กู้ช่านประสานสายตากับเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน ข้าจะไหว้วานเจ้าเรื่องหนึ่งได้ไหม? ช่วยส่งท่านแม่ข้าออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนได้ไหม? ยกตัวอย่างเช่นกลับไปที่ตรอกหนีผิง หรือไม่ก็ส่งไปอยู่ข้างกายท่านพ่อข้า”
เฉินผิงอันถาม “แล้วเจ้าล่ะ?”
กู้ช่านกล่าว “เจ้าเคยบอกว่า ใช้เหตุผลหรือไม่ใช้เหตุผล อันที่จริงล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทน ค่าตอบแทนของการไม่มีเหตุผล ข้าเข้าใจแล้ว ค่าตอบแทนของการใช้เหตุผลที่เจ้าพูดถึง ข้าก็อยากจะลองทำดู การเดินทางไปตอนใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าจะไปกับเจิงเย่ เจ้าแค่ต้องส่งท่านแม่ข้าออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนก็พอ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง”
ราวกับว่าเขารอคอยประโยคนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว
กู้ช่านสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เฉินผิงอันก็สอดสองมือประสานกันไว้ในแขนเสื้อเช่นกัน พวกเขามองซากปรักตรงหน้าอยู่ด้วยกัน
หลังจากนั้นกู้ช่านก็กลับไปที่จวนชุนถิง เกี่ยวกับข้อตกลงใหม่ที่มีกับเฉินผิงอัน เขาไม่ได้เล่าให้มารดาฟังแม้แต่คำเดียว เพียงแค่เอ่ยประโยคปลอบใจนางเล็กน้อย
ส่วนเฉินผิงอันก็ไปเยือนนครน้ำบ่อมาหนึ่งรอบ
แผ่นป้ายสงบสุขปลอดภัยของต้าหลีแผ่นนั้น แม้จะพบหน้าซูเกาซานไม่ได้ แต่จะพบผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่ปักหลักเฝ้าพิทักษ์เมืองแห่งนี้กลับยังถือว่ามีน้ำหนักมากพอ
ผลกลับกลายเป็นว่าพอเขามาเยือนจวนสกุลฟ่านที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนาและได้พบหน้าผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นแล้ว คนทั้งสองต่างก็มองหน้ากันตาปริบๆ
กวนอี้หราน
เฉินผิงอัน
โลกมักจะกลมเช่นนี้เสมอ
กวนอี้หรานเกรงอกเกรงใจอย่างมาก ทั้งกระตือรือร้นและจริงใจ
แต่พอเฉินผิงอันบอกว่าจะส่งมารดาของกู้ช่านที่อยู่บนเกาะชิงเสียไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียน กวนอี้หรานกลับไม่ได้รับปาก แต่ทำงานไปตามหน้าที่ บอกว่าเรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เขาไม่อาจตัดสินใจได้เองโดยพลการ จำเป็นต้องแจ้งให้แม่ทัพใหญ่ซูเกาซานทราบ
เฉินผิงอันย่อมไม่มีความเห็นต่าง
นี่ต่างหากคือกฎเกณฑ์ที่สมควรมีในการกระทำเรื่องใดๆ ก็ตาม
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนปะปนซับซ้อน ไม่แยกแยะส่วนรวมและส่วนตัว มองดูเหมือนใช้วิธีแสวงหาความก้าวหน้าเดินทางลัด ความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนราบรื่นอย่างถึงที่สุด การคบค้าสมาคมหวานชื่นชั่วครั้งชั่วคราว แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทิ้งโรคร้ายไว้บนเส้นทางของชีวิตคน ไม่แน่ว่าวันใดอาจต้องเจอกับกรรมตามสนอง
กวนอี้หรานบอกว่าภายในสิบวัน ช้าสุดคือครึ่งเดือน แม่ทัพใหญ่ก็จะมอบคำตอบมาให้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย เขาจะแจ้งให้เฉินผิงอันทราบในทันที
คุยเรื่องงานกันเสร็จแล้ว
คนทั้งสองก็ดื่มเหล้าด้วยกันหนึ่งมื้อ เฉินผิงอันเป็นคนเลี้ยง
ก็เหมือนอย่างที่กวนอี้หรานผู้ฝึกตนหนุ่มของต้าหลีเคยพูดล้อเล่นตรงหน้าประตูเมืองแคว้นสือหาวแห่งนั้น ไม่ว่าเรื่องไหนก็ติดหนี้เขาได้ ทว่าแม้แต่เทพยดาบนสวรรค์ก็ไม่สามารถติดค้างเหล้าเขากวนอี้หรานได้
แม้ว่ากวนอี้หรานจะเป็นหลานทวดของเจ้าประมุขสกุลกวนอันเป็นเสาหลักของต้าหลีในปัจจุบัน แต่ก็เหมือนที่เฉินผิงอันคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้ ยิ่งเป็นลูกหลานขุนนางที่มีภาระรับผิดชอบเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นความสำคัญกับสองคำว่ากฎเกณฑ์มากเท่านั้น หากเปลี่ยนมาเป็นกู้ชานที่มาที่นี่ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งกว่ากวนอี้หรานจะให้เขากินน้ำแกงประตูปิด อีกทั้งช่วงนี้คนอย่างพวกหวงเฮ้อก็คอยเป่าหูกวนอี้หรานอยู่ไม่น้อยจริงๆ มีเจตนาชั่วร้าย แต่วิธีที่ใช้ไม่ถือว่าฉลาด กวนอี้หรานมองออกในทันที ต้องรู้ว่าสกุลกวนคือเสาหินที่ตั้งอยู่กลางกระแสน้ำของวงการขุนนางต้าหลีมานานถึงสองร้อยปี สำหรับกลอุบายประเภทนี้ เขาเห็นมานักต่อนักแล้ว กวนอี้หรานถึงขั้นรู้สึกวาพวกหวงเฮ้อยังไม่นับว่าฉลาดพอ ต่อให้สามารถใช้กู้ช่านคนหนึ่งมาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในระยะสั้นได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่ออยู่บนเส้นสายของเขากวนอี้หรานนี้ ก็อย่าหวังว่าจะมาทาบทามติด ผลได้ผลเสียที่อยู่ในนั้น หวงเฮ้ออาจคิดได้แล้ว เพียงแต่ว่าผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าล่อลวงใจมากเกินไป หรือหากคิดไม่ได้ก็เป็นเพราะเขาไม่อาจคาดการณ์ได้ถึงความลึกล้ำของรากฐานตระกูลกวนอี้หรานเลย และกวนอี้หรานเองก็ไม่เคยเปิดเผยตัวตนของตัวเองต่อคนนอกมาก่อน
ทว่าเรื่องวงในเหล่านี้ก็เหมือนอย่างที่เฉินผิงอันไม่เคยเล่าคำเตือนของหลิวเหล่าเฉิงให้หลี่ฝูฉวีฟัง ต่อให้กวนอี้หรานจะรู้สึกถูกชะตากับเฉินผิงอันมากแค่ไหน แต่ก็ไม่มีทางนำพวกคนอย่างหวงเฮ้อ เถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลินมาเป็นหัวข้อพูดคุยในวงเหล้าอย่างแน่นอน
สิบวันผ่านไป กระบี่บินส่งข่าวจากนครน้ำบ่อก็มาถึงเกาะชิงเสีย กวนอี้หรานบอกกับเฉินผิงอันว่าท่านแม่ทัพใหญ่ซูเกาซานรับปากเองว่า มารดาของกู้ช่านสามารถนั่งโดยสารเรือตระกูลเซียนกลับไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนได้ แต่ห้ามนำเงินเทพเซียน หรือสมบัติในคลังลับของเกาะชิงเสียออกไปด้วยมากนัก ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เฉินผิงอันก็จำเป็นต้องมอบป้ายสงบสุขปลอดภัยคืนให้แก่ต้าหลี อีกทั้งในเอกสารคดีของเขาที่อยู่ในที่ว่าการกรมพิธีการก็จะเท่ากับว่าสูญเสียยันต์คุ้มกันกายของผู้ฝึกตนอันดับต้นของต้าหลีไปอย่างสิ้นเชิง วันหน้าหากคิดจะได้มาครอบครองอีกครั้งก็จำเป็นต้องอาศัยคุณความชอบแลกมา
เฉินผิงอันตอบรับอย่างไม่ลังเล
ทางฝ่ายของจวนชุนถิง สตรีแต่งงานแล้วที่จู่ๆ ก็ได้ยินข่าวนี้รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ประหนึ่งได้ยินข่าวร้ายที่ใหญ่เทียมฟ้า
หลังจากสงบสติอารมณ์ลงแล้ว เห็นว่าทั้งเฉินผิงอันและกู้ช่านต่างก็ไม่พูดอะไรราวกับนัดกันมา สตรีแต่งงานแล้วก็คล้ายจะยอมรับชะตากรรม สอบถามเฉินผิงอันว่ากู้ช่านจะทำอย่างไร แล้วยังพูดว่าหากนางไม่อาจออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยนได้พร้อมกับกู้ช่าน ต่อให้ตายนางก็ไม่มีทางไปจากเกาะชิงเสีย
กู้ช่านมองมาทางเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ออกไปพร้อมกันได้ การเดินทางไปยังกลุ่มภูเขาทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าสามารถไปเองได้”
กู้ช่านถาม “ท่านแม่ข้ากลับตรอกหนีผิงคราวนี้จะปลอดภัยไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ซูเกาซานก็ดี กวนอี้หรานก็ช่าง ขอแค่ตกปากรับคำแล้วก็ล้วนเชื่อถือได้ หากไม่วางใจจริง ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะสามารถกลับไปพร้อมกับท่านแม่ของเจ้า เรื่องบางอย่าง ขอแค่เจ้าอยากทำด้วยความจริงใจก็ล้วนทันเวลาเสมอ”
กู้ช่านจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด
สตรีแต่งงานแล้วถามอย่างขลาดๆ “วันหน้ายังกลับมาอีกได้ไหม?”
เฉินผิงอันเอ่ย “มีโอกาสนี้ แต่ตอนนี้ข้าไม่กล้ารับประกัน”
หลังจากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ถามถึงรายละเอียดอีกมากมายในการหวนคืนสู่บ้านเกิด เฉินผิงอันไล่ตอบไปทีละคำถาม เห็นได้ชัดว่าทุกเรื่องที่นางคิดถึง เฉินผิงอันก็คิดถึงเหมือนกัน ถึงขั้นที่ว่าเขายังคิดถึงเรื่องที่สตรีแต่งงานแล้วนึกไม่ถึงด้วย
นี่ทำให้สตรีแต่งงานแล้วที่จิตใจเหมือนถูกมีดกรีดพอจะผ่อนคลายขึ้นได้หลายส่วน
สามารถนำสมบัติส่วนหนึ่งของจวนชุนถิงกลับไปได้ ยกตัวอย่างเช่นเงินเทพเซียนกองใหญ่ และยังสามารถเลือกสาวใช้ห้าหกคนในจวน พวกอักษรภาพ ของเล่นโบราณทั้งหลายก็มีอยู่ถึงสามหีบใหญ่ อีกทั้งนางยังสามารถเลือกสมบัติวิเศษสิบชิ้นและสมบัติอาคมหนึ่งชิ้นในคลังลับของเกาะชิงเสียไปได้ด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นสตรีแต่งงานแล้วที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์อันฮึกเหิมก็ทำเหมือนกับมดย้ายรัง ดั่งนกนางแอ่นคาบดินมาก่อร่างสร้างรังตัวเองดุจครั้งที่ยังอยู่ในตรอกหนีผิงปีนั้น
เฉินผิงอันไม่สนใจเรื่องพวกนี้อีก ล้วนเป็นกู้ช่านที่คอยอยู่เคียงข้างนาง
สุดท้ายกู้ช่านมาหาเฉินผิงอันที่เรือนหน้าประตูภูเขา บอกว่าเขาคิดจะไปเป็นเพื่อนมารดา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่วางใจ
เฉินผิงอันตอบรับด้วยรอยยิ้ม
คนทั้งสองนั่งอาบแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูหนาวอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่เฉินผิงอันสร้างขึ้นเองกับมือ
กู้ช่านเอ่ยถาม “เจ้าไม่กลัวว่าข้าไปแล้วจะไม่กลับมาหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เรื่องที่ข้ากลัวที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว และข้าก็เผชิญหน้ากับมันแล้ว ยากที่จะรู้สึกผิดหวังได้อีก”
ในมือของกู้ช่านถือเตาอุ่นมือที่เฉินผิงอันยื่นส่งมาให้ก่อนหน้านี้ “ขอโทษนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เหมือนกัน ตอนนั้นข้าได้เตรียมใจต่อผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด และก่อนหน้านี้ก็ได้บอกกับเจ้าไปแล้ว ข้ามีสัญญาสิบปีกับแม่นางคนหนึ่ง หากต้องใช้เวลามากมายขนาดนั้นอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ข้าก็คงต้องจากไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไปเยือนภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อพบนาง เล่าให้นางฟังถึงต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้น แล้วค่อยกลับมายังทะเลสาบซูเจี่ยน ตอนนั้นเจ้าพูดไว้ว่าอย่างไร? ไปเถอะ ขอแค่ยังกลับมาจริงๆ ต่อให้สิบปีร้อยปีให้หลัง หรือช้าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “แต่ตกลงกันก่อนว่า หากเจ้ามาช้า ก็สู้ไม่มาเสียยังดีกว่า”
กู้ช่านพยักหน้ารับ “ไม่มีทาง เชื่อใจข้าสักครั้ง”
เฉินผิงอันผงกศีรษะ
ปลายปีของปีนี้ ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนยังไม่มีหิมะตกแม้แต่ครั้งเดียว
วันนี้เถียนหูจวินแห่งเกาะซู่หลินสั่งให้คนนำเรือหอเรือนลำหนึ่งมาจอดที่ท่าเรือของเกาะชิงเสีย สตรีแต่งงานแล้วพาสาวใช้ลักษณะท่าทางน่าเอ็นดูไปด้วยหกคน รวมไปถึงหีบหลายใบ พากันขึ้นเรือมา
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่หัวเรือเป็นเพื่อนกู้ช่าน
นอกจากเอ่ยทักทายในช่วงแรกแล้ว เถียนหูจวินก็ไม่ได้ปรากฏตัวอีก ไม่รู้ว่ากำลังพิจารณาและประเมินสถานการณ์หรือในใจมีความละอาย แต่สรุปก็คือนางไม่ได้เผยตัว
กู้ช่านเอ่ยเบาๆ “เพื่อเรื่องนี้คงต้องสิ้นเปลืองเงินทองอีกกระมัง”
เฉินผิงอันหิ้วเตาไฟใบเล็กใบนั้น “ก่อนหน้านี้ช่วยบ้านเจ้าแย่งน้ำ โดนคนทุบตีก็หลายครั้ง ถึงขั้นตอนที่ไปเป็นช่างปั้นแล้ว เนื่องจากพอมีเวลาว่างก็ต้องกลับเมืองเล็กมาช่วยบ้านเจ้าทำนา ข่าวลือและคำนินทาที่ผู้คนพูดกันระคายหูจนปีนั้นข้าเกือบจะทนไม่ได้ ความรู้สึกย่ำแย่แบบนั้นไม่ได้ดีไปกว่าการที่ต้องเสียวัตถุนอกกายพวกนี้ในตอนนี้เลย อันที่จริงยังทรมานกว่าด้วยซ้ำ มันทำให้ข้ารู้สึกเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า รู้สึกว่าจะช่วยก็ไม่ใช่ ไม่ช่วยก็ไม่ใช่ ไม่ว่าทำอย่างไรก็ล้วนผิดไปหมด”
อันที่จริงกู้ช่านไม่ค่อยสนใจพวกสตรีปากยื่นปากยาวพวกนั้นสักเท่าไหร่ เขาใช้ไหล่ชนกระทบไหล่เฉินผิงอันเบาๆ “เฉินผิงอัน จะบอกความลับอย่างหนึ่งแก่เจ้า อันที่จริงปีนั้นข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าหากเจ้ามาเป็นพ่อของข้าจริงๆ ก็ไม่ได้แย่ หากเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่น กล้าเข้ามาอยู่ในบ้านข้าก็คอยดูเถิดว่าข้าจะฉี่ใส่ชามข้าว อึใส่ถังข้าวสารบ้านเขาหรือไม่”
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึนทันใด ตบผลัวะเข้าที่ศีรษะกู้ช่านเต็มแรง
กู้ช่านยิ้มหน้าเป็น “ล้อเล่นน่า อย่าได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง”
แต่แล้วกู้ช่านก็รู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย “บอกตามตรง ข้าไม่มีความทรงจำต่อบิดาเลยสักนิด ไม่รู้เลยว่าเมื่อเจอหน้ากันแล้วควรจะพูดอะไร”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ”
มาถึงนครน้ำบ่อ กวนอี้หรานเป็นผู้มาต้อนรับด้วยตัวเอง เฉินผิงอันที่ลงมาจากเรือพูดคุยกับเขาอย่างถูกคอ นี่ทำให้เถียนหูจวินที่รออยู่ชั้นบนของเรือหอเรือนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง
กู้ช่านพูดกับเฉินผิงอันในขณะที่อำลากันว่า “วางใจเถอะ อีกไม่นานข้าก็จะกลับมา ไม่แน่ว่าเจ้าอาจไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน ไปทำธุระของเจ้าได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันที่หิ้วเตาไฟพยักหน้ารับ มองส่งพวกเขาจากไป บนลานกว้างหยกขาวของสุกลฟ่านนครน้ำบ่อมีเรือข้ามฝากตระกูลเซียนลำหนึ่งที่ซูเกาซานจัดหามาให้จอดรอไว้อยู่แล้ว มีผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งนั่งบัญชาการณ์อยู่ด้านใน นอกจากนี้ก็มีผู้ฝึกตนติดตามกองทัพอีกสองคน
ตอนนี้ตลอดทั้งแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปล้วนเป็นอาณาเขตของต้าหลี อันที่จริงต่อให้ไม่มีเซียนดินโอสถทองก็ไม่มีทางมีอันตรายมากนัก
เรือข้ามฟากทะยานขึ้นกลางอากาศช้าๆ
เฉินผิงอันดึงสายตากลับคืนมา กวนอี้หรานที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้มกล่าวว่า “เรื่องของเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าแค่เคยได้ยินมาบ้าง รู้ว่าที่เกาะชิงเสียมีนักบัญชีประหลาดอยู่คนหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจสักเท่าไหร่ แต่พอค้นพบว่าที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง ช่วงนี้ข้าเลยเลือกรายงานเกาะปุยหลิวมาบางส่วน รวมไปถึงหารายงานของสายลับศาลาคลื่นมรกตมาทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งอีกสักหน่อย จำต้องพูดว่านี่เป็นวิธีการที่โง่เง่าที่สุดจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “กลึงหินให้เป็นกระจก สะสมหิมะให้เป็นธัญญาหาร หากสำเร็จขึ้นมาได้จริงๆ ล่ะ?”
กวนอี้หรานกล่าว “แต่หากไม่เป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีทางปลุกความกล้าเขียนจดหมายเพิ่มอีกฉบับหนึ่งไปเร่งท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าไม่ได้คิดจะทวงความดีความชอบหรอกนะ แล้วก็ยิ่งไม่ได้เอ่ยชื่นชมตัวเอง แต่เป็นเพราะตอนนี้ข้ายังนึกกลัวไม่หาย เจ้าไม่รู้นิสัยของท่านแม่ทัพใหญ่พวกเรา หัวหน้ากองของข้าในช่วงแรกเริ่มสุด ซึ่งตอนนี้ก็ถือว่าเป็นแม่ทัพที่กุมอำนาจอย่างแท้จริงแล้ว บวกกับผู้บัญชาการณ์ของข้าในตอนนี้ เวลาปกติมักจะเป่าหนวดถลึงตาใส่พวกเรา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ถูกชะตาราวกับพ่อตาเจอกับลูกเขยอย่างไรอย่างนั้น แต่พอพวกเขาได้เจอกับท่านแม่ทัพใหญ่ แต่ละคนราวกับหนูกลัวแมว เอ่ยประจบยกยอกันโดยไม่รู้สึกอายแม้สักนิด ดังนั้นข้าจะต้องขอเหล้าสองกาจากเจ้ามาดื่มระงับความตกใจสักหน่อย”
เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แล้วก็ร่วมดื่มเหล้ากับกวนอี้หรานและสหายของเขาอีกสองสามคน ค่าเหล้าล้วนเป็นเฉินผิงอันที่ออก พวกคนยากจนอย่างพวกเขาจึงสั่งกับแกล้มมาจากตระกูลฟ่านหลายจาน เนื่องจากมีกฎเกณฑ์ค้ำคออยู่ ต่อให้นั่งอยู่บนกองเงินกองทองก็ไม่มีใครกล้ากินเนื้อชิ้นโตกินปลาชิ้นใหญ่ จึงได้แต่อาศัยบารมีของกวนอี้หราน กว่าจะคว้าตัวคนซื่อที่ตามใครไม่ทันมาได้สักคนไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นพวกเขาจึงขูดรีดกันเต็มที่ ไม่ออมมือแม้แต่น้อย ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่มีนามว่าอวี๋ซานฝางคือผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ เพียงแต่ว่าตอนอยู่ที่เขตการปกครองของแคว้นสือหาวยังมีระดับขั้นเท่าเทียมกับกวนอี้หราน ทว่าตอนนี้เขากลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ชายฉกรรจ์บ่นไม่หยุด บอกว่าเจ้าหน้าขาวกวนอี้หรานผู้นี้ได้เกิดในครรภ์ที่ดี เขาไม่ยอม กวนอี้หรานกลับโคลงศีรษะ ยิ้มหน้าเป็นบอกว่าไม่ยอมเจ้าก็มาสู้กับข้าสิ
ผลกลับกลายเป็นว่าอวี๋ซานฝางลังเลใจอยู่นาน สุดท้ายก็แค่ใช้หมัดหนึ่ง ‘ลูบ’ ลงบนไหล่ของกวนอี้หรานเบาๆ จากนั้นก็หัวเราะหึหึ เปลี่ยนจากหมัดเป็นฝ่ามือ ปาดไล้เบาๆ อีกรอบหนึ่ง บอกว่าท่านแม่ทัพใหญ่กวนใจแคบดุจไส้ไก่ ความสามารถในการฆ่าศัตรูมีไม่มาก แต่ความสามารถในการจดจำแค้นกลับมีไม่น้อย ข้าหรือจะกล้า
มองสหายร่วมรบอย่างพวกเขาพูดแซวกันอย่างสนุกสนาน เฉินผิงอันก็แค่ยิ้มตามพลางดื่มเหล้า
จากนั้นกวนอี้หรานก็เล่าเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งในแคว้นสือหาว
อันที่จริงถือเป็นเรื่องน่าอายของพวกเขา
ตอนนั้นที่อยู่ในมณฑลกลับมีบัณฑิตผู้เฒ่าคร่ำครึคนหนึ่งที่เพิ่งย้ายจากเมืองหลวงมาอยู่ในเมือง ได้ยินว่าตระกูลของเขาใหญ่มาก เพียงแต่ว่าคนสองรุ่นตกอับจึงเทียบกับในอดีตไม่ติดแล้ว แม้แต่ขุนนางท้องถิ่นของแคว้นสือหาวที่อยู่ในมณฑลแห่งนั้นก็ยังไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา คนตระกูลนี้ให้ตายก็ไม่ยอมติดภาพเทพทวารบาลของต้าหลี
ดังนั้นอวี๋ซานฝางที่โมโหโทโสจึงพาทหารบุกไปเยือนถึงบ้าน แต่กลับต้องไปเห็นภาพเหตุการณ์ที่เขาลืมไม่ลงมาจนวันนี้
ตอนที่อวี๋ซานฝางพูดถึงเรื่องนี้ยังทอดถอนใจไม่หยุด ทั้งยังกระดกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่
—–