ชุยตงซานทรุดตัวลงนั่งยอง จุ๊ปากส่ายหน้า “คนฉลาดขนาดนี้กลับต้องมีชีวิตอยู่เป็นสุนัขตัวหนึ่ง ช่างน่าสมเพชจริงๆ”
ชุยตงซานตบใบหน้าด้านข้างของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แรงที่ตบไม่ถือว่าเบานัก “รู้สึกหรือไม่ว่าตัวเองโชคร้ายเกินไปถึงต้องมาเจอคนบนทางเดียวกันที่หมัดใหญ่กว่าเจ้าพอดีอย่างข้า?”
ฟ่านเหยี่ยนส่ายหน้าอย่างแรง
ชุยตงซานยืดตัวกลับ ดึงมือคืนมา มองใบหน้าที่แปะสี่คำใหญ่ๆ ว่าหวาดผวาพรั่นพรึงนั้น “ตอนนจู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าสุนัขตัวหนึ่ง ต่อให้วันหน้าจะเชื่อฟังมากแค่ไหนก็ยังขวางหูขวางตาอยู่ดี จะทำอย่างไรดีเล่า?”
ฟ่านเหยี่ยนเลื่อนลอยไปเล็กน้อย
ชุยตงซานกลับประกบสองนิ้วแล้วจิ้มมาที่หว่างคิ้วของฟ่านเหยี่ยน
หากนิ้วนี้จิ้มลงมา กายและจิตของฟ่านเหยี่ยนต้องดับสลายอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าเวลาชั่วประกายไฟแลบกลับมีคนมาปรากฏตัวด้านหลังชุยตงซาน โน้มตัวมาดึงชายแขนเสื้อด้านหลังของเขาเอาไว้ จากนั้นก็ถอยกรูดไปด้านหลัง ชุยตงซานจึงถูกลากให้ถอยหลังตามไปด้วย ช่วยเหลือฟ่านเหยี่ยนที่หว่างคิ้วเกิดหลุมที่ไม่ลึกไว้ได้พอดี
ชุยตงซานที่ถูกคนผู้นั้นหิ้วคอเสื้อไว้ในมือยังคงจ้องฟ่านเหยี่ยนเขม็ง “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า ใต้หล้าแห่งนี้ ใต้หล้าที่มีคนอย่างซิ่วไฉเฒ่าและเฉินผิงอันอยู่มากมายขนาดนั้น คนที่พวกเจ้าติดค้าง! วันหน้าใครจะเป็นคนชดใช้? เผ่าปีศาจที่ตีกำแพงเมืองปราณกระบี่แตกอย่างนั้นหรือ?! มาๆๆ รีบบุกเข้ามาฆ่า มาสั่งสอนไอ้พวกคนโง่ในใต้หล้าไพศาลดูสักหน่อยเถอะ! สอนให้พวกเจ้ารู้ว่าไม่มีข้อได้เปรียบใดที่พวกเจ้าจะยึดเอาไปครองทั้งหมดอย่างสมเหตุสมผล ไอ้พวกตะพาบ พวกเจ้าต้องใช้คืน! ต้องใช้คืน รู้หรือไม่?!”
แขกไม่ได้รับเชิญที่ขัดขวางไม่ให้ชุยตงซานฆ่าคนก็คือชุยฉานที่ย้อนกลับมายังทะเลสาบซูเจี่ยนอีกครั้ง
ชายชราลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวผู้นี้กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “วันนี้สังหารฟ่านเหยี่ยน เจ้าคิดจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนอีกก็ยากแล้ว อีกอย่าง อย่าพูดจาเหมือนเด็กหน่อยเลย เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว เวลาปกติแกล้งทำงอแงให้ข้ารำคาญใจ ข้าไม่ว่า แต่หากเจ้าทำเรื่องโง่ ข้าไม่มีทางยอเด็ดขาด เพราะหลังจากนี้ยังมีเรื่องอีกมากรอให้เจ้าไปทำ”
ชุยตงซานดิ้นสะบัด ชุยฉานจึงปล่อยมือ ชุยตงซานนั่งแปะลงไปบนพื้น
ชุยฉานโบกมือให้ฟ่านเหยี่ยน “ไสหัวไป วันหน้าควรพูดควรทำอะไร จงพิจารณาเอาเอง ไม่อย่างนั้นเขาฆ่าเจ้าไม่ได้ ข้านี่แหละจะเป็นคนฆ่าเจ้าเอง”
ชุยตงซานฟุบตัวเหม่ออยู่บนราวระเบียง
ชุยฉานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาวางลงบนศีรษะของชุยตงซานเบาๆ “เมื่อไม่มีความหวังต่อโลกใบนี้ เจ้าก็จะไม่ผิดหวัง เจ้าจะไม่มีทางเกลียดแค้นคนเลว ไม่มีทางชื่นชอบคนดี เจ้าเองก็เป็นบัณฑิต แต่เจ้ากลับไม่ยอมรับ ขณะเดียวกันเจ้าก็เข้าใจได้ถึงความซับซ้อนของโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรต้องคิดถึงผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุด รวมไปถึงผลที่ตามมาซึ่งเจ้าต้องแบกรับ แล้วเจ้าก็ลงมือทำซะ อย่าปล่อยให้เฉินผิงอันกลายเป็นข้อยกเว้นของเจ้า หากมันปนกันมั่วซั่วขึ้นมา มองดูเหมือนจริงใจ แต่แท้จริงแล้วมีแต่จะทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเอง”
ชุยตงซานพูดเสียงขุ่น “เอาเท้าสุนัขของเจ้าออกไป”
ชุยฉานหัวเราะ เอาสองมือไพล่หลัง สายตาทอดมองทะเลสาบซูเจี่ยน “จำกัดความความดีเลวของคนไม่ใช่เรื่องง่าย ขนาดซิ่วไฉเฒ่ายังไม่กล้าเอาเรื่องนี้มาพูดอย่างส่งเดช สำหรับด้านนี้ ลัทธิพุทธอธิบายไว้ได้ดีกว่าสักหน่อย แม้แต่ซิ่วไฉเฒ่าเองก็ยังยอมรับ ไม่ใช่ในทางส่วนตัว แต่เป็นในงานโต้วาทีสามลัทธิครั้งนั้น ยังจำได้หรือไม่ ตอนนั้นสีหน้าของอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อหลายคนดำทะมึนเลยทีเดียว ไม่ได้ทำให้ฝั่งตรงข้ามอย่างลัทธิพุทธและลัทธิเต๋าตกใจตาย แต่เกือบทำให้คนกันเองตกใจตายเสียก่อน เรื่องเหล่านี้พวกเราต่างก็เคยได้ยินกันมากับหู เห็นกันมากับตา ดังนั้นซิ่วไฉเฒ่าถึงได้เป็นซิ่วไฉเฒ่า หลักการเหตุผลดีๆ ของเจ้า ข้ายอมรับ แต่หลักการเหตุผลดีๆ ของข้า พวกเจ้าไม่ยอมรับ ก็ต้องยอมรับ!”
“การโต้วาทีของสามลัทธิในครั้งสุดท้าย ซิ่วไฉเฒ่าที่คว้าชัยชนะมาได้เป็นอย่างไร? ทำอะไรไปบ้าง? อาจารย์ผู้ยากจน นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ยื่นสองมือออกมา พูดว่าอะไร? ‘ขอเชิญมรรคาจารย์เต๋า ศาสดาพุทธนั่งลง’”
“แล้วจากนั้นล่ะ? คนสองคนที่ไม่เคยเจอหน้ากันมานานจนนับปีไม่ถ้วนก็มาจริงๆ หลี่เซิ่งก็มา แต่ซิ่วไฉเฒ่ากลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น”
“ทำอย่างไร?”
“ดังนั้นตาเฒ่าที่ซิ่วไฉเฒ่าเรียกก็มาด้วยเช่นกัน พอมาถึงก็ตัดขาดการรับสัมผัสของฟ้าดินทันที สุดท้ายเป็นอย่างไร ผ่านไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ซิ่วไฉเฒ่าที่แอบมาปรากฎตัวต่อหน้าพวกเราเหมือนจะแสยะปากแยกเขี้ยว เอียงศีรษะ นวดหูของตัวเอง?”
ชุยฉานกล่าวมาถึงตรงนี้ก็ไม่พูดอะไรมากอีก “ไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องรอดูจุดจบของทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะบอกเจ้าช้าหน่อย ถึงเวลานั้นค่อยเล่าให้เจ้าฟังถึงกระดานหมากที่ใหญ่ยิ่งกว่าทะเลสาบซูเจี่ยน”
ชุยตงซานกระโดดลงมาจากราวระเบียงอีกครั้ง ยื่นมือสองข้างออกมาทำท่าเหมือนกับซิ่วไฉเฒ่าในเวลานั้น เพียงแต่ชุยตงซานไม่ได้เอ่ยประโยคว่า ‘ขอเชิญมรรคาจารย์เต๋า ศาสดาพุทธนั่งลง’
เขาพูดเสียงดังว่า “ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างหลักการเหตุผลใหญ่”
“มนุษย์เล็กจ้อยดุจเมล็ดงา เรื่องราวมากมายดุจขนวัว!”
ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องเดียวไม่ทำซ้ำสาม คำพูดเหมือนเด็กๆ ข้าไม่อยากฟังเป็นครั้งที่สามแล้ว”
ชุยตงซานขยี้ปลายเท้า ชายแขนเสื้อกว้างสีขาวหิมะทั้งสองข้างพลิกหมุน เขาเอามือสองข้างไว้ด้านหลัง จากนั้นก็กำหมัดแน่น ค้อมเอวยื่นมือส่งให้ไปชุยฉาน “ลองเดาดูสิว่าอันไหนคือเหตุผล อันไหนคือ…”
เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว
ชุยตงซานถูกอัดให้ร่วงลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยน คลื่นลูกยักษ์ถาโถมตัว
หลังจากที่ชุยตงซานใช้ท่าหมาขุดดินว่ายน้ำขึ้นมาบนฝั่ง ก็มาเดินอยู่บนทางเส้นเล็กริมทะเลสาบ ชายแขนเสื้อสองข้างโบกสะบัด ยิ่งเดินไปก็ยิ่งไกล แล้วเขาก็ไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนทั้งอย่างนี้
ทว่าชุยฉานกลับไม่ได้รีบไปจากตรงราวระเบียง
เขาหวนนึกถึงคนและเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมาไกลแสนไกล
……
ท่ามกลางแสงสนธยายังพอจะมองเห็นเค้าโครงของเกาะกงหลิ่วได้อย่างเลือนราง เพียงแต่ว่าเกาะแห่งนี้ไม่เหมือนเกาะอื่นๆ ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน บนเกาะกงหลิ่วยังคงเขียวขจี แทบจะมองไม่เห็นหิมะที่สะสมเลยแม้แต่น้อย
อันที่จริงนี่ก็ไม่น่าแปลกใจ หนึ่งในสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตของหลิวเหล่าเฉิงก็คือตราประทับเทพวิญญาณเพลิง น้ำและไฟไม่อาจอยู่ร่วมกัน คิดดูแล้วหลิวเหล่าเฉิงคงไม่ค่อยชอบภาพหิมะตกสักเท่าไหร่ ถึงได้ร่ายใช้วิชาตระกูลเซียนทำให้เกาะกงหลิ่วยิ่งเป็นเหมือนไม้เด่นเกินไพร
เพียงแต่คนนอกกลับจินตนาการไม่ถึงเลยว่า เกาะขนาดใหญ่แห่งนี้กลับมีหลิวเหล่าเฉิงอาศัยอยู่เพียงคนเดียว
เรือลำหนึ่งที่เล็กดุจเมล็ดงาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้อาณาเขตของเกาะกงหลิ่วมากขึ้นเรื่อยๆ
ห่างออกไปพันจั้ง ‘เรือ’ ที่ล่องมาถึงที่แห่งนี้ก็ถูกดึงไม้พายขึ้นจากน้ำ และมีเสียงแหบพร่าดังขึ้นว่า “เฉินผิงอันขอพบเจ้าเกาะหลิว”
ครู่หนึ่งต่อมา แม้หลิวเหล่าเฉิงจะไม่ได้มีการตอบรับใดๆ แต่เฉินผิงอันกลับค้นพบว่าเรือที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าขยับเคลื่อนหน้าไปด้วยตัวเอง สุดท้ายก็จอดลงที่ท่าเรือของเกาะกงหลิ่วอย่างเชื่องช้า
เฉินผิงอันผูกเรือเรียบร้อยแล้วก็เริ่มเดินขึ้นไปบนเกาะ บนเกาะมีต้นหยางและต้นหลิวขึ้นเรียงราย ต่อให้เป็นช่วงที่อากาศหนาวเหน็บ แต่ก็ยังมีภาพบรรยากาศของต้นไม้เขียวครึ้มเต็มไปด้วยชีวิตชีวาของหน้าร้อน
สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ของเกาะกงหลิ่วถูกปล่อยทิ้งร้าง สภาพผุพังทรุดโทรม ก่อนหน้านี้ที่เลือกที่นี่เป็นสถานที่จัดการประชุมเลือกผู้นำแห่งยุทธภพ เกาะชิงเสียจึงต้องออกเงินซ่อมแซมตำหนักหลักที่สำคัญของเกาะกงหลิ่วอยู่สองสามแห่ง
ผลกลับกลายเป็นหลิวเหล่าเฉิงบุกขึ้นไปฆ่าถึงเกาะชิงเสียโดยไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด เป็นเหตุให้ ‘ความหวังดี’ ครั้งนี้ของเกาะชิงเสียกลายเป็นเรื่องตลกขบขันในหมู่ผู้ฝึกตนอิสระ หลิวจื้อเม่าทำดีแล้วได้ดีตอบแทนจริงๆ พอบรรพจารย์หลิวกลับมาถึงทะเลสาบซูเจี่ยน เรื่องแรกที่ทำก็คือไปเป็นแขกบนเกาะชิงเสียเลยไม่ใช่หรือ ไม่เสียแรงที่เป็น ‘สกัดคงคาเจินจวิน’ ที่ได้ครอบครองทะเลสาบซูเจี่ยนร่วมกัน หน้าใหญ่เทียมฟ้าซะจริง
และในขณะที่เฉินผิงอันกำลังคาดเดาว่าหลิวเหล่าเฉิงอยู่ที่ไหนนั้นเอง ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบท่านนั้นก็มาปรากฏในการมองเห็นของเขา มองดูเหมือนกำลังเดินมาอย่างเชื่องช้า ทว่ากลับมาถึงในชั่วพริบตา หลิวเหล่าเฉิงเดินอยู่บนถนนใหญ่ริมทะเลสาบที่เป็นหลุมเป็นบ่อไม่ราบเรียบซึ่งเป็นดั่ง ‘เข็มขัด’ ของเกาะกงหลิ่ว เฉินผิงอันเดินตามอยู่ด้านหลังหลิวเหล่าเฉิง
หลิวเหล่าเฉิงกล่าวว่า “เห็นแก่ที่เจ้ามีความสามารถขัดขวางไม่ให้ข้าสังหารคนของเกาะชิงเสีย จะให้โอกาสเจ้าได้พูดสามประโยค หากข้าไม่พอใจก็คงต้องส่งแขกแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “แค่สองประโยคก็พอแล้ว”
หลิวเหล่าเฉิงเอาสองมือไพล่หลัง ไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงพูดกลั้วหัวเราะว่า “งั้นก็กำลังดี”
เฉินผิงอันกล่าว “หงซูแห่งจวนจูเซียน ข้าได้พูดให้หลิวจื้อเม่าคลายตราผนึกเฉพาะของเขาออกไปแล้ว หลังจากนี้หงซูจะถูกเจ้าเกาะนำตัวมาไว้ที่เกาะกงหลิ่วก็ดี หรือจะใช้ชีวิตที่เหลือโดยไม่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับใครอยู่บนเกาะชิงเสียก็ช่าง ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าเกาะหลิว”
เฉินผิงอันหยุดชะงักไปครู่หนึ่งก็สาวเท้าเร็วๆ เดินไปเคียงไหล่กับหลิวเหล่าเฉิง ยื่นฝ่ามือออกไป ในมือคือแผ่นหยก ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ “ของสิ่งนี้ ข้าไม่กล้ามอบให้ และมันก็ไม่เหมาะจะกลายมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าเกาะหลิวด้วย ดังนั้นข้าจึงจะให้เจ้าเกาะหลิวยืม วันใดที่เจ้าเกาะหลิวเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินค่อยคืนมันให้ข้า”
หลิวเหล่าเฉิงชำเลืองตามองแผ่นหยกที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน แต่ฝีเท้ายังไม่หยุดก้าวเดิน “แค่นี้น่ะหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไร
หลิวเหล่าเฉิงถึงได้หันหน้ากลับมามองเฉินผิงอัน “มีอุบายไม่น้อยเลยนี่”
หลิวเหล่าเฉิงยิ้มกล่าว “อยากพูดก็พูดมาเถอะ สองประโยคก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถโน้มน้าวข้าได้ แต่มากพอจะให้เจ้าเดินไปบนเส้นทางสายนี้จนสุดได้”
เฉินผิงอันถึงได้กล่าวว่า “คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อ สู้สุดชีวิตคือคำแรก หลังจากนั้นหากคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อให้ดี จึงจะใช้ความฉลาดปูทาง”
หลิวเหล่าเฉิงอืมรับหนึ่งที “ความคิดพอๆ กับข้าในปีนั้น”
หลิวเหล่าเฉิงถาม “หากเจ้าได้แต่กลับไปมือเปล่า แล้วข้าสามารถตอบคำถามเจ้าได้หนึ่งคำถาม เจ้าจะถามอะไร? เหตุใดถึงต้องฆ่ากู้ช่าน? ไม่น่าจะใช่ นักบัญชีอย่างเจ้าไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่เห็นแก่หน้าถานหยวนอี้เจ้าเกาะลี่ซู่และกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่อยู่ทางเหนือเลยแม้แต่น้อย? คำถามที่คุ้มค่านี้ เจ้าจะลองถามดูก็ได้ ถามมาเถอะ ถามจบแล้ววันหน้าก็ไม่ต้องมาเสี่ยงดวงที่นี่อีก คราวหน้าข้าอาจไม่ได้อารมณ์ดีอย่างวันนี้”
เฉินผิงอันถาม “หงซูจะถูกเจ้าเกาะหลิวฆ่าตายด้วยมือตัวเองหรือไม่?”
หลิวเหล่าเฉิงหยุดเดิน
เฉินผิงอันก็หยุดชะงักแทบจะพร้อมกัน
หลิวเหล่าเฉิงยื่นนิ้วมาชี้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอัน “ถามคำถามที่สมควรตายเช่นนี้ เจ้าไม่ต้องดื่มเหล้าเพิ่มความกล้าก่อนหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าลงมาดื่มเหล้าจริงๆ “จะดื่มชดเชยเดี๋ยวนี้”
หลิวเหล่าเฉิงส่ายหน้า สาวเท้าเนิบช้าต่อไปอีกครั้ง “เอาเถอะ นี่เป็นเรื่องที่ข้ารับปากเจ้าไว้ ให้บอกกับเจ้าตรงๆ ก็ไม่เป็นไร เดิมทีก็เป็นด่านที่ต้องผ่านไปอยู่แล้ว ผู้ฝึกตนอิสระได้รับบาดเจ็บลึกถึงเส้นเอ็นและกระดูกเป็นเรื่องปกติ จำนวนครั้งที่ถูกคนเล่นงานเกือบตาย ใช้สองมือนับก็ยังนับไม่หมด ไหนเลยจะมาสนใจเรื่องการเปิดแผลเป็นเล็กน้อยนี่ หงซูมีนามเดิมว่าหวงฮั่น เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของข้า แล้วก็กลายมาเป็นคู่บำเพ็ญเพียรของข้าในภายหลัง หงซูคือชื่อเล่นของนาง หลิวจื้อเม่าชอบทำตัวอวดฉลาดอยู่เสมอ ถึงได้เก็บชื่อที่ไม่ถือว่าเป็นชื่อนี้ไว้ให้นาง คุณสมบัติของหวงฮั่นไม่ถือว่าดีนัก นางเป็นคนที่มีพรสวรรค์แย่ที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย แต่ภายหลังอาศัยการทุ่มเงินเทพเซียนจำนวนมากของข้าจึงผลักดันให้นางขึ้นไปยังขอบเขตเซียนดินโอสถทองได้ ส่วนเรื่องนิสัยใจคอ ก็พอๆ กับชื่อจริงของนางนั่นแหละ ไม่ค่อยเหมือนสตรี ตรงไปตรงมา และสภาพจิตใจก็แตกต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของทะเลสาบซูเจี่ยน เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในสายตาผู้ฝึกตนอิสระที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบอย่างข้า ความไร้เดียงสาที่โง่งมเช่นนั้นของนางกลับเอาชีวิตข้าจริงๆ …”