จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยประโยคหนึ่งที่ทำลายบรรยากาศได้ดียิ่งกว่าการเอ่ยปฏิเสธนางเสียอีก “ทำไมถึงไม่ไปหาหลิวจื้อเม่าหรือหลิวเหล่าเฉิง?”
สีหน้าของหลิวจ้งรุ่นหม่นหมองลงไปมาก แต่จากนั้นความฮึกเหิมก็กลับคืนมาสู่สายตาของนางอีกครั้ง นางหัวเราะหยันกล่าวว่า “ไปหาหลิวจื้อเม่า รอให้เขาเล่นจนเบื่อแล้วย่อมต้องเปลี่ยนมือขายข้าต่อให้ราชวงศ์จูอิ๋งแน่นอน ส่วนบรรพบุรุษหลิวของเกาะกงหลิ่วผู้นั้น ข้าคาดว่าแม้แต่หน้าของเขา ข้าก็คงไม่ได้พบกระมัง อีกทั้งต่อให้หลิวเหล่าเฉิงยินดีพบข้า ขอแค่ข้ากล้าเปิดปากเอ่ยเช่นนี้ เขาคงตบข้าให้กลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่งด้วยฝ่ามือเดียวเลยกระมัง”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเกาะหลิวเคยมีบุรุษที่ชอบหรือไม่?”
หลิวจ้งรุ่นส่ายหน้า “ไม่เคยมี! หากเคยมี ต่อให้ข้าหลิวจ้งรุ่นกายดับมรรคาสลาย ต่อให้นับจากนี้เกาะจูไชจะต้องล่มสลายเหมือนแคว้นบ้านเกิด ข้าก็ไม่มีทางเอ่ยประโยคว่าจะเสนอตัวร่วมเรียงเคียงหมอนเช่นนี้!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “น่าจะไม่เคยมีจริงๆ ไม่อย่างนั้นหากเจ้าเกาะหลิวมีคนที่ชอบจริงๆ จะไม่มีทางพูดจาน่าเกลียดแบบนี้กับข้าเด็ดขาด”
หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างมีโทสะ “เฉินผิงอัน เจ้าอย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก! บุรุษฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ แม้ข้าหลิวจ้งรุ่นจะเป็นสตรี แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องทนให้เจ้าพูดจาสั่งสอนหรือหมิ่นเกียรติเช่นนี้!”
เฉินผิงอันดื่มชาหนึ่งอึก รู้สึกระอาใจเล็กน้อย “ไหนบอกว่าต่อให้ทำการค้าไม่สำเร็จ มิตรภาพก็ยังคงอยู่อย่างไรล่ะ?”
หลิวจ้งรุ่นจึงคลายโทสะได้เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรก็รักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่ จึงสบถด่าอย่างขุ่นเคือง “ผู้ชายไม่มีดีสักคน หากไม่มีความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง ปรารถนาอยากจะให้สตรีทุกคนกลายเป็นของเล่นบนเตียงของพวกเขา ก็เป็นประเภททำตัวเสแสร้งอย่างเจ้า น่ารังเกียจนัก!”
เฉินผิงอันยื่นถ้วยชาที่ว่างเปล่าส่งมาให้ เป็นการบอกให้รู้ว่าขอเติมอีกถ้วย หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มีมือไม่มีเท้ารินเองหรือไง?”
เฉินผิงอันจึงได้แต่รินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ไม่ลืมหยิบถ้วยใบใหม่มาให้นาง รินน้ำชาใส่แล้วยื่นส่งไปให้เบาๆ หลิวจ้งรุ่นรับถ้วยกระเบื้องมาแล้วกระดกดื่มรวดเดียวหมดราวกับเป็นสุรา
ขอแค่อีกฝ่ายใจเย็น ต่อให้อีกฝ่ายจะมีโทสะอัดแน่นเต็มอกแค่ไหน อารมณ์ก็ไม่มีทางปะทุโชนมากไปกว่าเดิม
ในขณะที่หลิวจ้งรุ่นรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วยแล้วค่อยๆ จิบ เฉินผิงอันถึงได้เปิดปากถาม “เจ้าเกาะหลิวรังเกียจหย่วนจื้อขนาดนี้ เพียงแค่เพราะในอดีตเขามีสถานะเป็นคนแบกอาหารอย่างนั้นหรือ? ข้าคิดว่าไม่น่าจะใช่ เจ้าเกาะหลิวดูไม่เหมือนว่าจะเป็นคนเช่นนั้น”
หลิวจ้งรุ่นเอ่ยเนิบชา “เขาอัปลักษณ์ไงล่ะ แค่เห็นหน้าเขา ข้าก็รังเกียจแล้ว ปีนั้นเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยิ่งเป็นเช่นเดียวกัน ดวงตาสุนัขคู่นั้นของเขาชอบมองหน้าอกและก้นของสตรี ยิ่งใหญ่อวบอิ่มเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งชอบมากเท่านั้น! ยิ่งสถานะของสตรีสูงศักดิ์เท่าไหร่ เจ้าคนแบกอาหารผู้นี้ก็ยิ่งน้ำลายสอมากเท่านั้น!”
เฉินผิงอันคิดว่าตนไม่พูดอะไรเลยจะดีกว่า
จะไม่มีทางวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เด็ดขาด
และต่อให้เป็นหลังจากนี้ก็ไม่คิดจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
หลิวจ้งรุ่นวางถ้วยชาลง พูดเสียงหยัน “ไม่ใช่ว่าบุรุษทำเพื่อสตรีอย่างพวกเรามากมาย แล้วสตรีจะต้องชอบเขาเสมอไป ใต้หล้าไม่มีเหตุผลเช่นนี้!”
แต่แล้วหลิวจ้งรุ่นก็ถอนหายใจ “แต่เขาทำเพื่อข้ามากมายขนาดนั้น ข้าย่อมรู้ชัดเจนอยู่แล้ว ชัดเจนอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าทำไมข้าต้องทนกับเขา ยอมให้เขาแขวนป้ายคำว่าจวนจูเสียนนั่นมานานหลายปีขนาดนี้? เพียงแต่ว่าบางครั้งที่คิดถึงความรู้สึกเหล่านี้ของเขา ก็อดที่จะเกิดความซาบซึ้งซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความรักชายหญิงไม่ได้…แต่พอคิดมากหน่อย แล้วไพล่นึกไปถึงหน้าตาที่มีฟันเหลืองเต็มปากของเขา ข้าก็กินข้าวไม่ลงจริงๆ”
เฉินผิงอันปิดปากเงียบ
หลิวจ้งรุ่นกลับไม่คิดจะปล่อยนักบัญชีหนุ่มผู้นี้ไปง่ายๆ นางชำเลืองตามองใบหน้าผอมตอบที่ซีดขาวของเขา “หากท่านเฉินก็หน้าตาเหมือนแตงเบี้ยวพุทราแตกอย่างเขา เจ้าก็คอยดูเถอะว่าข้าจะยินดีปรากฎตัวที่ท่าเรือหลายครั้งขนาดนั้นหรือไม่ อย่างมากสุดก็มาพบเจ้าแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น เจ้าคิดว่าสตรีในหมู่ชาวบ้านและผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาชอบมองคนอัปลักษณ์ ไม่ชอบมองบุรุษหน้าตาหล่อเหลางั้นหรือ? นี่ก็คือหลักการเดียวกับที่บุรุษอย่างพวกเจ้าห้ามสายตาไม่ได้ ชอบมองสตรีงดงามมองโฉมสะคราญนั่นแหละ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือต้องดูว่าบุรุษสามารถห้ามความคิดและของที่อยู่ในกางเกงตัวเองได้หรือไม่”
หลิวจ้งรุ่นยกถ้วยชาขึ้นจิบเบาๆ จากนั้นยิ้มตาหยีถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านเฉินห้ามของในกางเกงและห้ามความคิดของตัวเองได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบกลับด้วยสายตาใสกระจ่าง “ไม่ต้องห้าม”
หลิวจ้งรุ่นเห็นว่าเขาไม่เหมือนเสแสร้งแกล้งทำ อีกทั้งยังเข้าใจความหมายในคำพูดของเขาก็อดทดท้อและอัดอั้นตันใจนิดๆ ไม่ได้ “เจ้าเป็นรูปปั้นพระโพธิสัตว์จริงๆ? หรือเพราะข้าหลิวจ้งรุ่นคือคนแก่ไข่มุกเหลืองในสายตาเจ้าแล้ว?”
เฉินผิงอันวางถ้วยชาลง กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเกาะหลิวเปิดราคามาแล้ว ข้าก็สามารถลองติดต่อกับทางต้าหลีดูได้”
หลิวจ้งรุ่นกดเสียงลงต่ำ “เจ้าเกาะลี่ซู่?”
เฉินผิงอันไม่ได้แสร้งอมพะนำ พยักหน้ารับเบาๆ
ทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นคนที่สายตาแจ่มชัดของทะเลสาบซูเจี่ยน
หลิวจ้งรุ่นเอ่ยเตือน “บอกไว้ก่อนว่า ท่านเฉินอย่าได้ปล่อยไก่เด็ดขาดเชียว ไม่อย่างนั้นถึงเวลานั้นอาจทำให้คนของเกาะจูไชพวกเราต้องตายได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าจะระวัง ต่อให้ไม่สามารถคลี่คลายปัญหาที่เป็นดั่งไฟลามขนคิ้วให้เจ้าเกาะหลิวได้ แต่ก็ไม่มีทางเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะให้เกาะจูไชเด็ดขาด”
หลิวจ้งรุ่นกล่าวอย่างมีเลศนัย “ไม่ทราบว่าท่านเฉินไปเอาความมั่นใจจากไหนมาพูดประโยคนี้?”
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อเทียบกับเรื่องบางเรื่องที่ข้ากำลังทำอยู่ตอนนี้ เกาะจูไชจะอยู่หรือไปก็เป็นแค่ของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เป็นแค่ส่วนเพิ่มเติมที่ทั้งสามฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์เท่านั้น”
สีหน้าของหลิวจ้งรุ่นแปรเปลี่ยนไม่หยุดนิ่ง
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “ไม่เชื่อ? ถึงอย่างไรเกาะจูไชก็กำลังเดิมพัน ในเมื่อเดิมพันแล้วก็ไม่มีทางถอยเหลืออยู่มากนัก ไม่เชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ รักษาม้าตายดั่งม้าเป็น ถ้าอย่างนั้นก็ลองเชื่อหมอที่ฝีมือรักษาห่วยแตกอย่างข้าดู ไม่แน่ว่าอาจมีเรื่องไม่คาดฝันที่ทำให้ยินดีเกิดขึ้น ดีกว่าที่ข้าเป็นพ่อสื่ออยู่มาก”
หลิวจ้งรุ่นพลันเผยสีหน้ากระเง้ากระงอดของเด็กสาวซึ่งราวกับว่าพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก “หากตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจ คิดว่าข้าแค่มานั่งดื่มชากับท่านเฉินเฉยๆ ยังทันหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ยังทัน ข้าไม่ใช่เจ้าเกาะหลิว ข้ายังคงรักษากฎข้อที่ว่าการค้าไม่สำเร็จมิตรภาพยังคงอยู่”
หลิวจ้งรุ่นกัดฟันกรอดๆ ด้วยความโมโห คนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ร้อยพิษมิอาจกล้ำกราย เกลือน้ำมันสาดไม่เข้าจริงๆ!
หลิวจ้งรุ่นยกมือทั้งสองข้างขึ้น ข้อศอกของแขนข้างหนึ่งบดเบียดหน้าอกให้เกิดทัศนียภาพยิ่งใหญ่ตระการตาคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา นางคลี่ยิ้มหวาดหยดย้อยให้เฉินผิงอัน ปรบมือหนึ่งครั้ง แล้วบอกให้เฉินผิงอันรอสักครู่
ไม่นานก็มีหมัวมัวแก่หง่อมคนหนึ่งถือขวดกระเบื้องใบหนึ่งเดินเข้ามาในเรือน นางส่งมอบขวดกระเบื้องให้กับหลิวจ้งรุ่นอย่างนอบน้อม แล้วจึงเดินออกจากเรือนไปเงียบๆ อีกครั้ง
เฉินผิงอันรู้ว่าหมัวมัวที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำผู้นี้ ต่อให้บนร่างจะแผ่ปราณแห่งความเสื่อมโทรมอย่างที่ไม่อาจปกปิดได้มิด แต่กลับเป็นบุคคลอันเป็นรากฐานที่ตั้งตระหง่านไม่ล้มลงของเกาะจูไช
ไม่แน่ว่าปีนั้นการที่หลิวจ้งรุ่นสามารถรอดพ้นหายนะจากเงื้อมมือของเซียนดินราชวงศ์จูอิ๋งที่เสียสติอยู่ในวังหลวงบ้านเกิดของนางมาได้ อาจต้องยกคุณความชอบให้กับหมัวมัวท่านนี้
หลิวจ้งรุ่นโยนขวดยาให้เฉินผิงอัน “ท่านเฉินเก็บไว้ให้ดีล่ะ นี่คือหนึ่งในยาที่ดีที่สุดซึ่งเก็บรักษาไว้อย่างเป็นความลับของตำหนักวารีในปีนั้น สามารถชดเชยบำรุงปราณวิญญาณในจวนน้ำและซ่อมแซมวัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุน้ำได้ ขอแค่โยนยาขวดนี้ไปในทะเลสาบซูเจี่ยนก็สามารถก่อให้เกิดคลื่นโถมตัวสูงร้อยจั้งได้ ไม่ว่าเซียนดินโอสถทองท่านใดก็ล้วนน้ำลายสออยากครอบครอง นี่ก็คือค่ามัดจำ คือความจริงใจที่เกาะจูไชควรแสดงให้เห็น หลังจากนี้ก็ต้องดูว่าท่านเฉินมีความสามารถเทียมฟ้าพอจะเปลี่ยนของเน่าเปื่อยให้กลายเป็นของดีได้หรือไม่ เมื่อทำสำเร็จ สี่คำก่อนหน้านั้นจะยังคงใช้ได้ผลตราบเท่าที่ข้ายังไม่ไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ในอนาคตเมื่อย้ายไปอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียนจะไม่ได้ผล เลยเวลาก็ไม่รอแล้ว!”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดประโยคหลัง เขาเปิดขวดกระเบื้องออกตรงนั้น เทยาสีเขียวมรกตเม็ดหนึ่งออกมา หลับตาอยู่ชั่วครู่ พอลืมตาขึ้นก็ส่งยิ้มบางๆ ให้หลิวจ้งรุ่นแล้วโยนเข้าปากโดยตรง
หลิวจ้งรุ่นถามอย่างประหลาดใจ “ยาขวดนี้ย่อมไม่เคยผ่านมือใครมาก่อน แต่เหตุใดท่านเฉินถึงตัดสินใจรวดเร็วขนาดนี้?”
เฉินผิงอันไม่มีทางบอกคำตอบแก่นางอยู่แล้ว นี่เป็นเรื่องวงในที่เกี่ยวพันกับเด็กๆ ชะตาน้ำชุดเขียวที่พักพิงอยู่ในจวนน้ำของตน เพียงตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ในเมื่อข้ามาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เดิมพันมากก็ได้เงินเดิมพันก้อนใหญ่”
หลิวจ้งรุ่นเลิกคิ้วสูง แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก
เฉินผิงอันถาม “ข้าอยากถามถึงประวัติศาสตร์ของแคว้นบ้านเกิดเจ้าเกาะหลิวกับราชวงศ์จูอิ๋งอย่างละเอียด อาจต้องรบกวนเวลาเจ้าเกาะหลิวไม่น้อย ได้หรือไม่?”
หลิวจ้งรุ่นรู้สึกสงสัย “เพื่ออะไร? เกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าวางแผนจะทำหลังจากนี้หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แทบไม่เกี่ยวข้องกันเลย เพียงแต่ข้าอยากรู้ถึงความคิดของคนในสถานการณ์ตอนนั้นที่มีต่อ…กองกำลังใหญ่บางแห่ง ข้าเคยแต่รับฟัง รับชมภาพเหตุการณ์และการถามตอบในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้ จึงสัมผัสได้ไม่ลึกซึ้งนัก ตอนนี้ก็เลยอยากรู้ให้มากขึ้นอีกหน่อย”
หลิวจ้งรุ่นลังเลเล็กน้อย ก่อนพยักหน้ารับ “ได้สิ แม้ว่าเอาเรื่องเก่ามาพูดใหม่จะทำให้ข้าไม่สบายใจ แต่ขนาดเรื่องสกปรกพรรค์นั้นยังเล่าให้ท่านเฉินฟังแล้ว เรื่องราวอื่นๆ ในราชสำนักและสนามรบจึงไม่ถือเป็นอะไรได้เลย”
เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ
หลิวจ้งรุ่นตวัดตามองค้อนใส่เขาอย่างทรงเสน่ห์ไปหนึ่งคำรบ
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
หลังจากนั้นสองชั่วยามเต็ม หลิวจ้งรุ่นก็เล่าสถานการณ์ใหญ่ๆ ของบ้านเกิด นับตั้งแต่การก่อตั้งแคว้นอย่างรุ่งโรจน์ จนกระทั่งค่อยๆ ตกต่ำ แล้วถูกกอบกู้คืนมาสู่ความเฟื่องฟูอีกครั้ง ประเพณีเสียๆ ที่ทำกันมานานจนแก้ไขยาก การพยายามรักษาประคับประคอง สุดท้ายก็ล่มสลาย
หลิวจ้งรุ่นไม่ใช่องค์หญิงใหญ่ท่านนั้นมานานแล้ว ตอนนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน นางเล่าอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ เฉินผิงอันก็รับฟังอย่างตั้งใจแล้วจดจำเอาไว้เงียบๆ ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย บางครั้งได้ยินมาถึงจุดสำคัญก็ถึงกับเอากระดาษและพู่กันออกมาจากวัตถุจื่อชื่อแล้วเขียนบันทึกลงไป หากหลิวจ้งรุ่นเล่าถึงส่วนที่ลี้ลับมหัศจรรย์หรือจุดที่ฟังไม่เข้าใจ เฉินผิงอันก็จะสอบถาม
การกระทำเช่นนี้ทำให้หลิวจ้งรุ่นอึดอัด ในใจไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เหตุใดตนถึงได้คล้ายกลายมาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนที่ช่วยถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจให้กับลูกศิษย์ที่ตั้งใจเรียนเลยเล่า?
นี่เป็นความรู้สึกที่นางเพิ่งประสบพบเจอเป็นครั้งแรกในชีวิต
ในขณะที่หลิวจ้งรุ่นรู้สึกอับจนคำพูดนั้นเอง
เฉินผิงอันกลับบอกว่าคราวหน้าที่มาเยือนหอแสงอัญมณีจะยังสอบถามเรื่องของการขนส่งเสบียงทางน้ำและเสมียนชั้นผู้น้อยจากเจ้าเกาะหลิวอย่างละเอียดอีกที
หลิวจ้งรุ่นฉิวจึงพูดขึ้นอย่างขันๆ ปนฉิว “เฉินผิงอัน เจ้าทำตัวน่ารำคาญอะไรอย่างนี้?! อยากปีนขึ้นเตียงของข้า เจ้าก็แค่พูดมาตรงๆ ไม่ได้หรือ จะต้องอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้ทำไม? สนุกนักหรือ? ทำไม อยากจะได้ทั้งกายและใจเลยรึ ดีนักนะ เจ้าเฉินผิงอันกะเพาะใหญ่ยิ่งกว่าใครเลยนี่! เจ้าเฒ่าบ้าตัณหาสองคนอย่างเซียนดินจูอิ๋งและคนแบกอาหารรวมกันยังสู้เจ้าคนเดียวไม่ได้เลย!”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าด้วยใบหน้าที่ไม่เปลี่ยนสี “เจ้าเกาะหลิว เมื่อครู่นี้ตอนที่เจ้าเล่าถึงสถานการณ์ใหญ่ของแผ่นดิน มีเสน่ห์อย่างมาก เหมือนกับจักรพรรดิแคว้นล่มสลายที่ ‘ความผิดมิได้อยู่ที่ตัวกษัตริย์’ ท่านหนึ่งกำลังย้อนเล่นหมากล้อมกระดานเดิมกับข้า คอยให้คำชี้แนะข้า ทำให้ข้านับถือยิ่งนัก แต่ตอนนี้กลับห่างชั้นไกลเหลือเกิน ดังนั้นคราวหน้าอย่าพูดจาประหลาดแบบนี้อีก ได้หรือไม่?”
หลิวจ้งรุ่นคล้ายจะเสียใจเล็กน้อย นางใช้มือข้างหนึ่งกำคอเสื้อ กัดริมฝีปาก
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน เตรียมจะลุกขึ้นยืนเพื่อบอกลา
หลิวจ้งรุ่นพลันเอ่ยเรียกเสียงอ่อนหวาน “เฉินผิงอัน”
เฉินผิงอันได้แต่นั่งลงที่เดิมด้วยความงงงัน “หืม?”
แล้วหลิวจ้งรุ่นก็กระชากคอเสื้อตัวเองออกด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ไม่เสียแรงที่เฉินผิงอันคือผู้อาวุโสในยุทธภพที่ผ่านการเข่นฆ่ามานับครั้งไม่ถ้วน เขาเองก็หลับตาลงแล้วลุกพรวดขึ้นยืนด้วยความเร็วปานสายฟ้าแลบเช่นกัน “คราวหน้าห้ามทำแบบนี้อีก! ไม่อย่างนั้นการค้าของพวกเราถือเป็นโมฆะ!”
หลิวจ้งรุ่นหัวเราะคล้ายกิ่งบุปผาที่ส่ายไหว มองแผ่นหลังของคนหนุ่มที่รีบร้อนจากไปก็เอ่ยกลั้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ไม่สู้เจ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้เจ้าคนที่อยู่จวนจูเสียนฟัง? ดูสิว่าเขาจะอิจฉาเจ้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันหยุดเดิน พูดเบาๆ ทั้งที่ยังหันหลังให้นาง “หลิวจ้งรุ่น แบบนี้ไม่ดีเลย”
หลิวจ้งรุ่นหยุดเสียงหัวเราะ แค่นเสียงดังหึ “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่ง!”
—–