เฉินผิงอันเคาะประตูแล้วเดินเข้าไป
ผู้เฒ่าแซ่ชุยที่นั่งขัดสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นมองประเมินเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับผู้เฒ่า ด้านหลังสะพายเจี้ยนเซียน ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
ผู้เฒ่ารู้สึกว่ากระบี่เล่มนั้นเกะกะสายตาเล็กน้อย ส่วนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยังถือว่าดีหน่อย ชาวยุทธดื่มเหล้าสักนิดหน่อยจะเป็นไรไป “อาศัยแค่สิ่งของนอกกายเหล่านี้ ถึงได้มีชีวิตรอดออกมาจากพื้นที่สกปรกแห่งนั้นน่ะหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “พูดว่า ‘แค่’ ไม่ได้ แต่ว่าหากไม่มีกระบี่เล่มนี้ ข้าก็คงไม่รอดมาจริงๆ เกือบจะถูกผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนคนหนึ่งฆ่าตายบนเกาะชิงเสียของทะเลสาบซูเจี่ยน”
ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “หากเขาคิดจะฆ่าเจ้าจริงๆ มีหรือไม่มีกระบี่เล่มนี้ ไม่สำคัญเลยสักนิด”
เฉินผิงอันเอ่ย “ทว่าระหว่างฆ่ากับไม่ฆ่า หากไม่มีกระบี่เล่มนี้ ความเป็นไปได้ที่จะฆ่ากลับมีสูงมาก”
ผู้เฒ่าขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “บนเส้นทางของการเรียนวรยุทธ แน่นอนว่าต้องแสวงหาคำว่าบริสุทธิ์เต็มตัว แต่หากจงใจพาตัวเองไปตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงตายครั้งแล้วครั้งเล่าเพียงแค่เพราะพยายามจะทำให้ ‘บริสุทธิ์’ ได้มากที่สุดแล้วล่ะก็ ข้ารู้สึกว่าคงไม่ดีนัก เดินข้ามผ่านอันตรายมาได้ครั้งหนึ่ง ต่อให้มีครั้งที่สองครั้งที่สาม แต่ก็ต้องมีสักวันที่เจอกับหลุมที่ข้ามผ่านไปไม่ได้ ถึงเวลานั้นหากต้องตายก็คือตายจริงๆ ข้ารู้สึกว่าความบริสุทธิ์ของการฝึกหมัดต้องฝึกจิตใจให้ได้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาเสียก่อน ทำให้จิตใจไร้สิ่งสกปรกโสมม ถึงจะมีโอกาสกำจัดวัตถุนอกกายที่ปะปนมากับการออกหมัดหลังจบเรื่อง นี่ก็คือรากฐานของความบริสุทธิ์บนวิถีวรยุทธ ไม่เช่นนั้นเส้นทางการเรียนวรยุทธที่เดิมทีก็ขรุขระอีกทั้งยังยาวไกลอยู่แล้ว จะยิ่งเต็มไปด้วยอุปสรรคยากจะเดิน และยิ่งมีทางตันรออยู่เบื้องหน้า หากยังคงชอบบอกตัวเองว่าตายก็คือตาย แล้วจะเดินไปได้ไกลได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าวางสองหมัดค้ำยันไว้บนหัวเข่า ร่างโน้มเอียงมาด้านหน้าน้อยๆ แค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “ทำไม ออกไปพเนจรอยู่ข้างนอกมาไม่กี่ปีก็รู้สึกว่าความสามารถของตัวเองมีมากแล้ว เลยมีคุณสมบัติจะพูดจาวางโตโอ้อวดกับข้าแล้ว?”
เพียงแค่ผู้เฒ่าโน้มตัวมาด้านหน้าไม่กี่ส่วน ในห้องบนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ก็พลันมีปณิธานหมัดที่เปี่ยมล้นทะลักทลายเหมือนน้ำท่วมทำนบที่พุ่งซัดกรากเข้าหาเฉินผิงอัน
แม้แต่สือโหรวที่อยู่นอกเรือนไม้ไผ่ก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงที่ปานประหนึ่งอุทกภัยทลายทำนบนี้
เฉินผิงอันนั่งนิ่งไม่สะทกสะท้านอยู่ที่เดิม เรือนกายเป็นเช่นนี้ สภาพจิตใจก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ทั้งร่างกายและจิตใจล้วนเป็นเหมือนกัน
ในห้องเหมือนมีพายุลมกรดพัดกระหน่ำโหมแรง
เฉินผิงอันถอยกรูดออกไปด้านหลังอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่ว่าหลังของเขายังคงหยัดตรง ต่อให้หลังจะติดกำแพงแล้วก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงท่านั่งแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าถอนหายใจ ในสายตาคล้ายจะมีแววสงสาร “เฉินผิงอัน ท่องผ่านทะเลสาบซูเจี่ยนมาแล้วก็กลัวตายขนาดนี้เชียวหรือ? เจ้าไม่สงสัยหรือว่าเหตุใดตนเองถึงไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดของขอบเขตห้าดั่งน้ำมาคลองสำเร็จได้เสียที? เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเป็นเพราะตัวเองสยบมันเอาไว้? หรือเป็นเพราะเจ้าไม่กล้าสืบสาวให้ลึกลงไปกันแน่?”
เฉินผิงอันเงียบงันเป็นคำตอบ
ผู้เฒ่ามองคนหนุ่มผ่ายผอมที่นั่งหลังพิงผนังแล้วเอ่ยว่า “กลัวตายก็คือกลัวตาย เจ้าไม่กล้ายอมรับก็ช่างเถิด แน่นอนว่าเจ้าย่อมมีร้อยพันเหตุผลที่ทำให้กลัวตาย ข้าจะไม่หัวเราะเยาะเจ้าด้วยเรื่องนี้แม้แต่ครึ่งคำ แต่ว่าความคลุมเครือของเรื่องราวทางโลกก็อยู่ตรงนี้ ฝึกวรยุทธก็ดี ฝึกตนก็ช่าง ล้วนไม่สนว่าความคิดของเจ้าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ เพราะหลักการเหตุผลของเจ้าจะถูกต้องอยู่เสมอ แต่น่าเสียดายยิ่งนัก เจ้าไม่อาจใช้หลักการเหตุผลที่ถูกต้องของเจ้ามาโน้มน้าวจิตใจของตัวเองให้เชื่อได้ ตอนนี้เจ้าอยากจะฝึกกระบี่ ความคิดนี้ยิ่งนานก็ยิ่งฝังลึก ข้าเดาเอาว่าเวลาหลายปีที่เจ้าอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนมานี้ คงจะมีความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่หลายครั้ง มันเป็นดั่งเงาที่ล่องลอยและพุ่งวูบวาบอยู่เป็นระยะ แต่เจ้ากลับไม่รู้ตัว ดูเหมือนว่าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธจะไม่แข็งแกร่งมากพอ เซียนกระบี่ก็ช่างสง่างามยิ่งนัก นี่คือความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์ เจ้าไม่เคยเห็นข้าลงมืออย่างแท้จริงมาก่อน แต่เจ้ากลับเดินทางผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่มาแล้ว เชื่อว่าเซียนกระบี่ที่เจ้าได้เห็นมากับตาตัวเองคงไม่ใช่แค่คนสองคนเท่านั้น”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดคล้ายต้องการโต้แย้ง แต่ก็หยุดชะงักไป
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “การป้อนหมัดปีนั้นของข้า ออกหมัดมากเกินไป ทุกหมัดล้วนกะแรงอย่างเหมาะสม ปูเส้นทางของวิถีวรยุทธขอบเขตสามให้เจ้าอย่างราบเรียบเกินไป ดังนั้นถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากก็จริง แต่เส้นทางของเจ้ากลับ…ราบเรื่อย นี่ย่อมเป็นความร้ายกาจของตัวข้าเอง ไม่ทำร้ายจิตวิญญาณและพลังต้นกำเนิดดั้งเดิมของเจ้าแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ทำลายจิตใจของเจ้า แต่เซียนกระบี่ผู้สง่างามที่เจ้าเคยได้เห็นมากลับไม่มีทางจะสนใจความรู้สึกนึกคิดของผู้ฝึกยุทธตัวเล็กๆ อย่างเจ้า ปณิธานกระบี่ตัดสลับยาวไกลร้อยพันลี้ พลังอำนาจพุ่งทะยานแหวกชั้นฟ้า ราวกับว่าเพียงแค่เงื้อมือตบอย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้งก็สามารถตบให้เส้นทางบนหัวใจของเจ้าเกิดหลุมขนาดใหญ่ได้หลุมแล้วหลุมเล่า แล้วเจ้าก็ยังชอบบอกว่าตัวเองเป็นบัณฑิตครึ่งตัว ไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะชอบหันหลังกลับไปมองว่าตัวเองเดินแยกออกมาจากเส้นทางหรือไม่ ไม่เคยคิดเลยว่าทุกครั้งที่หันกลับก็เท่ากับเป็นการได้เห็นหลุมเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่ไม่รู้ตัว ประหนึ่งคนจ้องเหวลึก จ้องมองบ่อลึกแล้วจมลงไปโดยที่ไม่อาจถอนตัวได้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตอนอยู่ที่นครมังกรเฒ่า ข้าตระหนักได้ถึงข้อนี้แล้ว การออกกระบี่ของเซียนกระบี่จั่วโย่วที่ร่องเจียวหลงสร้างอิทธิพลให้แก่ข้าอย่างใหญ่หลวง บวกกับที่ก่อนหน้านั้นเคยเห็นเว่ยจิ้นใช้หนึ่งกระบี่แหวกม่านฟ้า และยังมีการออกกระบี่บนทะเลเมฆของฟ่านจวิ้นเม่าแห่งนครมังกรเฒ่าที่บินเข้าหาเกาะกุ้ยฮวา…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็มีสีหน้าเคร่งเครียด “แต่หลังจากเข้าไปอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ก็ใช่ว่าข้าจะไม่รู้สึกตัวเลยอย่างที่ท่านผู้อาวุโสพูด ในความเป็นจริงแล้วกลับตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ข้าตระหนักได้แล้วว่าควรจะค่อยๆ ลดทอนอิทธิพลนี้ไป”
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดัง “ทุกครั้งที่โยนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำยังต้องระมัดระวัง พยายามไม่ทำให้น้ำในบ่อสาดกระเซ็น เจ้าเติมมันให้เต็มได้หรือ?”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง เขายื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ถามว่า “ขอถามผู้อาวุโส ถ้าอย่างนั้นข้าควรทำอย่างไร?”
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียดสี “ดูท่าการเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนจะไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าอิดโรยทั้งกายและใจ แม้แต่สมองที่เดิมทีนับว่าพอจะฉลาดเฉลียวก็ยังเกิดสนิมไปด้วย”
เฉินผิงอันทำเพียงแค่จ้องมองผู้เฒ่านิ่งๆ
ผู้เฒ่าเงียบคิดไปครู่หนึ่ง “ยังดีที่ของบางอย่างยังไม่ได้โยนทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นก็ไร้ทางเยียวยาแล้วจริงๆ”
ผู้เฒ่ายกหมัดข้างหนึ่งขึ้นมา “เรียนวรยุทธ”
แล้วก็ยกหมัดอีกข้างขึ้นตาม ประกบนิ้วสองนิ้วเข้าด้วยกัน “ฝึกกระบี่”
จากนั้นผู้เฒ่าก็เก็บมือทั้งสองข้างลง ลุกขึ้นยืน หลุบตาจากที่สูงมองต่ำมายังเฉินผิงอัน “ต่อให้สามารถฝึกได้ทั้งสองอย่าง แต่จะแบ่งหลักรองอย่างไร? เมื่อแบ่งหลักรองแล้ว แล้วตอนนี้จะแบ่งก่อนหลังอย่างไร? ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ทุกเรื่องปนกันเป็นแป้งเปียกก้อนหนึ่ง วันๆ เงอะงะมึนงง ก็สมควรแล้วที่เจ้ามัวเดินอ้อมวนอยู่ด้านนอกของด่านที่เปิดประตูเมืองอ้ารอต้อนรับ แล้วยังบอกกับตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า ไม่ใช่ว่าฝ่าทะลุคอขวดไม่ได้ ก็แค่ไม่อยากทำเท่านั้น จะว่าไปแล้วการเลื่อนสู่ขอบเขตหกของเจ้าก็ง่ายดายมากจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ต่างจากคนที่ขี้เต็มกางเกงเดินเข้าห้องมาแล้วเข้าใจผิดคิดว่าเข้ามาแล้วจะสามารถเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าสะอาดได้ อันที่จริงขี้เหล่านั้นก็ถูกนำเข้ามาในห้องด้วย ไม่อยู่บนร่าง ก็ยังอยู่ในห้องอยู่ดี ดีที่ว่าด้วยสาเหตุนานาประการทำให้เจ้าจับผลัดจับผลูไม่ได้ฝ่าทะลุขอบเขตเสียที ไม่อย่างนั้นหากเลื่อนจากขอบเขตห้าสู่ขอบเขตหกทั้งอย่างนี้ ก็ยังจะมีหน้าเดินขี้เปื้อนเต็มตัวขึ้นมาพบหน้าข้าบนชั้นสองของเรือนอีกหรือ?”
ผู้เฒ่ากระทืบเท้าเบาๆ
แผ่นหลังของเฉินผิงอันก็ถูกพายุลมกรดที่พุ่งมาปะทะหน้าพัดให้แนบติดกับผนังอย่างแนบแน่น จำต้องใช้ข้อศอกดันผนังเรือนไม้ไผ่เอาไว้ พยายามไม่ให้ท้ายทอยติดกับผนัง
ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างว่ายวนไปตามช่องโพรงเหมือนมังกรเพลิง
ผู้เฒ่าหรี่ตามองไป แต่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม แล้วทันใดนั้นก็ยกเท้าถีบไปทางหน้าผากของเฉินผิงอัน เสียงปังดังสนั่นหวั่นไหว ท้ายทอยของเฉินผิงอันกระแทกเข้ากับผนังอย่างแรง ปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในร่างขุมนั้นก็หยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ ประหนึ่งมีภูเขาหนักอึ้งลูกหนึ่งที่กดทับให้มังกรเพลิงตัวนั้นได้แต่นอนหมอบอยู่กับที่แต่โดยดี
ผู้เฒ่าจุ๊ปากพูด “เฉินผิงอัน เจ้าไม่เคยคิดมาก่อนจริงๆ หรือว่า เหตุใดตัวเองไม่ได้ฝึกหมัดมาสามปี แต่ยังทนรับการโจมตีได้? ต้องรู้ว่าตอนที่ไม่ฝึกหมัด ปณิธานหมัดสามารถขัดเกลาตัวเองได้ ทว่าร่างกายจะทนได้ไหวหรือ? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองจริงๆ หรือไร? ไม่เคยทบทวนถามใจตัวเองดูบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันหายใจยากลำบาก สีหน้าบูดเบี้ยว
เขารู้มาแต่แรกแล้วว่าการเดินทางกลับเรือนไม้ไผ่ครั้งนี้มีความยากลำบากรออยู่ เพียงแค่คิดไม่ถึงว่าจะตรงไปตรงมาขนาดนี้
ทว่าคำถามนี้ของผู้เฒ่ากลับทำให้ในใจของเฉินผิงอันเหมือนได้ ‘รั้งม้าที่หน้าผา’ ความคิดและจิตใจหยุดนิ่งเหมือนม้าที่ถูกผูกไว้ ละทิ้งการสยบพายุลมกรดของผู้เฒ่าไว้ชั่วคราว ทำใจให้สงบรวบรวมลมปราณ เพ่งสมาธิครุ่นคิดถึงคำถามที่ก่อนหน้านี้คล้ายจะเคยนึกถึง แต่กลับปล่อยผ่านเลยไป
ผู้เฒ่ายกเท้าขึ้นอีกครั้ง ปลายเท้าเตะเข้าที่หน้าท้องของเฉินผิงอันที่ร่างแนบติดกำแพง ปณิธานหมัดที่เป็นพายุลมกรดโจมตีเข้าใส่มังกรเพลิงปราณแท้จริงที่เล็กบางเส้นนั้นพอดี
เฉินผิงอันพอจะสัมผัสได้ว่าหัว หางและกรงเล็บทั้งสี่ของมังกรเพลิงตัวนั้นพลันระเบิดเสียงราวจุดประทัดสามพวง คล้ายเสียงฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิอยู่ตรงนอกประตูหัวใจของตัวเอง
ผู้เฒ่าเอ่ย “เห็นได้ชัดว่ามีผู้ฝึกตนที่ใช้วิชาเฉพาะซึ่งสูงส่งอย่างถึงที่สุดแอบหล่อเลี้ยงปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนี้ไว้ในร่างของเจ้า หากข้าดูไม่ผิด ต้องเป็นยอดฝีมือของลัทธิเต๋าบางคนที่ปลูกเมล็ดพันธ์เปลวเพลิงสามเมล็ดไว้ตรงหัวของมังกรเพลิงปราณที่แท้จริง เพื่อใช้เป็น ‘เรือนในตำหนักสวรรค์’ แห่งหนึ่งของลัทธิเต๋า ใช้วิธีการหลอมไฟมาช่วยให้เจ้าทะลวงข้อต่อกระดูกตลอดร่างของมังกรตัวนี้ไปทีละชุ่น เป็นเหตุให้กระดูกในร่างเจ้ามีหวังจะเปล่งประกายแสงเจิดจรัส กระโดดข้ามขอบเขตหกไปช่วยสร้างรากฐานขอบเขตร่างทองให้เจ้าไว้ก่อน ซึ่งผลลัพธ์ของมันจะเหมือนโครงกระดูกทองหยกที่ผู้ฝึกตนแสวงหา ลงทุนไม่มาก แต่วิธีการกลับอัศจรรย์ กะกำลังไฟได้อย่างพอดิบพอดี บอกมาเถอะว่าเป็นใคร?”
เฉินผิงอันทำหน้ามึนงง
ในเมื่อผู้เฒ่ามองออกถึงรากฐานของเขาแล้วก็ไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้เฉินผิงอันอีก เขาเก็บพลังอำนาจทั้งหมดมา เฉินผิงอันที่นั่งพิงผนังเหงื่อรินลงมาตามไขสันหลัง
สุดท้ายความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในหัวของเฉินผิงอัน เขาจึงยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “ข้าเคยเจอกับอาจารย์ของสหายคนหนึ่ง ฉายาของเขาคือฮว่อหลง (มังกรเพลิง) เจินเหริน ตอนนี้มานึกดูแล้ว ก่อนจะจากลากันคราวนั้น นักพรตที่สวมชุดคลุมเต๋าปักลายมังกรเพลิงคนนั้นก็ยื่นนิ้วมาชี้ข้าผ่านความว่างเปล่าอยู่สองสามที”
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าขมวดคิ้ว “เหตุใดเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ถึงต้องมอบโชควาสนาให้เจ้าเปล่าๆ ด้วย?”
บนเส้นทางของการฝึกตน โชคและภัยมักจะมาพร้อมกัน จะไม่ตรวจสอบไม่ได้
เฉินผิงอันเช็ดเหงื่อ ยิ้มกล่าว “ข้าก็แค่มอบตราประทับขนาดเล็กที่มาจากฝีมือแกะสลักของเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ให้กับสหายคนนั้นก็เท่านั้น”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ผู้ฝึกตนบนยอดเขาไม่ยินดีเสียเปรียบ กลัวว่าผลกรรมจะติดตัว เจ้ามอบให้ เขาก็มอบกลับคืน นี่ก็พอจะอธิบายได้แล้ว”
แต่แล้วจู่ๆ ผู้เฒ่าก็ถามขึ้นว่า “เท่านั้น?”
ไม่รอให้เฉินผิงอันพูดอะไร
ผู้เฒ่าก็ยกเท้าถีบออกไป หัวของเฉินผิงอันเหมือนถูกทุบด้วยค้อนหนัก กระแทกโดนผนังแล้วหมดสติไปทันที ผู้เฒ่าไม่เปิดโอกาสให้เฉินผิงอันด่ามารดาเขาในใจเลยแม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “อายุยังน้อยแต่ทำตัวเป็นคนแก่ กวนโอ้ยจริงๆ”
แล้วก็เตะให้ร่างของเฉินผิงอันลอยกระแทกโดนผนังซ้ำอีกรอบ พอร่างเขาร่วงตกลงมาก็เด้งกระดอน เพิ่งจะฟื้นคืนสติมาจากความเจ็บปวดเมื่อครู่นี้ก็ต้องมาหมดสติเพราะความเจ็บปวดที่ตามมาอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้เฒ่าไม่ได้จงใจปกปิดลมปราณและถ้อยคำ
แค่ผีสาวที่สิงร่างอยู่ในคราบร่างเซียนตนหนึ่งจะนับเป็นอะไรได้
ใต้ชายคาเรือนไม้ไผ่ ผีสาวสือโหรวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่สีเขียวมรกตกระวนกระวายไม่เป็นสุข นางกลืนน้ำลาย แล้วจู่ๆ ก็พลันรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับเฉินผิงอันที่แค่ขึ้นเรือนไปก็ถูกซ้อมอย่างโหดเหี้ยมทารุณแล้ว ช่วงเวลาหลายปีที่นางอยู่บนภูเขาลั่วพั่วนี้ก็ช่างมีชีวิตสุขสบายดั่งเทพเซียนจริงๆ
—–