กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 450.3 กระบี่ของท่านอยู่ที่ใด

บทที่ 450.3 กระบี่ของท่านอยู่ที่ใด

ในร้านมีลูกจ้างเด็กหนุ่มผิวดำเกรียมที่เป็นใบ้อยู่คนหนึ่ง รูปร่างของเขาผอมแห้ง รับผิดชอบทำหน้าที่รับรองลูกค้าและยกน้ำยกชามาส่ง มือเท้าไม่คล่องแคล่วเลยแม้แต่น้อย

ได้ยินมาว่าเป็นชาวบ้านลี้ภัยที่หนีมาจากชายแดน เถ้าแก่ผู้เฒ่ามีเมตตาจึงรับเด็กหนุ่มไว้เป็นลูกจ้างร้าน ผ่านไปเกินครึ่งปี เขาก็ยังคงไม่เป็นที่ชื่นชอบ ขนาดลูกค้าประจำของร้านก็ยังไม่ค่อยชอบพูดคุยกับเด็กหนุ่มเท่าใดนัก

ยามสนธยาของวันนี้ ลูกค้าเริ่มบางตา ทว่าในร้านยังคงมีกลิ่นหอมของตุ๋นเนื้อหมาลอยอบอวล

เฉินผิงอันสั่งเหล้าท้องถิ่นของเมืองมาหนึ่งกา นั่งอยู่ตรงตำแหน่งใกล้กับประตูใหญ่ เถ้าแก่ผู้เฒ่ากำลังดื่มเหล้ากับลูกค้าประจำคนหนึ่งอย่างเต็มคราบ ใบหน้าแดงก่ำ ปากก็เล่าเรื่องหลานชายที่รักให้ทุกคนฟัง พอได้พูดเรื่องหลานชายก็ทำให้ผู้เฒ่าที่เดิมทีดื่มเหล้าได้แค่หนึ่งจินดื่มได้มากถึงสองสามจินก็ยังไม่ล้ม ดื่มไปดื่มมาเขาก็ยังไม่ลืมบอกกับตัวเองในใจเงียบๆ ว่าจะดื่มมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เพราะดื่มมากก็ได้เงินน้อย ตอนนี้โลกไม่สงบสุข ในเมืองก็ดี หมู่บ้านใกล้กับเมืองก็ชาง แค่จะออกจากบ้านไปหาซื้อหมามาก็ยากแล้ว ลูกค้าเองก็ไม่เหมือนในอดีต เงินในกระเป๋าลูกค้าก็ยิ่งอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับเมื่อก่อนติด ดังนั้นตอนนี้จึงต้องยิ่งคิดคำนวณทุกอย่างให้ละเอียดรอบคอบ การเล่าเรียนของหลานชายยังต้องใช้จ่ายเงินอีกมาก จะให้ขัดสนไปเสียทุกเรื่องไม่ได้ เพราะจะทำให้หลานชายถูกสหายร่วมเรียนดูถูกเสียเปล่าๆ

พวกบัณฑิตที่เล่าเรียนหนังสือล้วนต้องมีหน้ามีตากันทั้งนั้น

เด็กหนุ่มลูกจ้างที่ร่างกายผอมดำยังคงง่วนอยู่กับการเก็บกวาดเศษซากจานชามบนโต๊ะตัวหนึ่ง เขายืนหันหลังให้เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันดื่มเหล้าข้าวหมักไปสองถ้วยและกินกับแกล้มไปแล้วก็สั่งกับแกล้มจานเล็กๆ มาอีกสองสามจาน เขาดื่มเหล้าไม่มาก แต่กลับจ้วงตะเกียบไม่หยุด อาหารในจานจึงใกล้จะหมดเกลี้ยงแล้ว

เฉินผิงอันพลันเรียกชื่อของเด็กหนุ่มคนนั้น แล้วเอ่ยถามว่า “อีกเดี๋ยวข้าจะต้องรับรองแขกคนหนึ่ง นอกจากไก่บ้านแล้ว ในอ่างน้ำหลังร้านมีปลาหลีที่เพิ่งจับมาใหม่บ้างไหม?”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเงียบๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ไปบอกพ่อครัวว่าให้ทำกับข้าวได้แล้ว เมื่อทำกับข้าวเสร็จแล้ว เพื่อนของข้าคนนั้นก็จะได้มานั่งที่โต๊ะ ใช่แล้ว ให้เพิ่มหน่อไม้ผัดเนื้อหมูไปด้วยหนึ่งจาน”

เด็กหนุ่มยังคงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ไปที่เรือนด้านหลัง ใช้ภาษามือบอกกล่าวแก่ชายฉกรรจ์ที่กำลังนั่งพักอยู่ในห้องครัว ชายฉกรรจ์ที่เพิ่งจะได้พักหายใจหายคอสบถด่ายิ้มๆ แล้วจึงส่ายหน้าลุกขึ้นยืน ฆ่าไก่ควักไส้ปลา ต้องยุ่งอีกแล้ว แต่คนค้าขาย มีใครบ้างที่รังเกียจเงิน? เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังของชายฉกรรจ์ที่เดินไปยังอ่างน้ำด้วยสายตาซับซ้อน สุดท้ายก็ออกจากห้องครัวมาเงียบๆ ไปจับไก่ตัวที่ใหญ่ที่สุดมา ผลกลับถูกชายฉกรรจ์ด่าขันๆ ว่านี่คือไก่ที่เก็บไว้ให้ลูกชายเขากินบำรุงร่างกาย ให้ไปเปลี่ยนตัวใหม่ เด็กหนุ่มเลยไปเปลี่ยนไก่ตัวใหม่ที่เล้าไก่ คราวนี้เขาเลือกตัวที่เล็กที่สุด ชายฉกรรจ์ก็ยังคงไม่พอใจ บอกว่าราคาเท่ากัน ลูกค้ากินไม่รู้หรอกว่าน้ำหนักอาหารมีมากหรือน้อย แต่คนทำการค้า ถึงอย่างไรก็ต้องมีคุณธรรมสักหน่อย ชายฉกรรจ์จึงไปเลือกไก่ตัวที่ค่อนข้างใหญ่มาด้วยตัวเองแล้วมอบให้เด็กหนุ่ม เรื่องฆ่าไก่ เด็กหนุ่มนับว่าค่อนข้างคล่อง ส่วนชายฉกรรจ์ก็ไปงมเอาปลาแม่น้ำที่ยังดีดดิ้นมีชีวิตมาหนึ่งตัว

เด็กหนุ่มชำเลืองตามองกรงหมาที่อยู่ในมุม แต่ไม่นานก็ดึงสายตากลับคืน

ปลาหลีราดน้ำแดงจานหนึ่งถูกยกขึ้นโต๊ะ

เด็กหนุ่มพบว่าเพื่อนที่ลูกค้าคนนี้พูดถึงยังไม่มา

เฉินผิงอันบอกแค่ว่ารออีกหน่อย รอให้อาหารจานที่สองขึ้นโต๊ะเสียก่อน

รอจนกระทั่งหน่อไม้ผัดเนื้อหมูกับไก่ผัดขิงต่างก็ถูกยกขึ้นโต๊ะแล้ว เด็กหนุ่มก็ยังไม่เห็นว่าเพื่อนของลูกค้าจะมาสักที

เด็กหนุ่มจึงทำท่าจะจากไป

เห็นเพียงว่าบุรุษชุดผ้าฝ้ายที่ท่าทางเหมือนคนขี้โรคพลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “อาหารขึ้นครบแล้ว รอแค่เจ้านั่งลงเท่านั้น”

เด็กหนุ่มมีสีหน้ามึนงง

ในร้านเนื้อหมาเหลือแขกแค่โต๊ะเดียว เถ้าแก่ผู้เริ่มพูดจาอ้อแอ้ไม่เป็นคำแล้ว เขายังคงร้องบอกให้ลูกค้าดื่มเหล้ามากๆ แน่นอนว่าตัวเองก็ดื่มไปไม่น้อย ดูจากสถานการณ์ คาดว่าความคิดที่จะไม่ลดราคาให้ลูกค้าคงถูกโยนทิ้งไปนานแล้ว

เฉินผิงอันพูดกับเด็กหนุ่มว่า “คิดดูแล้วเจ้าคงจะรู้ว่าข้าเดาสถานะของเจ้าออกแล้ว อีกทั้งเจ้าเองก็เดาออกว่าข้าเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคราวก่อนนอกจากที่เจ้าจะยกอาหารมาวางแล้วก็คงไม่พยายามเดินอ้อมข้า แล้วก็จงใจไม่มองสบตาข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าเลี้ยงอาหารมื้อนี้เจ้า อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อาหารและสุราล้วนเป็นเจ้าที่ยกมา ข้าต่างหากที่ควรต้องเป็นกังวล เจ้าจะต้องกลัวอะไร”

เด็กหนุ่มลังเลตัดสินใจไม่ได้

เฉินผิงอันชำเลืองตามองโต๊ะที่อยู่ห่างไปไกล แล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “วางใจเถอะ เถ้าแก่ผู้เฒ่าดื่มจนเมาแล้ว ลูกค้าโต๊ะนั้นก็เป็นแค่ชาวบ้านทั่วไป ไม่มีทางได้ยินคำพูดระหว่างเจ้ากับข้า”

เด็กหนุ่มนั่งลงตรงข้ามกับเฉินผิงอัน แต่กลับไม่ได้หยิบตะเกียบขึ้นมา

เฉินผิงอันคีบเนื้อปลาหลีชิ้นหนึ่งขึ้นมา โน้มตัวไปข้างหน้า วางใส่ไว้ในถ้วยข้าวตรงหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะคีบเนื้อหมูผัดหน่อไม้และไก่ผัดขิงวางลงในถ้วยเด็กหนุ่มด้วย

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น จ้องมองลูกค้าต่างถิ่นที่แปลกประหลาดผู้นี้เขม็ง

เฉินผิงอันถึงได้คีบอาหารให้ตัวเองแล้วก้มหน้าพุ้ยข้าวหนึ่งคำ เคี้ยวอย่างละเอียด กลืนลงคอแล้วจึงถามว่า “เจ้าคิดจะฆ่ากี่คน ชายฉกรรจ์ที่เป็นพ่อครัวต้องตายแน่อยู่แล้ว เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่มีฝีมือในการ ‘จับหมา’ ที่ชั่วชีวิตนี้ไม่รู้ว่าซื้อและขโมยหมาจากชานเมืองมาแล้วกี่ตัวก็ยิ่งต้องตาย ถ้าอย่างนั้นเด็กที่ยังเรียนชั้นประถมคนนั้นล่ะ เจ้าจะฆ่าด้วยหรือไม่? ลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันซึ่งชินกับการกินเนื้อหมาพวกนี้ เจ้าจำได้กี่มากน้อย แล้วจะฆ่าพวกเขาด้วยหรือไม่?”

สองมือที่วางไว้บนหัวเข่าของเด็กหนุ่มกำเป็นหมัดแน่น สีหน้าของเขาเย็นชา กดเสียงต่ำพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าจะขัดขวางข้าหรือ?”

เฉินผิงอันย้อนถาม “ขัดขวางเจ้าแล้วอย่างไร ไม่ขัดขวางเจ้าแล้วอย่างไร?”

เด็กหนุ่มพูดเสียงหนัก “ถ้าเจ้ากล้าขวางข้า ข้าก็กล้าฆ่าเจ้า!”

เฉินผิงอันใช้มือหนึ่งคีบอาหาร ยิ้มพลางผายมือข้างที่ว่างออก บอกเป็นนัยให้เด็กหนุ่มกินอะไรเสียก่อน “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตบะน้อยนิดของเจ้าจะฆ่าข้าได้หรือไม่ ไม่สู้พวกเรามากินข้าวดื่มเหล้าให้เต็มอิ่มกันเสียก่อน แล้วค่อยมาลองดูว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ อาหารบนโต๊ะนี้ หากคิดตามราคาตลาดปัจจุบัน จะอย่างไรก็ควรจะมีเจ็ดแปดเฉียนกระมัง นี่ยังเป็นราคายุติธรรมของร้านขายเนื้อหมาแห่งนี้แล้วด้วย หากเปลี่ยนมาเป็นภัตตาคารในเมืองที่จอแจ คาดว่าก็คงกล้าตั้งราคาถึงหนึ่งตำลึงห้าเฉียน จะกินก็กิน ไม่มีเงินก็ไสหัวไป”

เด็กหนุ่มจ้องมองดวงตาของคนหนุ่มอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงก้มหน้ากินข้าว เขาไม่ได้คีบกับข้าว คิดว่าหากวันนี้ต้องถูกผู้ฝึกตนตรงหน้าผู้นี้กำจัดปีศาจปราบมารจริงๆ จะดีจะชั่วตนก็ควรกินให้อิ่มสักมื้อ!

เด็กหนุ่มเริ่มกินข้าว เฉินผิงอันกลับหยุดตะเกียบ เพียงแค่รินเหล้าส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ในกามาจิบคำเล็กๆ จากนั้นก็ใช้สองนิ้วคีบถั่วลิสงที่เหลืออยู่ไม่มากในจานใบหนึ่งขึ้นมา

เฉินผิงอันดื่มเหล้าและกินกับแกล้มหมดแล้วก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น

เด็กหนุ่มเช็ดปาก วางตะเกียบลง

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “เห็นร้านฆ่าหมา เห็นคนกินเนื้อ เจ้าก็เลยคิดจะฆ่าคน ข้าสามารถเข้าใจได้ แต่ข้ายอมรับไม่ได้”

เด็กหนุ่มหัวเราะหยันไม่หยุด

เฉินผิงอันเอ่ยต่อว่า “เพราะเจ้ามีหลักการและเหตุผลของตัวเอง ถึงขั้นยินดีจ่ายค่าตอบแทนนี้ด้วยชีวิตของตัวเอง แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะรู้จักโลกใบนี้ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นอาหารมื้อนี้ของเจ้า เจ้ากินปลา กินไก่บ้านและกินเนื้อหมู วันหน้าเมื่อเจ้าเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตน เจ้าจะยังต้องได้กินอาหารเลิศรสที่มากกว่านี้ ในฐานะเทพเซียนบนภูเขาครึ่งตัว ขอแค่ร่างไม่ตายมรรคาไม่ดับสลาย เจ้าก็จะต้องเจอกับงานเลี้ยงสุราไม่แบบนี้ก็แบบนั้น อาจจะเป็นแขก หรืออาจจะเป็นเจ้าบ้าน ถึงอย่างไรชีวิตนี้นอกจากเนื้อหมาแล้วก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะไม่ได้กินเนื้อชิ้นโต ถูกหรือไม่?”

สีหน้าของเด็กหนุ่มอึ้งค้าง

เฉินผิงอันเอ่ยเนิบนาบ “ขอแค่วันนี้เจ้าก้าวข้ามก้าวนี้ออกไป ต่อให้ไม่มีข้าคอยขัดขวาง เจ้าก็จะยังถูกผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีที่เดินตรวจตรารอบเมืองไล่ฆ่า และต้องตายสถานเดียว หรือต่อให้เจ้าหนีออกจากเมืองไปได้สำเร็จ หลังจากนี้เจ้าต้องฆ่าคนที่กินเนื้อหมาอีกกี่คน คืนนี้เจ้าฆ่าไปสิบคนหลายสิบคน วันหน้าฆ่าอีกหนึ่งร้อยหนึ่งพันคน? ถึงอย่างไรหากต้องตายก็คือตาย เจ้าไม่เสียใจภายหลัง ถูกหรือไม่?”

เด็กหนุ่มก้มหน้าลง

เฉินผิงอันกล่าวว่า “ในเมื่อข้าเห็นแล้วก็จะไม่มีทางปล่อยให้เจ้าฆ่าคนที่นี่ เจ้าอาจจะรู้สึกว่าข้าไม่มีเหตุผล อาศัยอำนาจที่มากกว่ามารังแกคนอื่น ก็ไม่เป็นไร วิถีทางโลกใบนี้ การใช้เหตุผลเป็นเรื่องที่ซับซ้อนอย่างมาก และไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คน อันที่จริงก็เหมือนกัน ในสายตาของเถ้าแก่ผู้เฒ่าและลูกชายของเขาที่ขายเนื้อหมา พวกลูกค้าที่อยู่ดีๆ ก็ต้องตาย รวมไปถึงในสายตาของหลานชายที่สุดท้ายอาจมีชีวิตรอดแต่กลับไม่อาจเรียนหนังสือได้ต่อ พวกเขาจะต้องรู้สึกว่าเจ้าไม่มีเหตุผล ไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง เหตุผลเล็กๆ น้อยๆ ข้อนี้ เจ้าควรจะต้องรู้ก่อนที่จะฆ่าคน”

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น

ดูเหมือนบุรุษผู้นั้นจะเสียดายเงินเล็กน้อยนั่น เห็นว่าตนไม่กิน เขาจึงเริ่มหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อหมูผัดหน่อไม้ พอกินเสร็จก็หันไปคีบเนื้อปลา จากนั้นจึงกล่าวว่า “การที่ทำเรื่องพวกนี้และพูดเรื่องเหล่านี้กับเจ้า ก็เพราะข้ามองเห็นความลังเลและการดิ้นรนจากบนร่างของเจ้า เจ้าเองก็รู้สึกว่าเถ้าแก่ผู้เฒ่าและพ่อครัวที่สมควรตายเป็นหมื่นครั้ง แท้จริงแล้วก็มีด้านที่เป็นคนดีอยู่เหมือนกัน ต้องรู้ว่าข้าพบเจอคนมามากมาย แม้กระทั่งคนที่เมื่อเปรียบเทียบกับภูตที่ฝึกตนอย่างยากลำบากกว่าจะได้กลายร่างมาเป็นคนอย่างพวกเจ้าแล้วยังไม่เหมือนคนยิ่งกว่าเสียอีก พวกเขาถึงขั้นสู้พวกเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบติด ดังนั้นข้าจึงยินดีเลี้ยงอาหารมื้อนี้แก่เจ้า อีกทั้งยัง…”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม หยิบเศษเงินเม็ดหนึ่งวางบนโต๊ะ จากนั้นก็หยิบเงินร้อนน้อยอีกเหรียญหนึ่งวางไว้ ดีดเบาๆ มันก็กลิ้งไปอยู่ใกล้กับถ้วยของเด็กหนุ่มพอดี “ข้าจะพูดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งให้เจ้าฟัง เงินร้อนน้อยเหรียญนี้ถือว่าข้าให้เจ้ายืม จะใช้คืนหรือไม่ก็ตามใจเจ้า สิบปีร้อยปีให้หลังค่อยคืนให้ข้าก็ยังได้ จากนั้นเจ้าก็ลองตัดสินใจไม่ฆ่าคนก่อน ข่มกลั้นความทรมานในใจตอนนี้เอาไว้ ข้ารู้ว่ามันยากลำบากมากสำหรับเจ้า แต่ขอแค่เจ้าไม่ฆ่าคน เจ้าก็สามารถใช้เงินไปช่วยเผ่าพันธุ์เดียวกันได้อีกมาก ซึ่งการทำเช่นนั้นก็ยังมีวิธีอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่นอาศัยตบะ พยายามให้ตัวเองกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาในสายตาของนายอำเภอเล็กๆ เสียก่อน ช่วยเขาจัดการกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกี่ยวพันกับพวกภูตผีปีศาจบางส่วน ถึงอย่างไรในพื้นที่เล็กๆ เจ้าก็ไม่มีทางเจอกับผู้ฝึกตนที่ ‘ไร้เหตุผล’ อย่างข้าอยู่แล้ว พวกภูตผีที่มาก่อกวนเหล่านั้น เจ้าล้วนรับมือได้ ดังนั้นก็สามารถฉวยโอกาสนี้บอกกับนายอำเภอได้ว่า ไม่อนุญาตให้มีการขายเนื้อหมาในพื้นที่…เจ้ายังสามารถกลายเป็นพ่อค้าใหญ่ที่ร่ำรวยในพื้นที่ กว้านซื้อหมาในเมืองในมณฑลมาให้หมดด้วยราคาสูง ทำให้ร้านขายเนื้อหมาหลายๆ ร้านจำต้องเปลี่ยนอาชีพ…แล้วเจ้าก็ยังสามารถตั้งใจฝึกตน บุกเบิกภูเขาเป็นของตัวเอง ในรัศมีร้อยลี้พันลี้มีเจ้าเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ ซึ่งกฎเกณฑ์หนึ่งในนั้นก็คือให้ปฏิบัติต่อหมาด้วยความดี…”

เด็กหนุ่มเอ่ยถาม “ทำไมเจ้าถึงต้องทำแบบนี้?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็คลี่ยิ้ม “แม้ข้าจะผิดหวังกับโลกใบนี้อย่างมาก แล้วก็ผิดหวังกับตัวเองอย่างมาก แต่ช่วงนี้ข้าก็เพิ่งจะคิดจนเข้าใจเรื่องๆ หนึ่งนั่นคือ ต่อให้ราคาที่ต้องจ่ายยามที่ใช้เหตุผลจะมากแค่ไหน แต่สุดท้ายคนเราก็ยังต้องใช้เหตุผลอยู่ดี”

เด็กหนุ่มถามอีก “อาจารย์คือลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อหรือ?”

เฉินผิงอันเงียบไปครู่ก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ถือว่าใช่ แต่ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”

เด็กหนุ่มอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย

“เงินไม่พอ สามารถขอยืมจากข้าได้อีก แต่หลังจากนั้นพวกเราจะต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนช้าๆ “คิดให้มากหน่อย ข้าไม่หวังให้เจ้าสามารถคืนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งแก่ข้าได้เร็วขนาดนั้น หรือเจ้าอาจจะฉลาดหน่อย ไปอยู่ในเมืองที่ไกลกว่านี้ก็ได้ ขอแค่ข้าไม่ได้ยินและมองไม่เห็นก็พอ แต่หากเจ้าสามารถเปลี่ยนเส้นทางเดิน ข้าจะยินดีมากที่การเลี้ยงข้าวเจ้ามื้อนี้ไม่ได้เสียเงินเปล่า”

เฉินผิงอันออกจากร้านขายเนื้อหมามาเดินอยู่ในตรอกเล็กเพียงลำพัง

เด็กหนุ่มพลันวิ่งออกมาจากร้าน ตามเฉินผิงอันมาทันแล้ววถามว่า “อาจารย์บอกเองว่าวันหน้ายังสามารถยืมเงินจากท่านได้อีก แต่ท่านไม่บอกชื่อแซ่ แล้วก็ไม่บอกภูมิลำเนา ข้าไม่มีเงินแล้ว ถึงเวลานั้นจะไปตามหาท่านได้อย่างไร?”

“แบบนี้เองหรือ”

เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม ยกมือเกาหัว “ข้าก็แค่พูดถ้อยคำตามมารยาทที่ไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียวกับเจ้าไปอย่างนั้นเองนะ”

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มสดใส

นี่เป็นครั้งแรกนับจากมันที่ได้รับโชควาสนากลายร่างเป็นมนุษย์ที่ยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดีขนาดนี้

เฉินผิงอันยื่นมือมาลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม “ข้าชื่อเฉินผิงอัน ตอนนี้พเนจรไปทั่วแคว้นสือหาว วันหน้าจะกลับไปยังเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยน หลังจากนี้ตั้งใจฝึกตนให้ดีล่ะ”

แล้วเฉินผิงอันก็เดินหน้าต่ออีกครั้ง

เด็กหนุ่มตะโกนเสียงดัง “ท่านเฉิน อันที่จริงครอบครัวของพวกเถ้าแก่ล้วนเป็นคนดี ดังนั้นข้าจะเสนอราคาที่สูงมากๆ จนพวกเขาปฏิเสธไม่ได้ แล้วต้องขายร้านให้กับข้า หลานชายและบุตรชายของพวกเขาสองคนก็จะได้เรียนหนังสือดีๆ จะมีโรงเรียนและหอเก็บหนังสือเป็นของตัวเอง แล้วก็จะได้เชิญอาจารย์สอนหนังสือที่ดีมากๆ มาได้! หลังจากนั้นข้าจะกลับเข้าไปในภูเขา ตั้งใจฝึกตนให้ดี!”

บุรุษสวมชุดผ้าฝ้ายที่ไม่ได้พกกระบี่และยิ่งไม่ได้สะพายกระบี่ แต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นมือกระบี่เพียงแค่ชูมือขึ้นสูงและยกนิ้วโป้งให้เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลัง

สุดท้ายเด็กหนุ่มตะโกนถาม “อาจารย์ กระบี่ของท่านอยู่ที่ใด?”

คนผู้นั้นเพียงแค่ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า “อยู่ในใจของข้า”

เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่มือกระบี่หนุ่มจะหัวเราะพลางพูดเสริมมาอีกหนึ่งประโยค

ท่ามกลางม่านราตรี คำสามคำสะท้อนก้องเบาๆ อยู่ในตรอก

“เร็วนักล่ะ!”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท