนือของทะเลสาบกวานหูก็ตาม ต้องเผาผลาญลดทอนรากฐานของแคว้นต่างๆ ครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปให้ได้เร็วที่สุด ทำให้พวกมันกลายมาเป็นกองกำลังภายในแห่งแคว้นที่เป็นของต้าหลีอย่างแท้จริง
ชุยตงซานยังต้องยอมกลับไปเดินบนเส้นทางของการสร้างความดีความชอบ กลายมาเป็นลูกศิษย์ใหญ่บุกเบิกขุนเขาในทฤษฎีการสร้างคุณความดีความชอบของชุยฉานด้วย (ทฤษฎีในยุคราชวงศ์ซ่งใต้ของจีนที่คัดค้านปรัชญาความคิดของลัทธิขงจื๊อที่มุ่งเน้นด้านจิตใจ สอนให้คนรู้จักการพัฒนาคุณธรรมและการธำรงรักษาจริยธรรม แต่หันมาให้ความสำคัญและมุ่งเน้นในด้านการสร้างความดีความชอบ การสร้างผลงาน การปฏิบัติจริงแทน)
—–