หลิวจื้อเม่าพลันกดเสียงลงต่ำ ถามว่า “ฮูหยิน เหตุใดเจ้าถึงได้…ไม่ไว้ใจเฉินผิงอันขนาดนี้?”
สายตาของสตรีแต่งงานแล้วอึมครึม “เมื่อครู่นี้เจินจวินก็บอกแล้วว่า คนเราย่อมต้องเปลี่ยนไป”
หลิวจื้อเม่าลูบหนวดยิ้ม
สตรีแต่งงานแล้วถาม “เจินจวิน ท่านลองบอกทีเถิดว่า ข้าที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ถือเป็นคนชั่วได้ไหม?”
หลิวจื้อเม่าส่ายหน้า “ย่อมไม่ใช่ ถือว่าเป็นคนดีแล้ว มีการให้รางวัลและลงโทษอย่างชัดเจน แล้วก็ไม่เคยกดขี่พวกข้ารับใช้”
สตรีแต่งงานแล้วถามอีก “แม้แต่คนเลวบางครั้งก็ยังมีช่วงเวลาที่จิตใจดีงาม ปีนั้นข้าทำเช่นนั้นกับเฉินผิงอัน ก็เป็นแค่การทำทานด้วยข้าวหนึ่งถ้วยเท่านั้น มีอะไรให้น่าแปลกใจนักหรือ? ตอนนี้ที่ข้าระแวงเฉินผิงอันก็เพราะคิดเผื่อเรื่องใหญ่ในชีวิตของช่านช่าน เพื่อมหามรรคาในการฝึกตนของช่านช่าน ข้าไม่ได้ไปทำร้ายเฉินผิงอันสักหน่อย แล้วนี่ล่ะแปลกตรงไหน?”
หลิวจื้อเม่าพลันกระจ่างแจ้ง “ฮูหยินพูดอย่างนี้ ข้าก็เข้าใจแล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะ ดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นเผยแววเย้ายวนทรงเสน่ห์ จากนั้นนางก็ถามว่า “เจินจวินดูแคลนน้ำชาของจวนชุนถิงเราหรือ? ถึงได้ไม่ยอมดื่มแม้แต่คำเดียว? หากจำไม่ผิด นี่คือชาตระกูลเซียนจากเกาะหงอิ่นที่เถียนหูจวินนำมามอบให้ด้วยตัวเองเชียวนะ หรือว่าในจวนของเทียนจวินมีใบชาที่ดียิ่งกว่านี้เก็บซ่อนอยู่?”
“ฮูหยินพูดเช่นนี้ช่างทำให้คนเสียใจยิ่งนัก เอาเถอะ ต่อให้ข้าต้องจ่ายเงินจ้างคนไปควานหาทั่วทิศ ก็จะต้องหาใบชาที่ดีกว่าของเกาะของหงอิ่นมาให้ฮูหยินสักหลายๆ จินให้จงได้”
หลิวจื้อเม่าชี้นิ้วใส่สตรีแต่งงานแล้วพลางหัวเราะร่าเสียงดัง วางฝาถ้วยปิดลงบนถ้วยชาเบาๆ แล้วจึงบอกลาจากไป บอกสตรีแต่งงานแล้วว่าไม่ต้องไปส่ง
สตรีแต่งงานแล้วที่ลุกขึ้นยืนทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกเดินออกมา
พ่อบ้านวัยชราที่ยืนเฝ้าอยู่ไกลๆ ตรงหน้าประตูเรือน มิใช่ประตูห้องโถงรีบเดินเข้ามาในห้องโถง หากเป็นเวลาปกติเขาย่อมต้องบอกให้สาวใช้ของจวนมาเก็บกวาดทำความสะอาด แต่วันนี้กลับไม่เหมือนกัน เจ้าเกาะมาเยือนด้วยตัวเอง เขาจึงคิดว่าตนควรต้องเป็นผู้เก็บกวาดเอง
ในขณะที่ผู้ฝึกตนเฒ่าท่านนี้หยิบถ้วยชาของหลิวจื้อเม่าขึ้นมาก็เห็นว่าน้ำชาไม่เหลือเลยแม้แต่หยดเดียว มีเพียงใบชาตระกูลเซียนสองสามใบสีเขียวปลั่งราวมรกตนอนนิ่งอยู่ก้นถ้วย
ผู้ฝึกตนเฒ่าปลงอนิจจังอยู่ในใจ เจ้าเกาะยังคงเชื่อใจจวนชุนถิงและฮูหยินเหมือนดังในอดีตเลย
……
พอออกมาจากจวนชุนถิงแล้ว หลิวจื้อเม่าก็ย้อนกลับมาที่จวนของตัวเองโดยตรง บอกให้คนไปหาซื้อใบชาที่แพงที่สุดหลายๆ จินมาจากเมืองหลวงแคว้นจูอิ๋งก่อน
จากนั้นสกัดคงคาเจินจวินที่มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนมากที่สุดในทะเลสาบซูเจี่ยนผู้นี้ก็นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่งที่มีมูลค่าควรเมืองในห้องลับ เขาแบฝ่ามือออก กลางฝ่ามือมีหยดน้ำเล็กๆ อยู่หนึ่งหยด สีโปร่งใสแวววาว ต่อมาเขาก็หยิบถ้วยขาวใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ นำหยดน้ำที่อยู่กลางฝ่ามือใส่ลงไปในถ้วย
เขานั่งเฉยๆ อยู่อย่างนี้จนถึงกลางดึก ก่อนที่หลิวจื้อเม่าจะร่ายวิชาอภินิหาร มาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้าเรือนของประตูภูเขา เคาะประตูเบาๆ
เมื่อผลักประตูเดินเข้าไป เฉินผิงอันก็เดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกมานั่งอยู่ด้านข้าง ผายมือเชิญให้หลิวจื้อเม่านั่งลง
คนหนุ่มต้าหลีที่มีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนีผิงผู้นี้ไม่ได้ชี้หน้าด่าทอตน นี่เป็นทั้งเรื่องดี แล้วก็เป็นทั้งเรื่องร้าย
หลิวจื้อเม่านั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ยิ้มพลางเอ่ยอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ท่านเฉินไม่อนุญาตให้ข้าเข้าไปวุ่นวายโดยพลการ ข้าก็ได้แต่ไม่สนมารยาทของเจ้าของสถานที่แล้ว ตอนนี้ท่านเฉินบอกว่าต้องการพบข้า ข้าก็ย่อมไม่กล้าให้ท่านเฉินต้องเดินไกล จึงมาเยือนด้วยตัวเอง ไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า ต้องขอให้ท่านเฉินอภัยให้ด้วย”
ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดผู้ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังอยู่ในถิ่นของตัวเองอย่างเกาะชิงเสีย สามารถพูดได้ถึงขั้นนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความยืดได้หดได้ของเขาแล้ว
เฉินผิงอันยื่นมือออกมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หลิวจื้อเม่ารีบบิดข้อมือ บนฝ่ามือมีแผ่นหยกใสแวววาวชิ้นหนึ่งลอยอยู่ เขาถึงขั้นไม่กล้าแตะต้องแม้แต่น้อย เพียงผลักออกไปเบาๆ แล้วเฉินผิงอันก็เก็บลงไป
หลิวจื้อเม่าเอาถ้วยน้ำใบหนึ่งออกมาอีก ใช้นิ้วผลักไปทางเฉินผิงอัน สุดท้ายมันไปหยุดอยู่ตรงกลางของโต๊ะ เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า “มารดาของกู้ช่านเพิ่งจะมาพบข้า มีคำพูดบางอย่างที่ข้าหวังว่าท่านเฉินจะลองฟังดู การกระทำเฉกเช่นคนถ่อยนี้ของข้า แน่นอนว่าเป็นการกระทำที่สกปรก แต่ก็ถือว่าเป็นการแสดงความจริงใจอย่างหนึ่ง”
ผิวน้ำในถ้วยขาวเกิดริ้วคลื่นน้อยๆ
เพียงไม่นานก็ปรากฏภาพในจวนชุนถิง รวมไปถึงเสียงบทสนทนาระหว่างหลิวจื้อเม่ากับสตรีแต่งงานแล้ว
คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะยื่นมือออกมา ใช้ฝ่ามือปิดปากถ้วย กระเทือนให้ริ้วน้ำแตกกระจาย ถ้วยขาวที่มีเสียงน้ำสะท้อนก้องกลับคืนสู่ความนิ่งสงบอีกครั้ง
มืออีกข้างหนึ่งคือมือข้างที่กุมกระบี่เจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนในคืนนั้น ต่อให้หลังจบเรื่องเฉินผิงอันจะทายาที่หลอมขึ้นด้วยเวทลับของสกุลลู่ในแผ่นดินกลางซึ่งสามารถทำให้เนื้องอกจากกระดูกขาวที่ลู่ไถมอบให้ไปแล้ว แต่สภาพของมันก็ยังคงเหวอะหวะน่าสยดสยองอยู่ดี
หลิวจื้อเม่ากล่าวด้วยสีหน้าเลื่อมใสจากใจจริง “ท่านเฉินช่างเป็นวิญญูชนคนจริง หลิวจื้อเม่าใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชนเสียแล้ว”
เฉินผิงอันหดมือกลับมา สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “ข้ารู้ว่านางเป็นคนอย่างไร คิดอย่างไร คำพูดที่นางเอ่ยออกมาอาจจะแย่ยิ่งกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้ด้วยซ้ำ แต่นาทีที่ข้าย้ายออกมาจากจวนชุนถิง ไม่ว่านางจะมีคำพูดหรือการกระทำอะไร ก็ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าอีกแล้ว”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้าแสดงให้รู้ว่าเข้าใจ
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ปีนั้นตอนที่อยู่ตรอกหนีผิง เพื่อช่วยกู้ช่านบุคคลที่ตัวเองเลือกรั้งโชควาสนาจากหนีชิวน้อยเอาไว้ เจ้าไม่เพียงแต่ใช้เวทลับปลุกปั่นไช่จินเจี่ยนแห่งภูเขาเมฆาเรือง ยิ่งไปกว่านั้นยังใช้วิชานอกรีตที่อำมหิตแอบเขียนสี่คำว่าจิตหวังความตายไว้ในหัวใจข้า บงการให้ข้าไปลอบฆ่าไช่จินเจี่ยนและฝูหนันหัว ใช้ไข่กระทบหิน เพื่อที่ข้าจะได้ตายไปอย่างสิ้นซาก”
หลิวจื้อเม่ากล่าว “ข้ายอมรับว่ามีเรื่องนี้จริง จะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด ท่านเฉินมีอาวุธกึ่งเซียนอยู่ชิ้นหนึ่งไม่ใช่หรือ? สามารถแทงมาที่หัวใจหรือศีรษะของข้าได้ ข้าจะไม่ตอบโต้แน่นอน แล้วนับจากนี้บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้ากับข้าก็ถือว่าหายกัน! หลังจากนั้นหากท่านเฉินยังไม่ยอมเลิกรา ก็คงต้องลองดูกันสักตั้ง”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ข้าได้เรียนรู้วิถีแห่งการกระทำของทะเลสาบซูเจี่ยนพวกเจ้าอีกแล้ว ดูร้อยรอบก็ไม่เบื่อจริงๆ ทุกวันล้วนมีเรื่องแปลกๆ ใหม่ๆ มาให้เห็นได้เสมอ”
หลิวจื้อเม่าตีหน้าเคร่ง ไม่พูดไม่จา
อันที่จริงในทะเลสาบซูเจี่ยน นอกจากกู้ช่านกับสตรีแต่งงานแล้ว ภาพความทรงจำที่หลิวจื้อเม่ามอบให้แก่ผู้คนก็คือผู้เฒ่าพูดน้อยเงียบขรึม ราวกับว่าคำพูดแต่ละคำมีค่าดุจทองคำ มีเพียงใบหน้าแต้มยิ้มที่มักจะมอบให้คนอื่นอยู่เป็นนิตย์เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างเถียนหูจวินและ ‘ขุนนางสำคัญ’ ใต้อาณัติอย่างอวี๋กุ้ยแล้ว การวางท่าภูมิฐานและการลงมืออย่างอำมหิตของหลิวจื้อเม่าช่างมีพลังสยบกำราบที่รุนแรงอย่างยิ่ง
คนที่ไม่ชอบพูดจา หากไม่มีนิสัยซื่อๆ พูดไม่เก่ง ก็ต้องเป็นคนประเภทที่มีอุบายมากมายดุจขนวัว
ดังนั้นเจ้าเกาะผู้เฒ่าของเกาะเทียนหมู่ที่เกลียดขี้หน้าหลิวจื้อเม่ามากที่สุด คนน่าสงสารที่ในอดีตเคยเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตแปดเพียงหนึ่งเดียวของทะเลสาบซูเจี่ยน ทว่าตอนนี้กลับจิตดับกายสลายไปแล้วผู้นั้นถึงได้มอบคำวิจารณ์ที่เจ็บแสบให้แก่หลิวจื้อเม่าว่า ‘เจินจวินตัวปลอม ใบหน้ายิ้มเหมือนพระพุทธรูป แต่ในชายแขนเสื้อซ่อนมีดอสูร’
การกระทำต่อมาของเฉินผิงอันถึงกับทำให้หนังตาของหลิวจื้อเม่ากระตุกเบาๆ เขายื่นมือข้างที่พันผ้าพันแผลอยู่ในชายแขนเสื้อออกมาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ รินเหล้าวิหคครวญใส่ลงในชามสีขาวที่อยู่กลางโต๊ะไปเกินครึ่งถ้วย แล้วจึงผลักให้หลิวจื้อเม่า ก่อนที่เฉินผิงอันจะวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงข้างโต๊ะ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แทงเจ้าหนึ่งกระบี่แล้วอย่างไร ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถทำร้ายเจินจวินได้หรือไม่ ต่อให้ทำให้เจ้าบาดเจ็บได้ กระต่ายเจ้าเล่ห์ก็ยังมีโพรงสามโพรง ข้ารู้ว่าวิชาตัวตายตัวแทนของตระกูลเซียนบนภูเขาไม่ได้มีแค่ชนิดเดียวเท่านั้น”
หลิวจื้อเม่ารับถ้วยขาวมาดื่มเหล้าในถ้วยอย่างเปิดเผย “ท่านเฉินมีสติปัญญาเลิศล้ำ เปี่ยมไปด้วยโชควาสนา ปีนั้นเป็นข้าหลิวจื้อเม่าที่ตาถั่ว ข้ายอมรับการลงโทษ ไม่สู้ท่านเฉินลองเสนอเงื่อนไขมา”
เฉินผิงอันกล่าว “หากข้าพูดว่าไม่ถือสาหาความเรื่องในอดีต เจ้าไม่เชื่อ ตัวข้าเองก็ยังไม่เชื่อ”
หลิวจื้อเม่าหัวเราะเสียงดังกังวาน ผลักถ้วยขาวออกไป “สำหรับคำพูดเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ ข้าคงต้องขอเหล้าท่านเฉินดื่มเพิ่มอีกสักถ้วยแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันรินเหล้าให้หลิวจื้อเม่าตามที่เขาต้องการจริงๆ ประมาณครึ่งถ้วยพอดี
หลิวจื้อเม่ากระดกดื่มจนหมดรวดเดียว
หากผู้ฝึกตนเกาะชิงเสียมาเห็นภาพนี้เข้า คงคิดแค่ว่าเจ้าบ้านและแขกต่างก็ชื่นบาน เมื่อพบหน้ากันก็มีแต่รอยยิ้ม แค่ดื่มเหล้าก็สลายความแค้นที่มีต่อกันไปได้
เฉินผิงอันเอ่ยขึ้น “ก่อนจะเสนอเงื่อนไข ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะถามเจินจวิน”
หลิวจื้อเม่าพยักหน้า “หากเป็นเรื่องที่รู้ข้าต้องบอกจนหมดแน่นอน”
เฉินผิงอันถาม “รากฐานในการฝึกจิตใจของเจินจวินคือเพื่อสิ่งใด”
หลิวจื้อเม่าตอบอย่างไม่ลังเล “นักพรตฝึกตน แน่นอนว่าย่อมต้องแสวงหาความจริง”
เฉินผิงอันถามอีก “ช่วยบอกให้ละเอียดอีกหน่อยได้ไหม? พูดในเรื่องประสบการณ์ของตัวเอง?”
หลิวจื้อเม่าลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังเปิดปากเอ่ยว่า “เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ขมวดรวมกันดั่งปมเชือกที่ยุ่งเหยิง ถ้าเช่นนั้นก็ต้องค่อยๆ สาวมันออกมา แบ่งแยกประเภท…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลิวจื้อเม่าก็ยื่นนิ้วชี้ไปยังชั้นวางที่ตั้งเรียงรายอยู่หลังโต๊ะหนังสือ “ก็เหมือนที่ท่านเฉินจัดวางเอกสารลับที่แตกต่างกันพวกนี้”
หลิวจื้อเม่าเอ่ยต่ออีกว่า “หลังจากนั้นก็เลือกผู้ฝึกตนที่เดินอยู่บนเส้นทางนอกรีตสายนี้ของข้า ยังต้องมีการเลือกเก็บไว้หรือละทิ้งไป แต่ละคนต่างก็มีทางสายเล็กให้เดิน บางส่วนที่หดเล็กจนมีขนาดเท่าเมล็ดงาก็เอาวางไว้ด้านข้าง บางส่วนที่ขยายใหญ่ดุจขุนเขาก็สร้างความมั่นคงให้อย่างต่อเนื่อง นี่ล้วนเป็นวิธีของการฝึกตนทั้งสิ้น ส่วนข้อที่ว่ารวบรวบเมล็ดงาได้กี่เมล็ด สะสมกองทับกันเป็นภูเขาได้กี่ลูก ก็ต้องดูที่คุณสมบัติและพรสวรรค์ในการฝึกตนของแต่ละคนแล้ว ระหว่างนี้มีด่านที่สำคัญมากมาย มีอันตรายหลายอย่าง รับมือกับเมล็ดงาเล็กๆ พวกนั้นก็อย่างเช่นว่าสามารถอนุมานวิชาบั่นสามศพที่สืบทอดมาจากบรรพกาล วิธีหลอมโอสถทองภายในขึ้นมาได้ ส่วนข้อที่ว่าจะทำให้กลายเป็นภูเขาอย่างไร ก็ยังมีวิถีของการกินแสงพร่างพราวดื่มน้ำค้าง ใช้ยาภายนอก ระหว่างนี้การฝึกตนจะช้าหรือเร็ว รวมไปถึงคอขวดจะสูงหรือต่ำก็ต้องดูที่เคล็ดวิชาการฝึกตนที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของแต่ละฝ่ายว่ามีระดับขั้นแค่ไหน”
หลิวจื้อเม่าหยุดพูดแต่เพียงเท่านี้ “คงพูดอย่างละเอียดได้แค่นี้ นี่เกี่ยวพันกับรากฐานของมหามรรคา หากยังพูดต่อ นั่นต่างหากถึงจะเป็นจิตหวังความตายที่แท้จริง ไม่สู้ให้ท่านเฉินแทงข้าด้วยกระบี่หลายๆ ครั้งยังดีเสียกว่า”
หลิวจื้อเม่าถาม “ข้ารู้ว่าท่านเฉินดีดลูกคิดไว้ในใจตัวเองเรียบร้อยแล้ว ไม่สู้พูดมาให้ชัดเจนไปเลย?”
เฉินผิงอันยิ้ม “ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังมีคำถามอีก หลิวเหล่าเฉิงเป็นนกขมิ้นที่จับจ้องอยู่ข้างหลัง ทำให้บารมีอำนาจที่เกาะชิงเสียสร้างขึ้นมาหลายร้อยปีในทะเลสาบซูเจี่ยน หรือแม้กระทั่งหนีชิวน้อยก็ล้วนดิ่งลงก้นทะเลสาบภายในค่ำคืนเดียว ถ้าอย่างนั้นเจินจวินจะยังเป็นเจ้าแห่งยุทธภพได้อีกหรือไม่? เจินจวินจะคายเนื้อชิ้นโตที่กินเข้าไปแล้วออกมา ยกสองมือประคองส่งให้หลิวเหล่าเฉิง นับจากนี้ก็ปิดเกาะและสำนักไปนานหลายสิบปี เป็นอ๋องต่างแซ่ของทะเลสาบซูเจี่ยนที่แบ่งแยกดินแดนตั้งตนเป็นอิสระ หรือคิดว่าจะลองพยายามสู้ดูสักตั้ง? ในเมื่อหลิวเหล่าเฉิงเป็นนกขมิ้นที่รออยู่ด้านหลัง แล้วเจินจวินมีหนังกะติ๊กของต้าหลีรออยู่ด้านหลังยิ่งกว่าหรือไม่?”
หลิวจื้อเม่าไม่ได้ตอบคำถามโดยตรง เขาเพียงแค่เอ่ยอย่างจนใจคล้ายปลงอนิจจังและคล้ายน้อยเนื้อต่ำใจ “กลัวก็แต่ว่าตอนนี้ต้าหลีได้หันไปสนับสนุนหลิวเหล่าเฉิงอย่างเงียบๆ แล้ว ไม่มีที่พึ่ง เกาะชิงเสียก็แขนเล็กขาลีบ ไม่อาจสร้างคลื่นมรสุมอะไรขึ้นมาได้ ตอนนี้ในสายตาของหลิวเหล่าเฉิง ข้าหลิวจื้อเม่าไม่ได้ดีไปกว่าพวกแม่นางเปิดสาบเสื้อบนเกาะสักเท่าไหร่ อย่าว่าแต่ปลดเปลื้องอาภรณ์ออกเลย ต่อให้ต้องถลกหนังดึงเส้นเอ็นตัวเอง จะยากตรงไหน?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้ยินว่าเจินจวินมีฝีมือชงชาได้อร่อย แล้วก็ดื่มสุราราคาถูกด้วย แต่ข้ากลับทำไม่ได้ ไม่ว่าจะดื่มชาอย่างไรก็ดื่มไม่ชินเสียที รู้แค่คำกล่าวในตำราเท่านั้น”
หลิวจื้อเม่ากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “คำสั่งสอนของท่านเฉิน หลิวจื้อเม่าจดจำไว้ขึ้นใจแล้ว”
เฉินผิงอันหุบยิ้ม “บุญคุณความแค้นระหว่างเจ้าและข้า คิดจะให้จบสิ้นกันไป ย่อมได้ แต่เจ้าต้องมอบคนคนหนึ่งให้ข้า”
หลิวจื้อเม่าส่ายหน้าปฏิเสธโดยตรง “เรื่องนี้ไม่ได้หรอก ท่านเฉินเลิกคิดได้เลย”
—–