หลังจากจ่ายเงินเทพเซียนเรียบร้อยแล้ว หม่าหย่วนจื้อก็พาเฉินผิงอันมาหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำของจวนจูเสียนบ่อนั้น แล้วบอกให้เฉินผิงอันวางหอเรือนหลังนั้นลงบนพื้น
หม่าหย่วนจื้อหยิบธงเรียกวิญญาณออกมา ก้าวเท้าว่องไวราวพายุลมกรด ปากท่องคาถาโคจรปราณวิญญาณ ควันสีเขียวเป็นเส้นๆ ก็พากันล่องลอยออกมาจากธงเรียกวิญญาณ พอร่วงลงบนพื้นก็กลายมาเป็นวัตถุหยิน ในบ่อมีมือสีซีดขาวค่อยๆ คืบคลานขึ้นมาที่ปากบ่อ ก่อนจะค่อยๆ คลานพ้นออกมา เห็นได้ชัดว่าบ่อน้ำแห่งนี้สามารถสยบวิญญาณหยินและภูตผีได้อย่างทรงพลัง ต่อให้ออกมาจากบ่อน้ำที่เป็นดั่งคุกคุมขังแห่งนี้แล้วก็ยังสติพร่าเลือน แม้แต่จะยืนก็ยังยากลำบาก หม่าหย่วนจื้อไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาออกคำสั่งแก่เหล่าภูตผีที่ไม่ว่าจะเดินก็ดีหรือจะคลานก็ช่าง ให้พวกมันพากันย่อร่างจนมีขนาดเล็กเท่าเมล็ดงาแล้วผลุบหายเข้าไปในตำหนักพญายมราชหลังนั้น
เฉินผิงอันยืนมองทุกอย่างนี้อยู่ด้านข้าง อันที่จริงตอนอยู่กับอวี๋กุ้ยและผู้ฝึกตนสำนักหยินหยาง เขาก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้มาสองรอบแล้ว
มองดูเหมือนเป็นชีวิตรันทดจากการถูกลมและฝนอันโหดร้าย แต่แท้จริงแล้วเป็นความทุกข์ทรมานจากการที่ต้องตากแดดแผดจ้ามากกว่า
ก่อนที่เฉินผิงอันจะไปจากจวนจูเสียน ผู้ฝึกตนผีไม่ได้เดินไปส่ง เขาที่ยืนอยู่ข้างปากบ่อพลันเอ่ยกับเฉินผิงอันด้วยเสียงทุ้มหนักว่า “เจ้าจะลำบากแบบนี้ไปไย? เหนื่อยใจเหนื่อยกาย อีกทั้งยังไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “แพ้ แน่นอนว่าต้องแพ้ แต่ก็ขอให้ตัวเองสบายใจ”
หม่าหย่วนจื้อเอ่ยเย้ยหยัน “แค่เพื่อความสบายใจงั้นหรือ? เงินเทพเซียนที่ควักออกจากกระเป๋าเยอะไปหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันถามกลับ “คนที่ทำให้เจ้าสบายใจคือหลิวจ้งรุ่น เพื่อนางแล้ว เจ้าสามารถแอบไปที่ชายแดนของราชวงศ์จูอิ๋ง และยังมีแคว้นหัวเมืองที่คนผู้นั้นรับตำแหน่งเป็นไท่ซ่างหวง แม้แต่ชีวิตเจ้ายังยอมเอาไปทิ้งได้ ทำไมข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะเสียดายหรือเสียใจภายหลังเลยเล่า?”
หม่าหย่วนจื้ออึ้งตะลึง ไร้คำพูดตอบโต้
แต่แล้วเขาก็พลันยิ้มกล่าวว่า “ไม่เหมือนกัน ข้าทำแบบนี้ก็เพราะหวังให้องค์หญิงใหญ่หันมาชื่นชอบ หวังว่าจะได้ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญตนกับนาง ต่อให้เป็นความสุขแค่ชั่วครั้งชั่วยามก็ได้ ถึงอย่างไรองค์หญิงใหญ่ก็เป็นความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของคนแบกอาหารต่ำต้อยอย่างข้าอยู่แล้ว เจ้าล่ะ ทำแล้วจะได้อะไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เส้นทางต่าง ไม่จำเป็นต้องพูดมาก”
หม่าหย่วนจื้อทอดถอนใจหนึ่งครั้ง “พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากอย่างพวกเราสองคนเสียเปรียบคนอื่นเขาก็ตรงที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ไม่เป็นที่ชื่นชอบของสตรี มีชะตากรรมไม่ต่างกันเลย วันหน้าหากเจ้ามีเวลาว่างก็มานั่งเล่นที่จวนจูเสียนบ่อยๆ เห็นเจ้าแล้ว ข้าก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย”
คราวนี้เป็นเฉินผิงอันที่พูดไม่ออกบ้างแล้ว
เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่เดินออกไปจากจวนจูเสียนที่เจ้าของจวนสายตาไม่ใคร่จะดีสักเท่าไหร่
เขาไม่ได้หน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งตอนนี้ยังดูมอซอ แต่จะตกอยู่ในสภาพเดียวกับหม่าหย่วนจื้อได้อย่างไร?
ต่อให้เขาเฉินผิงอันยอมรับ
พ่อแม่ของเขาก็ไม่มีทางยอมรับแน่นอน
เฉินผิงอันเดินออกมาจากประตูใหญ่ของจวนแล้วก็หลุดหัวเราะ
ตอนนี้หงซูไม่ได้อยู่ในจวนจูเสียนแล้ว แต่ถูกหลิวจื้อเม่าสั่งให้พ่อบ้านรับตัวไปทำหน้าที่เป็นสาวใช้ในจวนเหิงโป ว่ากันว่านางยังมีสถานะเป็นหัวหน้าสาวใช้ที่คอยดูแล้วบ่าวหญิงสิบกว่าคนอีกด้วย
คาดว่าผู้ฝึกตนผีหม่าหย่วนจื้อคิดแล้วก็คงไม่เข้าใจ แต่ย่อมไม่มีทางกล้าปฏิเสธ ไม่ปฏิบัติตามเรื่องเล็กน้อยที่คนสนิทของเจ้าเกาะมอบหมายมาให้อย่างแน่นอน
เฉินผิงอันเคยไปพบหงซูมาครั้งหนึ่ง นั่นเป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ไปเยือนจวนเหิงโป ตอนนั้นหงซูไม่ค่อยร่าเริงนัก เฉินผิงอันรู้ดี สาเหตุต้องเป็นเพราะนางหงซูเป็นคนนอกที่มาจากจวนจูเสียน ก็เหมือนเสมียนผู้น้อยในสถานที่เล็กๆ ไร้ชื่อเสียง แต่จู่ๆ กลับได้เลื่อนขั้นไปทำงานอยู่ในที่ว่าการอันเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองหลวง ประเด็นสำคัญคือนางยังได้เป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ แน่นอนว่าต้องถูกเพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาต่อต้านอย่างรุนแรง
ทว่าพอได้พบกับเฉินผิงอัน หงซูก็ยังดีใจอย่างมาก
เฉินผิงอันปฏิเสธความหวังดีของผู้ดูแลใหญ่ของจวน เพียงแค่บอกให้หงซูพาตนเดินเที่ยวรอบจวนเหิงโปหนึ่งรอบ แล้วถึงได้บอกลาจากไป
หลังจากนั้นมามีวันหนึ่งที่หงซูขอลาหยุดกับผู้ดูแลหนึ่งชั่วยาม ออกจากจวนเหิงโปที่มีการแบ่งระดับชนชั้นอย่างเข้มงวด แต่ละคนล้วนวางตัวอย่างระมัดระวังรอบคอบ เพื่อไปหาท่านเฉินที่หน้าประตูภูเขา ประตูห้องปิดสนิท หงซูยืนอยู่นอกประตูครู่หนึ่ง แล้วก็วิ่งไปที่ท่าเรือ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เจอกับเงาร่างผอมบางของนักบัญชีคนนั้น
หงซูจึงได้แต่กลับจวนเหิงโปไปพร้อมกับความผิดหวัง ความซาบซึ้งและความรู้สึกขอบคุณที่อัดแน่นอยู่เต็มท้องจึงได้แต่เก็บค้างไว้ก่อน
นางไม่รู้เลยว่า แท้จริงแล้วตอนนั้นเฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือในห้องตลอดเวลา
นี่ก็เหมือนเวลาต้มยาในช่วงวัยเยาว์ นอกจากวัตถุดิบดีหรือแย่แล้ว สิ่งที่สำคัญมากที่สุดเลยก็คือแรงไฟ
แรงไปก็ไม่ดี
ความซาบซึ้งใจของหงซู แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมรับไว้
แต่เขาไม่อาจไม่พิจารณาถึงสถานะของตัวเองและสภาพการณ์ที่หงซูต้องเผชิญ
วันนั้นที่หลิวจื้อเม่ามาเยี่ยมเยือน ได้จงใจพูดถึงแม่นางเปิดสาบเสื้อที่กู้ช่านเป็นผู้สร้างขึ้น ในสายตาของเฉินผิงอัน นั่นคือการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามหลักมาตรฐานอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงใช้เรื่องที่เคยได้ยินมาว่าเจินจวินชงชาเก่งมาเตือนหลิวจื้อเม่าว่าอย่าได้คิดใช้อุบายกับเรื่องนี้อีก
แน่นอนว่าชี้แนะแค่นิดเดียวหลิวจื้อเม่าก็กระจ่าง จึงไม่กระพือไฟระหว่างความสัมพันธ์ของเฉินผิงอันกับกู้ช่านคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่ได้เจตนาอีก
อยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วได้มีสหายที่ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจเพิ่มมาหนึ่งคน จะต้องเปลืองแรงกับสิ่งที่ได้เพิ่มเติมมานี้ และในอนาคตต้องจ่ายค่าตอบแทนมากเท่าไหร่
เฉินผิงอันรู้ดี
แต่เฉินผิงอันยิ่งรู้ชัดเจนดีว่า มีเพื่อนอย่างหงซูอยู่ที่เกาะชิงเสีย สำหรับสภาพจิตใจของตัวเองแล้วถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก
ประหนึ่งน้ำในคูที่ถูกแสงจันทร์สาดส่อง สายน้ำเส้นเล็กไหลเอื่อยเฉื่อย สำหรับผืนนาหัวใจที่แห้งขอดแล้วย่อมไม่มีประโยชน์ใดๆ แต่มีหรือไม่มีคูน้ำที่น้ำตื้นเขินใสกระจ่างเส้นนี้กลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ปีนั้นเพื่อตอบแทนบุญคุณ เฉินผิงอันจึงทำเรื่องเล็กๆ มากมายเพื่อกู้ช่าน หนึ่งในนั้นก็คือไปแย่งน้ำกลางดึก รู้ดีว่าต่อให้เช้าตรู่ของทุกวันจะแย่งน้ำจากชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่ออกลาดตระเวนกลางดึกเพื่อจับตาดูคนที่จะมาขโมยน้ำไม่ได้ แต่ขอแค่ในคูน้ำยังมีสายน้ำไหล
ก็มีความหวัง
ในช่วงเวลาที่คนอื่นผ่อนคลาย ต้องการกลับบ้านไปนอน เวลานั้นเฉินผิงอันที่ซุ่มหลบอยู่ในมุมมืดจะวิ่งตะบึงออกไปขุดคันดินเล็กๆ ริมผืนนาที่อยู่ติดกับต้นน้ำตอนบน ฟังเสียงน้ำไหลดังซู่ๆ เลียบไปตามผืนนาเบื้องล่างอย่างลิงโลด จนกระทั่งมาถึงข้างคันนาของบ้านกู้ช่าน เขาก็จะทรุดตัวลงนั่งยอง สร้างคันกั้นน้ำเล็กๆ ขึ้นมา น้ำที่ไหลมาจากคูส่งน้ำก็จะกรูเข้าไปในผืนนาผืนนั้น มองระดับน้ำที่ค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ เฝ้ารอไปอย่างช้าๆ รอจนน้ำเต็มแล้วก็ค่อยขุดเอาคันกั้นน้ำเล็กๆ นั่นออก แล้วปล่อยให้น้ำไหลลงสู่เบื้องล่างต่อไป
ในช่วงเวลาหลายปีนั้น ครอบครัวของกู้ช่านแทบจะไม่เคยต้องกลัดกลุ้มเรื่องแย่งน้ำจากคนอื่น ไม่เคยต้องทะเลาะกับชาวนาที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงหน้าดำหน้าแดง
เฉินผิงอันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองกำลังตอบแทนบุญคุณ
นั่นเป็นเรื่องที่ตนสมควรทำ
เรื่องราวบนโลกยากจะเป็นไปตามใจปรารถนา ในเมื่อไม่อาจทำให้เรื่องราวสงบหรือยุติลงได้ ถ้าอย่างนั้นก็เติมหลุมในใจของตัวเองให้เรียบเต็มเสียก่อน ถึงอย่างไรก็ต้องข้ามผ่านมันไปได้ อีกทั้งยังอาจจะผ่านไปได้โดยที่ไม่รู้สึกว่ายากลำบากสักเท่าไหร่ด้วย
……
วันนี้เจิงเย่เดินโซซัดโซเซมาเปิดประตู ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือด
เฉินผิงอันมายืนรออยู่นอกประตูก่อนแล้ว เขาประคองอีกฝ่ายไปนั่งข้างโต๊ะ ควักยาขวดหนึ่งที่ระดับขั้นไม่สูงออกมา นี่เป็นยาทั่วไปที่เก็บไว้ในคลังลับของเกาะชิงเสีย มูลค่าหนึ่งเหรียญเงินร้อยน้อย โดยทั่วไปแล้วจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตและขอบเขตชมมหาสมุทรที่จะมาซื้อไปจากคลังลับเป็นจำนวนมาก สำหรับผู้ฝึกตนขอบเขตสามอย่างเจิงเย่แล้วจึงมีประโยชน์เหลือเฟือ ยาชั้นสูงที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นเกินไป ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างรั้งไว้ไม่อยู่เลยแม้แต่น้อย ไม่มีความสามารถมากพอจะหล่อหลอมแล้วเอาไปเก็บสะสมไว้ในช่องโพรงลมปราณ
หลังจากเจิงเย่กินยาลงไปแล้ว เขาที่สีหน้าซีดเผือดก็ให้รู้สึกละอายใจ แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา “ท่านเฉิน ขอโทษนะ เป็นข้าที่ใจร้อนเกินไป”
เฉินผิงอันโบกมือ อธิบายกับเด็กหนุ่มว่า “เรื่องใดๆ ก็ตามล้วนไม่ควรสุดโต่งเกินไป อันที่จริงวันนี้เจ้าไม่ได้ร้อนใจ แต่เป็นเพราะเจ้าจำเป็นต้องกัดฟันผ่านด่านหนึ่งในนั้นไปให้ได้ เพียงแต่ทำไม่สำเร็จก็เท่านั้น ดังนั้นยาไม่กี่เม็ดนี้ ข้าจะไม่บันทึกลงบัญชี เสี่ยงรุดหน้าเพราะหวังอยากได้คุณความชอบกับหวาดกลัวจนไม่กล้าเดินหน้า เจ้าจะต้องแยกความต่างของทั้งสองอย่างนี้ให้ชัดเจน รวมไปถึง ‘การรักษา’ จิตแห่งเต๋าที่เจ้าควรต้องแสวงหา ท่ามกลางขั้นตอนการฝึกตนของเจ้าหลังจากนี้ เจ้าต้องคิดให้กระจ่างแจ้งเสียก่อน ไม่อย่างนั้นบนเส้นทางการฝึกตนของวันหน้า เมื่อเจ้าเจอกับอุปสรรคก็จะถอยหนีตามสัญชาตญาณ กล้าๆ กลัวๆ มีแต่จะเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบนมหามรรคาของเจ้า”
เจิงเย่เช็ดหน้า ยิ้มกล่าว “ข้าจำไว้แล้ว!”
เฉินผิงอันเอ่ยขึ้นว่า “จำไว้ว่ายังต้องคิดให้มากๆ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีบันไดให้เจ้าก้าวเดินขึ้นไปบนมหามรรคา ในเมื่อเจ้ายอมรับว่าตัวเองค่อนข้างโง่ ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องคิดให้เยอะ ในเรื่องโง่ๆ ที่คนฉลาดไม่ต้องหยุดเดิน เจ้ากลับต้องทุ่มเทและตั้งใจให้มาก ทนรับกับความยากลำบากให้มาก”
เจิงเย่พยักหน้ารับ
หลักการตื้นเขินเช่นนี้ เขายังพอจะฟังเข้าใจอยู่บ้าง
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหนึ่งอึก ลังเลเล็กน้อยก็กล่าวว่า “มีเพียงทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถและมานะพยายามทุกวิถีทางแล้วเท่านั้น เจ้าถึงจะพอมีคุณสมบัติไปโทษคนบ่นฟ้า”
หากเป็นในอดีต เฉินผิงอันคงจะพูดว่าคนเราไม่ควรโทษคนบ่นฟ้า
แต่ในเวลานี้ เฉินผิงอันกลับไม่มีทางเอ่ยคำพูดเช่นนั้นอีกแล้ว
เฉินผิงอันบอกให้เจิงเย่เข้าฌานรักษาอาการบาดเจ็บ ย่อยสลายปราณวิญญาณในยา
แต่เขาเพิ่งจะลุกขึ้นยืนก็ต้องหันขวับกลับไปมอง
เจิงเย่มองตามเส้นสายตาของเฉินผิงอันไปยังภาพบรรยากาศอันเงียบสงัดวังเวงของทะเลสาบนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “อย่าวอกแวก”
เจิงเย่จึงรีบกลั้นหายใจทำสมาธิทันที
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินออกไป ช่วยปิดประตูลงให้เขา ลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปเดินเล่นชมทิวทัศน์อยู่ที่ท่าเรือ
แต่กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง
หยิบตำหนักพญายมราชออกมาจากหีบไม้ไผ่ โยนเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งลงไป
การที่เงินเทพเซียนสามารถกลายมาเป็นเงินเทพเซียนได้นั้นก็เพราะมีปราณวิญญาณที่บริสุทธิ์ ไม่แบ่งแยกหยินหยาง
ผู้ฝึกตนสามารถใช้ได้ พวกภูตผีก็เช่นกัน
มรรคาไร้ซึ่งความลำเอียง
สี่ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน เกิดแก่เจ็บตาย หยินหยางแยกจากกัน กาลเวลาไหลริน
เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสือ พลิกเปิด ‘สมุดบัญชี’ ที่ทั้งหมดล้วนเขียนด้วยลายมือของตัวเอง
หยิบยาลับของตำหนักวารีเกาะจูไชเม็ดหนึ่งออกมากลืนเบาๆ จากนั้นก็หลับตาทำสมาธิ เมื่อปราณวิญญาณขุมนั้นไหลรินเข้าสู่ช่องโพรงน้ำของตนอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งพอจะมีส่วนเกินเหลือใช้แล้ว เฉินผิงอันถึงได้ลืมตา แล้วอ่านบันทึกในหน้าแรกที่เขียนชื่อ บ้านเกิดถิ่นฐาน ประวัติในชีวิตของคนทั้งหมดเก้าคนเอาไว้
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วถึงได้ท่องคาถาอยู่ในใจเงียบๆ สองนิ้วประกบกันทำมุทรากระบี่ ชี้ไปยังตำหนักพญายมราชที่วางอยู่บนโต๊ะ ใช้คำสั่งวิชาผีเชิญให้วิญญาณหยินภูตผีที่จิตวิญญาณไม่สมประกอบเก้าตนนี้ออกมา
ในห้องติดยันต์และวางค่ายกลสร้างพื้นที่มืดมิดที่เหมาะสำหรับการเชิญภูตผีกลับคืนมายังโลกมนุษย์ไว้เรียบร้อยนานแล้ว
ยันต์ทั้งสามแผ่นแบ่งออกเป็น ‘ยันต์เมฆน้ำสยบเรือน’ ของตำรา ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ใจกลางของยันต์เขียนด้วยตัวอักษรสีทองว่าท่านซานซานจิ่วโหว
รวมไปถึง ‘ยันต์ไป่ไหว’ หากลมปราณของในเรือนประหนึ่งร่างผีที่เป็นหมอกควัน ก็จะทั้งสามารถสยบกำราบ แล้วก็สามารถออกคำสั่ง แค่ต้องดูที่ความต้องการของคนแปะยันต์
แผ่นสุดท้ายคือยันต์ที่ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยางมอบให้ มีชื่อว่า ‘ยันต์ไม้ท้อเป็นตะปู’ สามารถกำราบสันดานอันดุร้ายของภูตผีวัตถุหยินและพยายามทำให้พวกมันมีสติแจ่มชัดได้
ส่วนค่ายกลอันเป็น ‘สถานที่หยัดยืน’ ที่มีไว้ให้วัตถุหยินที่อ่อนแอได้มาอยู่ในโลกมนุษย์ เขาเรียนมาจากเซียนดินอวี๋กุ้ยแห่งเกาะตะขอจันทร์ ด้วยเรื่องนี้เฉินผิงอันยังขอให้คนช่วยขนหินเขียวขนาดใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งใต้ทะเลสาบซูเจี่ยนขึ้นมาบนฝั่ง นำมากลึงเป็นแผ่นหินสีเขียว แล้วค่อยสลักอักขระยันต์ลงไป เอามันไปฝังไว้ใต้ดิน ปูเป็นพื้นทางเดิน นอกจากนี้ใต้ดินแต่ละตำแหน่งที่อยู่ใกล้เคียงกับแผ่นหินสีเขียวยังฝัง ‘วัตถุที่มีชะตาโชคดีเปี่ยมคุณธรรม’ จากเกาะต่างๆ ที่ไหว้วานให้ผู้ฝึกตนของเกาะชิงเสียไปหาซื้อมาด้วย
ทุกครั้งที่เฉินผิงอันเอ่ยชื่อแซ่และถิ่นกำเนิดจะต้องมีวัตถุหยินตนหนึ่งเดินออกมาจากตำหนักพญายมราช มายืนอยู่บนแผ่นหินสีเขียวที่กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของห้องแห่งนี้
วัตถุหยินทั้งเก้าตนนี้ต่างก็มาจากจวนสองแห่งของผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะชิงเสียและของศิษย์พี่ใหญ่กู้ช่าน มีทั้งแม่นางเปิดสาบเสื้อ แล้วก็มีทั้งคนงานที่ทำงานเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในจวน
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้ใช้เวทลับวิชาผีทำให้ตัวเองกลายมาเป็นเจ้าของตำหนักพญายมราชชั่วคราว ขณะเดียวกันก็ได้บอกแก่ห้องทุกห้อง วัตถุหยินและผีทุกตนในหอเรือนหลังนี้ว่า เขาเป็นใคร มีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับกู้ช่าน เหตุใดต้องทำเรื่องนี้ในสถานที่อย่างเกาะชิงเสียนี้ แล้วในอนาคตจะทำเรื่องแบบใด
—–