ช่วงตงจื้อ (หรือวันเหมายัน เป็นวันที่ซีกโลกเหนือเส้นศูนย์สูตรมีกลางคืนยาวที่สุดและกลางวันสั้นที่สุด) แม้ว่าเวลากลางวันจะสั้นที่สุด เงาคนยาวที่สุด แต่ในความเป็นจริงกลับเป็นช่วงเริ่มต้นที่พลังหยางในฟ้าดินกลับคืนมาสูงอีกครั้ง
ฮ่องเต้ของแต่ละแคว้นในแจกันสมบัติทวีปจะต้องขึ้นภูเขาในวันนี้ ต่อให้ไม่สามารถไปเยือนได้ด้วยตัวเองก็จะต้องให้ขุนนางระดับขั้นสูงของกรมพิธีการไปจุดธูปที่ศาลเทพภูเขา
ไม่ต่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนสักเท่าไหร่ ทางฝั่งของแคว้นเหมยโย่วนี้ก็มีประเพณีนิยมในการฉลองปีใหม่เล็กเช่นกัน (หรือเสี่ยวเหนียน หนึ่งสัปดาห์ก่อนถึงวันตรุษจีน) แม้ว่าจะเป็นครอบครัวที่ยากจนก็ยังจัดเตรียมเกี้ยว น้ำแกงเนื้อแกะหรือไม่ก็ข้าวเหนียวเอาไว้ตามขนบธรรมเนียมของแต่ละท้องถิ่น
พวกเฉินผิงอันสามคนที่เดินทางด้วยม้ากำลังกินข้าวเหนียวปั้นที่ซื้อมาจากตลาด พวกเขากำลังเดินทางกลับจากเมืองจิงโจวที่อยู่ทางทิศใต้ที่สุดของแคว้นเหมยโย่ว
ด่านแห่งหนึ่งริมชายแดน เฉินผิงอันหยุดม้าไม่เดินหน้าต่อ แต่บอกให้เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ผ่านด่านกันไปก่อน ส่วนเฉินผิงอันขี่ม้าตรงไปทางเนินเขาแห่งหนึ่งเพียงลำพัง หลังจากขึ้นไปบนยอดเนินแล้วก็มีผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งกำลังเดินลงจากเนินมาช้าๆ พอดี เฉินผิงอันพลิกตัวลงจากหลังม้า ผู้ฝึกตนเฒ่าใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปที่พูดได้ไม่คล่องนักเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่รู้จักข้า แต่ข้าคุ้นเคยกับเจ้ามากแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ลำบากผู้อาวุโสที่คอยคุ้มกันมาตลอดทางแล้ว”
ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดไม่สนใจน้ำเสียงเหน็บแนมในคำพูดของอีกฝ่าย ไม่ว่าใครที่ถูกจับตามองก็คงไม่มีทางรู้สึกสบายด้วยกันทั้งนั้น
ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มกล่าว “ข้าเคยเป็นผู้ฝึกตนของสำนักใบถง ดังนั้นตลอดทางที่อดทนข่มกลั้นมานี้จึงยากลำบากมากจริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เคยเป็น?”
ผู้ฝึกตนเฒ่ายังคงระงับปราณทั่วร่างไว้ที่ขอบเขตเซียนดินโอสถทอง บนผิวของเขามีประกายแสงไหลเวียนวนเหมือนแสงจันทร์แสงตะวันที่ไหลรินอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายคน เขาไม่ได้ตอบคำถามนี้ แต่มองประเมินคนหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้าคล้ายอยากจะมองให้เห็นสายสนกลใน ว่าอาศัยอะไรกันแน่ที่ทำให้เขากับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้นั้นกลายมาเป็น…สหายกัน? หรือเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก? ตอนนี้ยังบอกได้ยาก เพราะล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น แต่ว่าใต้หล้านี้ไม่มีความโชคดีใดที่ได้รับมาเปล่าๆ โดยเฉพาะบนภูเขา เพราะหากไม่ทันระวังก็อาจแพ้ทั้งกระดาน
ผู้ฝึกตนเฒ่ายืนอยู่บนยอดเขาของเนินขนาดเล็ก กวาดตามองไปรอบด้าน สายน้ำและขุนเขาของแคว้นเหมยโย่วมองดูแล้วช่างน่าเบื่อไร้รสชาติซะจริง ปราณวิญญาณก็บางเบา อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบทะเลสาบซูเจี่ยนได้ติด
ความลับบางอย่าง เขาไม่ได้บอกกล่าวแก่คนหนุ่มผู้นี้ ตอนนี้เขาใช้จิตหยินออกจากร่างเดินทางไกลมาถึงที่นี่ ใช้จิตหยางที่พกพาแผ่นใบถงที่สร้างขึ้นด้วยกลวิธีลับมาคอยคุ้มกันตัวเอง เพื่อใช้สิ่งนี้มาปกปิดร่องรอยที่แท้จริงของตน หลีกเลี่ยงไม่ให้การพบเจอกันครั้งนี้ถูกทางฝั่งของทะเลสาบซูเจี่ยนจับได้ การที่เขายินดีเสี่ยงอันตรายอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องผ่านการคิดพิจารณาอย่างลึกซึ้งและวางแผนการอันลึกล้ำมาแล้ว คนต่างถิ่นที่ถูกหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบมองเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของเกาะกงหลิ่วกลุ่มนี้ สามารถถูกคัดเลือกแล้วโยนมาไว้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนได้ ไม่มีคนใดที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน แน่นอนว่าตัวเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เพียงแต่ว่าบนมหามรรคา คิดจะขายชีวิตให้ใคร ก็ต้องดูที่ราคาด้วย
เขารู้สึกว่าราคาต่ำไปสักหน่อย
ต่อให้เขาจะถูกสำนักหยินหยางตัดสินแล้วว่าไม่มีหวังจะเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน แต่จะดีจะชั่วก็ยังเป็นก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า และยังมีอายุขัยเหลืออีกสองร้อยปี หากตัดใจทุ่มเงินก้อนใหญ่ต่อชีวิต จะมีชีวิตอยู่สักสามร้อยปีก็ยังเป็นไปได้
หลังจากที่ได้รับภารกิจลับครั้งนี้ เขาคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่านี่คือห่วงโซ่ของการยืมมีดฆ่าคนอย่างหนึ่ง คนนำทางที่เป็นห้าขอบเขตบนผู้นั้นถูกคนอื่นนำมาทำเป็นมีด ตนเองก็ไม่ต่างกัน น่าเสียดายก็แต่แจกันสมบัติทวีปไม่ใช่ถิ่นฐานของตน ตนไม่มีรากฐานอยู่ที่นี่ ไม่มีคนให้เอามาใช้งาน ไม่อย่างนั้นก็ค่อยหามีดอีกเล่มที่ลงมือฉับไวรวดเร็วสักหน่อย สมองช้าสักหน่อย ไม่แน่ว่าตนอาจจะแสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางความเสี่ยง สามารถคว้าทรัพย์สินก้อนใหญ่มาได้จริงๆ แน่นอนว่าก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลายมาเป็นตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน ยืมมีดกันไปกันมา ทุกคนจบเห่ไปพร้อมกัน ส่วนคนเบื้องหลังที่แท้จริงที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังคาดเดาตัวตนไม่ออกผู้นั้นก็จะมีชีวิตที่อิสระเสรีเป็นสุขอยู่คนเดียว
ผู้ฝึกตนเฒ่าถาม “ข้ามีการค้าที่ต่างฝ่ายต่างก็ได้รับผลประโยชน์อยู่อย่างหนึ่ง เจ้าจะตกลงหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไหนลองว่ามาสิ”
ผู้ฝึกตนเฒ่าคลี่ยิ้ม “แต่ข้าต้องได้รับคำสัญญาจากเจ้าก่อนว่า อย่างน้อยภายในเวลาหนึ่งร้อยปี เจ้าเฉินผิงอันจะไม่บอกให้ใครรู้ถึงข้อตกลงระหว่างพวกเรา”
เฉินผิงอันถาม “ต่อให้ข้ารับปาก ปัญหาก็คือเจ้ากล้าเชื่อหรือไม่?”
ผู้ฝึกตนเฒ่าพยักหน้ารับ “ข้าไม่เชื่อทั้งหมด แต่ก็จะต้องลองเดิมพันดูสักครั้ง ข้ายืนอยู่ตรงนี้ มาปรากฏตัวตรงหน้าเจ้าก็เป็นข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งแล้ว การฝึกตนบนภูเขา ขอแค่ตบะสูงกว่าข้า ต่อให้ข้ามองตื้นลึกไม่ออก แต่การที่ใช้เวลากับคนคนหนึ่งมานานขนาดนี้ การจะมองนิสัยของเขาให้ออกก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องยาก คนอย่างเจ้า ข้าเองก็เคยพบเจอมาไม่น้อย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนที่รู้จักในวัยหนุ่ม ผลกลับพบว่าคนอย่างพวกเจ้ามักจะตายกันเร็ว ตายไปกลางทาง ดังนั้นข้าจึงบอกว่านี่เป็นสัญญาที่ใช้เวลาแค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใกล้จะปีใหม่แล้ว รบกวนผู้อาวุโสพูดประโยคที่เป็นมงคลสักหน่อย”
ผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดท่านนี้ยิ้มบางๆ “หากข้าพูดกับเจ้าด้วยถ้อยคำที่มีมารยาทพิธีรีตอง เจ้าจะยิ่งไม่คลางแคลงใจหรอกหรือ? ไม่สู้มาทำการค้ากันดีกว่า?”
เฉินผิงอันรู้สึกว่าประโยคนี้กล่าวได้ไม่ผิด
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ขี่ม้าลงจากเนิน สีหน้าที่เดิมทีก็ไม่ค่อยน่าดู เวลานี้ยิ่งเหมือนกระดาษสีทอง ตัวเขาที่นั่งอยู่บนหลังม้าร่างโอนเอนเหมือนจะร่วงลงมา คล้ายคนที่เพิ่งผ่านหายนะครั้งใหญ่ที่ตัดสินเป็นตายมา เรือนกายและจิตใจที่เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งแทบเหมือนตะเกียงที่น้ำมันแห้งขอด
ทำเอาเจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ที่หยุดม้ารอหลังจากผ่านด่านมาแล้วตกใจอกสั่นขวัญหาย ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง
ก่อนหน้านี้คนทั้งในและนอกด่านล้วนมองเห็นแสงกระบี่โชติช่วงตรงตำแหน่งที่เฉินผิงอันหายตัวไป
เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่มีอะไร จบเรื่องแล้ว พวกเราเดินทางกันต่อ การเดินทางกลับครั้งนี้จะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างทางอีก ยังคงเป็นกติกาเดิม ถึงเวลานั้นพวกเจ้าไม่ต้องกลับไปทะเลสาบซูเจี่ยนพร้อมกับข้า”
ตอนที่อยู่บนเนินเขาแห่งนั้น ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดได้ถอนวิชาอภินิหารอำพรางตาออกไปแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของนางเป็นสตรีวัยกลางคนที่รูปโฉมธรรมดาคนหนึ่ง กลางหว่างคิ้วมีเลือดซึมออกมาหนึ่งเม็ด ถูกนางใช้ปลายนิ้วปาดทิ้งเบาๆ เพียงแต่ว่าร่องรอยเล็กน้อยแค่นั้น ไม่ว่าปรากฏอยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางคนใดที่ตั้งใจมองสักหน่อยก็ถือว่าเป็นการดำรงอยู่ที่ชัดเจนสะดุดตาอย่างถึงที่สุด
ทำการค้ากับคนหนุ่มผู้นั้น นับว่าวางใจได้ หลังจากทั้งสองฝ่ายตัดสินใจจะทำการค้ากันแล้วก็ปรึกษาในเรื่องรายละเอียดอย่างรอบคอบรัดกุม การหยั่งเชิงในหลายๆ ครั้ง คนหนุ่มล้วนถือว่ารับมือได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
นางแหงนหน้ามองม่านฟ้าแล้วประสานมือคารวะ พูดด้วยเสียงอันสั่นเทาที่ทั้งจริงใจทั้งหวาดกลัวว่า “หลี่ฝูฉวีต่ำช้าไร้ยางอาย ได้แต่ล่วงเกินวิญญูชน ไม่กล้าล่วงเกินคนถ่อย เสียมารยาทแล้ว”
ครู่หนึ่งต่อมา ฟ้าดินยังคงเงียบสงัด
สตรีวัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด น่าจะเป็นตนที่คิดมากเกินไป
แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้วุ่นวาย บุคคลและเหตุการณ์ที่อริยะผู้มีรูปปั้นตั้งบูชาท่านนั้นต้องจับตามองมีมากเกินไป เซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีป ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองต้าหลี ฮ่องเต้ราชวงศ์จูอิ๋ง ฯลฯ ไม่ว่าอย่างไรก็มาไม่ถึงคราวของนางกับเฉินผิงอันผู้นั้น ต่อให้หลิวจื้อเม่าที่ถูกจับขังอยู่ในคุกน้ำระดับล่างสุดจะบอกว่า ตอนนี้เฉินผิงอันพกหยกอริยะ ‘ข้าเชี่ยวชาญการบ่มเพาะจิตใจที่ซื่อตรงและยิ่งใหญ่’ แผ่นนั้นไว้ติดกาย แต่เกี่ยวกับอริยะผู้มีรูปปั้นตั้งบูชาที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าแห่งหนึ่ง นางพอจะรู้เรื่องวงในมาไม่มากก็น้อย ขอแค่โลกมนุษย์ใต้ฝ่าเท้าไม่มีการเข่นฆ่าที่เกินสมควรปรากฎขึ้น เขาก็ไม่มีทางย้ายสายตามาชำเลืองมองแม้แต่แวบเดียว ส่วนเรื่องที่คล้ายคลึงกับการที่บรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงลงมือไล่ล่าสังหารวานรสะพายกระบี่ด้วยตัวเองนั้น สร้างความอึกทึกครึกโครมมากเกินไป ย่อมต้องถูกอริยะของใบถงทวีปสังเกตเห็นในทันที
แต่ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานหมื่นปี
มารยาทบางอย่างที่สมควรต้องมี ถึงอย่างไรมีมากก็ดีกว่ามีน้อย มีดีกว่าไม่มี
หลังออกมาจากด่านของแคว้นเหมยโย่วแห่งนั้น ขณะที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงซึ่งกำลังจะเข้าสู่อาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันก็หันหน้ามามองสองคนด้านหลังที่ท่าทางเซื่องซึม แล้วพูดด้วยเสียงหัวเราะแหบพร่าว่า “ทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว ตลอดทางมานี้มีเรื่องให้ต้องคิดเยอะเหลือเกิน”
หม่าตู่อี๋ยกมือขึ้นกดหัวใจ “ท่านเฉิน ในที่สุดท่านก็คืนสติแล้ว ตลอดทางมานี้หากไม่เหม่อลอยก็ขมวดคิ้ว แล้วก็ไม่ได้ดื่มเหล้ามานานแล้วด้วย พวกเราสองคนตกใจกันแทบตายอยู่แล้ว”
เจิงเย่พยักหน้ารับอย่างแรง
เฉินผิงอันเอ่ยปลอบใจเบาๆ “เจอกับเรื่องบางอย่างที่ยังไม่อาจคิดได้กระจ่าง ขอโทษด้วย”
หม่าตู่อี๋ยิ้มถาม “ตอนนี้คิดได้กระจ่างแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ก็ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ แต่ก็ถอยมาเลือกในลำดับรองลงมา จึงพอจะรู้วิธีรับมือคร่าวๆ แล้ว”
หม่าตู่อี๋กล่าวอย่างเป็นกังวล “ไม่มีอะไรจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่มีอะไรแล้ว”
หม่าตู่อี๋ลังเลใจ “ถ้าอย่างนั้นท่านเฉินก็ดื่มเหล้าให้พวกเราดูสักคำเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราก็ไม่วางใจ”
เจิงเย่สีหน้ากระอักกระอ่วน
แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้าจริงๆ เขาเพียงยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้าหยุดอยู่ที่นี่เถอะ จำไว้ว่าอย่ารบกวนชาวบ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียง ตั้งใจฝึกตนให้ดี ช่วยตรวจสอบกันและกัน อย่าได้เพิกเฉยละเลย ข้าจะพยายามกลับมารวมตัวกับพวกเจ้าอย่างช้าที่สุดคือฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า ไม่แน่ว่าอาจจะเร็วกว่านั้น ถึงเวลานั้นพวกเราต้องไปทางทิศใต้ของทะเลสาบซูเจี่ยนกันแล้ว ที่นั่นมีมลพิษปราณสกปรกค่อนข้างเยอะ ภูตผีตามภูเขาแม่น้ำก็มีเยอะ ว่ากันว่ายังมีพวกผู้ฝึกตนนอกรีตและพวกลัทธิมารอยู่ด้วย อันตรายกว่าแคว้นสือหาวและแคว้นเหมยโย่วอยู่มาก พวกเจ้าสองคนก็อย่าเป็นตัวถ่วงให้มากนัก”
หม่าตู่อี๋แค่นเสียงเย็นหนึ่งที
เจิงเย่กลับรับปากอย่างแข็งขันว่าจะตั้งใจฝึกตน
เฉินผิงอันขี่ม้าจากไปเพียงลำพัง
แต่ว่าก่อนจะจากไปเขาได้มอบเชือกพันธนาการปีศาจและยันต์หลายแผ่นไว้ให้กับหม่าตู่อี๋เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จากนั้นก็กำชับว่าให้เก็บเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้ไว้ให้ดี ห้ามเอาออกมาง่ายๆ หากผู้ฝึกตนอิสระที่ผ่านทางมาเห็นเข้า นี่จะกลายเป็นหายนะที่หล่นจากฟ้าลงมาใส่หัวพวกเขาอย่างแน่นอน
เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย หม่าตู่อี๋ไม่กล้าเพิกเฉย นางไม่ได้พูดล้อเล่นอะไร เพียงแค่บอกให้ท่านเฉินวางใจ พวกเขาจะไม่มีทางประมาทเช่นนั้นแน่นอน
วันนี้เฉินผิงอันมานอนอยู่กลางป่าชานเมืองแห่งหนึ่ง ปราณหยินอึมครึมค่อนข้างหนักหน่วงจนแทบจะมั่นใจได้ว่าต้องมีวิญญาณร้ายซ่อนตัวอยู่แถวนี้แน่ ทว่าทั้งคืนกลับผ่านไปอย่างราบรื่น นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะเปิดเผยตบะที่แท้จริง อีกทั้งอีกฝ่ายยังเก็บงำอำพรางตนอย่างลึกล้ำ มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะต้องเกี่ยวพันกับโชคชะตารากภูเขาของพื้นที่นี้ จึงได้แต่ล้มเลิกความคิดไป
เขาขี่ม้าจากมาช้าๆ
กลัดกลุ้มเป็นกังวลอย่างถึงที่สุด
ตามคำบอกที่คลุมเครือของหลี่ฝูฉวีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนั้น ผู้บงการที่ส่งตัวนางออกมาจากเกาะกงหลิ่วคือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งของสำนักใบถง เขาเคยเป็นผู้ที่ดูแลกฎระเบียบของศาลบรรพจารย์ในสำนัก สถานะสูงศักดิ์ ต่อให้เป็นตอนที่ตู้เม่ายังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีอำนาจบารมี ตอนนี้ขนาดเจ้าประมุขสำนักใบถงก็ยังต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ลุง
นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เฉินผิงอันกลัดกลุ้มอย่างแท้จริง
จุดที่น่ากลัวจริงๆ นั้นอยู่ที่ผู้ฝึกตนใหญ่ของสำนักใบถงผู้นี้ ตอนนี้เป็นผู้ถวายงานของสำนักกุยหยก แล้วก็เป็นสำนักกุยหยกที่กำลังจะเลือกทะเลสาบซูเจี่ยนแจกันสมบัติทวีปมาเป็นที่ลงหลักปักฐานของสำนักเบื้องล่าง!
สำนักกุยหยก ผู้เฒ่าแซ่สวินที่ปรากฏตัวในร้านยาฮุยเฉินนครมังกรเฒ่า สถานที่ที่สุยโย่วเปียนจะไปฝึกตนบรรลุมรรคาในอนาคต รวมไปถึงเจียงซ่างเจินที่เคยปรากฎตัวในตำหนักพยัคฆ์เขียว
ในบรรดาคนเหล่านี้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่เจียงซ่างเจินจะกลายมาเป็นเจ้าประมุขคนแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยก แต่ทางฝ่ายศาลบรรพจารย์ของสำนักกุยหยกยังไม่มีคำกล่าวที่แน่ชัด ดังนั้นจึงอาจจะยังมีตัวแปรเกิดขึ้นได้เสมอ
เพราะการที่เจียงซ่างเจินยังไม่เดินทางมาแจกันสมบัติทวีป ก็คือหนึ่งในข้อพิสูจน์
ส่วนผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่าง แน่นอนว่าต้องเป็นหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว
ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ชื่อหลี่ฝูฉวีผู้นั้นบอกเขาแค่นี้
เนื่องจากเจียงซ่างเจินที่ชื่นชอบความครึกครื้นมากที่สุดไม่ได้ปรากฏตัว กลับเป็นอดีตบรรพจารย์สำนักใบถงที่มีจิตใจทะเยอทะยานที่ได้กลายมาเป็นบุคคลผู้บุกเบิกเส้นทางให้กับสำนักกุยหยก ไม่แน่ว่าผู้ฝึกตนใหญ่ท่านนี้อาจจะมีความคิดที่ตัวเองนึกว่าสมเหตุสมผล คิดจะงัดข้อกับเจียงซ่างเจินเพื่อช่วงชิงตำแหน่งเจ้าประมุขของสำนักเบื้องล่าง
มิน่าเล่าหลี่ฝูฉวีถึงได้สะกดรอยตามมาตลอดทางแล้วหาโอกาสในการลงมือ
แล้วก็ไม่แปลกที่ซูเกาซานจะไม่ไว้หน้าตน ต้องรู้ว่าขนาดถานหยวนอี้ยังรู้คดีความส่วนหนึ่งในศาลาคลื่นมรกต รู้ชัดเจนว่าตนมีความพัวพันเกี่ยวข้องที่แนบแน่นกับต้าหลี ซูเกาซานที่ไม่เคยเห็นถานหยวนอี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อยมีแต่จะรู้มากกว่า เมื่อมาอยู่ในตำแหน่งสูงอย่างซูเกาซานแล้ว แม้จะไม่สามารถใช้งานสายลับของศาลาคลื่นมรกตได้อย่างกำเริบเสิบสาน แต่หากคิดจะตรวจสอบคดี หรือแม้แต่อยากรู้เรื่องวงในที่ลึกกว่าถานหยวนอี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
ยังดีที่หลี่ฝูฉวีระมัดระวังมากพอ แล้วก็เคารพยำเกรงความความไม่เที่ยงบนมหามรรคาซึ่งไม่อาจคาดการณ์ได้มากพอ
ถึงได้แสดงแผนเจ็บตัวที่ต่างคนก็ต่างสูญเสียร่วมกันกับตน
แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องกลับมาพบกันใหม่อีกครั้งในจุดใดจุดหนึ่งของด่านนอกเนินเขา
สามารถทิ้งบาดแผลเล็กน้อยไว้กลางหว่างคิ้วของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งได้ หากข่าวนี้แพร่ออกไปดังเข้าหูผู้ฝึกตนอิสระหลายหมื่นคนบนเกาะนับพันแห่งของทะเลสาบซูเจี่ยนนอกเหนือจากเกาะกงหลิ่ว ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางเชื่อ
แต่ขอแค่หลิวเหล่าเฉิงไม่มีความคิดจะทำร้ายตน ไม่เปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของตนให้คนอื่นรู้ เพราะถึงอย่างไรนี่ก็หมายความว่านอกจากหลิวเหล่าเฉิงจะทำร้ายคนอื่นแล้วยังไม่ส่งผลดีต่อตนเอง เขาจะต้องแตกหักกับว่าที่ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเบื้องล่างสำนักกุยหยกอย่างสิ้นเชิง ขอแค่หลิวเหล่าเฉิงไม่พูดอะไร หรือใช้ถ้อยคำที่คลุมเครือ เอ่ยประโยคไม่เจ็บไม่คัน ทางฝั่งของอดีตบรรพจารย์สำนักใบถงผู้นั้นก็จะต้องเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
—–