สายน้ำนอกหน้าต่างไหลรินมาเนิ่นนานนับพันปี เฉินผิงอันที่ฟุบตัวคว่ำอยู่บนขอบหน้าต่างแค่งีบหลับไปชั่วขณะ จิตใจก็ผ่อนคลายได้หลายส่วน นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยาก เฉินผิงอันไม่ได้นอนหลับฝันหวานเช่นนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว
เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋ยังไม่กลับมา เฉินผิงอันก็อดเป็นห่วงไม่ได้
เป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ เมื่อได้พบกับจางเย่ที่นำข่าวมาบอก กลับไปทะเลสาบซูเจี่ยนและออกจากเกาะชิงเสียมาอีกครั้ง เนื่องจากครั้งนี้เข้าแคว้นเหมยโย่วผ่านทางด่านหลิวเซี่ย ตลอดทางก็ได้เห็นว่ามีเงาร่างของบางคนติดตามเขามาห่างๆ จริงๆ ขอบเขตสูงมาก อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันยังได้แค่สัมผัสถึงเป็นบางครั้งเท่านั้น เจิงเย่และหม่าตู่อี๋ก็ยิ่งไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไรเลย เฉินผิงอันไม่ได้เปิดเผยเรื่องนี้ พวกเขาจะได้ไม่ต้องคอยอกสั่นขวัญแขวน ง่ายที่จะเผยพิรุธแล้วจะนำมาซึ่งปัญหาวุ่นวายโดยที่ไม่จำเป็น
ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้แสดงความเป็นมิตรหรือความเป็นศัตรูออกมาแม้แต่น้อย แต่กระนั้นเฉินผิงอันก็ยังอดรู้สึกเสียวสันหลังวาบไม่ได้
ผู้ฝึกตนในทะเลสาบซูเจี่ยนก่อนหน้านี้ที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้ หลิวเหล่าเฉิงขอบเขตหยกดิบดูแคลนที่จะทำเช่นนี้ ก่อกำเนิดผู้เฒ่าอย่างหลิวจื้อเม่าก็ยิ่งไม่มีทางทำ
ส่วนสุกลซ่งต้าหลีนั้นไม่ยินดีจะให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน นอกจากนี้เฉินผิงอันเองก็เป็นคนของต้าหลี พวกหลูป๋ายเซี่ยงก็ได้เข้าสำมะโนครัวของต้าหลีไปแล้ว ต่อให้เป็นบุคคลระดับขั้นสูงๆ ของต้าหลีที่ไม่นับรวมชุยฉาน ยกตัวอย่างเช่นสายลับคนสนิทของเหนียงเนียงในวังผู้นั้นที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือกับเขาเต็มที ก็ไม่มีทางกล้าลงมือบนสถานการณ์หมากกระดานของทะเลสาบซูเจี่ยนนี้ เพราะนี่อยู่ใต้เปลือกตาของชุยฉาน และชุยฉานก็เป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับกฎเกณฑ์อย่างถึงที่สุด แน่นอนว่ากฎเกณฑ์ของต้าหลีนับจากราชสำนักไปจนถึงกองทัพ และไปจนถึงบนภูเขา ก็ล้วนเป็นชุยฉานที่เป็นผู้กำหนดแทบทั้งหมด
เฉินผิงอันแทบจะแน่ใจได้เลยว่า คนผู้นั้นก็คือหนึ่งในผู้ฝึกตนต่างถิ่นบนเกาะกงหลิ่ว ไม่น่าจะเป็นคนที่ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้อันดับหนึ่ง เพราะเหตุการณ์ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนค่อนข้างจะสำคัญ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางลงมือกำราบหลิวจื้อเม่า
นี่จึงจำเป็นต้องให้เขาเฝ้าบัญชาการณ์เกาะกงหลิ่วด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงน่าจะเป็นพวกมือวางอันดับสองหรือสามในกลุ่มของมังกรข้ามแม่น้ำกลุ่มนั้นที่มาคอยจับตามองตน แล้วค่อยหาโอกาสเหมาะๆ ในการลงมือ ความโชคดีในความโชคร้ายก็คือ อีกฝ่ายไม่ได้ยืนกรานว่าจะต้องฆ่าคนให้ได้ ดูท่าน่าจะเป็นเพราะยังคิดหาวิธีการที่ครอบคลุมซึ่งไม่ทิ้งภัยร้ายไว้เบื้องหลังไม่ได้ เพราะหากลงมือขึ้นมาก็จะต้องหนักหน่วงรุนแรงดุจสายฟ้าหมื่นชั่งแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้ส่วนลึกในใจเฉินผิงอันยังคงรู้สึกขอบคุณหลิวเหล่าเฉิง หลิวเหล่าเฉิงไม่เพียงแต่ไม่ได้ช่วยวางแผนให้อีกฝ่าย ถึงขั้นไม่ยอมเป็นคนที่นั่งดูไฟชายฝั่ง กลับกันยังแอบเตือนตนอย่างลับๆ โดยการเปิดเผยความลับสวรรค์ครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าในเรื่องครั้งนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือหลิวเหล่าเฉิงได้บอกให้อีกฝ่ายรู้ถึงเรื่องของป้ายอริยะที่มีรูปปั้นอยู่ในศาลบุ๋นแล้ว ผู้ฝึกตนต่างถิ่นจึงกังวลว่าหากจะต้องพินาศวอดวายไปพร้อมกับเขาก็อาจจะทำลายแผนการใหญ่ที่พวกเขาวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยน
แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่า หลิวเหล่าเฉิงคือคนที่…มหัศจรรย์คนหนึ่ง ความเป็นไปได้อย่างแรกจึงค่อนข้างจะมากกว่า
น่าเสียดายก็แต่ตอนนี้หลิวเหล่าเฉิงไม่ใช่บุคคลที่มีอำนาจตัดสินทิศทางการดำเนินไปของทะเลสาบซูเจี่ยนในท้ายที่สุด เป็นเหตุให้กระดานหมากที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก สถานการณ์หมากสองด้านที่มีต่อหลิวจื้อเม่า ถานหยวนอี้และหลิวเหล่าเฉิงต่างก็พังครืนลงในค่ำคืนเดียว เฉินผิงอันจำต้องยอมรับว่ากระดานหมากกระดานนี้ ขาดก็แค่ยังไม่ถูกคนพลิกคว่ำเท่านั้น ตอนนี้เป็นตาของซูเกาซานแม่ทัพหลักต้าหลีกับผู้ฝึกตนต่างถิ่นกลุ่มนั้นที่วางหมากบนทะเลสาบซูเจี่ยน พวกคนอื่นๆ ซึ่งรวมถึงตัวเฉินผิงอันเองด้วยนั้นต่างก็ต้องมายืนรอกันอยู่ด้านข้าง
แต่หากจะบอกว่าความตั้งใจ ความมุมานะพยายามที่ต้องเปลืองทั้งแรงกายแรงใจ ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นว่าเหนื่อยเปล่า เฉินผิงอันกลับไม่คิดเช่นนั้น
จะต้องยอมรับชะตากรรมหรือไม่ ก็จำเป็นต้องรู้ชะตากรรมเสียก่อนจึงจะยอมรับได้ ก็เหมือนที่เฉินผิงอันอยากพบซูเกาซาน แต่กลับได้รับคำตอบมาเป็นสามคำที่ค่อนข้างจะหยิ่งผยองว่า ‘ไสหัวไป’ เฉินผิงอันสามารถยอมรับมันได้อย่างตรงไปตรงมา เพราะการเดินทางไปเยือนแคว้นสือหาว ซึ่งจากสิ่งที่ได้เห็นกับตาและได้ยินมากับหูของตัวเอง บวกกับสรุปรายงานของเกาะปุยหลิวก่อนหน้านี้ สำหรับซูเกาซาน เฉินผิงอันกล้าพูดเลยว่าตนค่อนข้างจะเข้าใจนิสัยของคนผู้นี้ มีชาติกำเนิดจากตระกูลยากจน เผชิญกับความลำบากยากเข็ญ ใช้คุณความชอบทางการสู้รบที่โดดเด่นมาเป็นต้นทุนในการหยัดยืน คนประเภทนี้เมื่ออยู่ในตำแหน่งสูงแล้ว จิตใจของพวกเขาจะแข็งปานหิน แข็งแกร่งและทรหดอย่างถึงที่สุด สภาพจิตใจคล้ายคลึงกับจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนใหญ่มานานแล้ว ไม่แน่ว่าต่อให้ชุยฉาน ซ่งจ่างจิ้งจะเป็นผู้ออกคำสั่งแก่คนผู้นี้ อีกทั้งคงเลี่ยงการกล่าวโทษเอาผิดกับเขาไม่ได้ แต่ลึกๆ ในใจก็น่าจะรู้สึกเคารพเลื่อมใสซูเกาซานอยู่หลายส่วน
ทว่าถึงอย่างไรการยอมรับชะตากรรมก็เหมือนการที่ลงแรงเพาะปลูกอย่างเหนื่อยยาก แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมา แน่นอนว่าทำให้คนอดผิดหวังไม่ได้
สำหรับข้อนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากจางเย่ที่ปรากฏตัวที่ภูเขาหูลั่ว
เฉินผิงอันคิดจะคลำไปหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า ก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าหม่าตู่อี๋เอาไปห้อยเอวตัวเองแล้ว เขาจึงนั่งลงข้างโต๊ะ ครุ่นคิดแล้วก็หยิบเอาผลงานชั้นเยี่ยมของเสี้ยนเว่ยที่เป็นบัณฑิตสติวิปลาสผู้นั้นออกมากางดูทีละแผ่น ทอดสายตาชื่นชมมัน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ชื่นชอบไปหมด
เขียนเสร็จรวดเดียว เขียนอย่างเต็มอารมณ์สาแก่ใจ ไร้ข้อผูกมัดไร้พันธนาการ
นี่แตกต่างจากการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธตรงไหน?
มีชีวิตชีวาน่าประทับใจ หมุนตวัดรุกถอย ไม่มีส่วนใดไม่สอดผสาน
แล้วนี่แตกต่างจากการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ตรงใด?
หลักการบนโลกมักจะมีส่วนที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่เสมอ
ตัวอักษรบนกระดาษล้วนประทับตราส่วนตัวที่ไม่เหมือนกันของเสี้ยนเว่ยหนุ่มผู้นั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นหนึ่งภาพหนึ่งตรา น้อยมากที่จะเป็นหนึ่งภาพสองตรา
เนื้อหาของอักษรภาพหนึ่งในนั้นมีน้ำเสียงที่วางโตอย่างยิ่ง ‘หากข้าถือภาพส่องผืนน้ำ กลัวก็แต่ว่าแต่ละตัวอักษรจะกลายเป็นเจียวลงน้ำ หากข้าถือภาพท่องไปยามราตรี ก็จะสั่งสอนให้ภูตผีและองค์เทพรบเร้นหนีหาย’
ด้านข้างประทับตราสองตราที่เป็นอักษรคำว่า ‘เจียววัยเยาว์พลังเปี่ยมล้น’ และ ‘มังกรผอมแห้งจิตวิญญาณเอิบอิ่ม’
แล้วก็มีอีกภาพหนึ่งที่ตบตราประทับลงบนภาพตัวอักษรติดๆ กันถึงสามตรา ตอนนั้นการกระทำนี้ของเสี้ยนเว่ยหนุ่มทำให้เฉินผิงอันประทับใจอย่างลึกล้ำ พลังแห่งชีวิตชีวาบนใบหน้าของเขาประดุจเจ๋อเซียนนักประพันธ์ที่หัวเราะร่าดูแคลนอ๋องและโหว ‘เจอกับคนโง่ที่ใช้เหล้าหมักตระกูลเซียนมาขอตัวอักษรเซียนของข้า ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!’ ตราประทับที่เขาประทับไว้แบ่งออกเป็น ‘เปิดศักราช’ ‘ฉางสู’ และ ‘เซียนบ่อน้ำหมึก’
เฉินผิงอันเก็บอักษรภาพแต่และแผ่นลงไป
หลังจากนี้จะต้องนำไปเก็บรักษาไว้บนภูเขาลั่วพั่ว ในอนาคตไม่ว่าใครที่เปิดปาก ให้ราคาสูงเท่าไหร่ก็จะไม่ขาย จะต้องเก็บไว้เป็นทรัพย์สมบัติตกทอดของตระกูล!
พอคิดถึงเรื่องนี้ เฉินผิงอันก็อดคลี่ยิ้มเต็มใบหน้าไม่ได้
เฉินผิงอันยืดแขนบิดขี้เกียจ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เขาหันหน้าไปมองน้ำในแม่น้ำอยู่ตลอดเวลา
เคยมีบทกวีไพเราะประโยคหนึ่งที่คัดลอกจากตำรามาสลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ แผ่นไม้ไผ่เล็กๆ แผ่นหนึ่งกลับสามารถบรรจุความหมายที่ยิ่งใหญ่ได้ถึงเพียงนั้น
‘ทอดสายตามองไป ยามต้นเหมันต์ หมื่นพืชพรรณแห้งเหี่ยวโรยรา ขับให้ฟ้าดินยิ่งไพศาล กระแสธารใต้จันทราใสกระจ่างดุจแพรต่วนขาวที่ไหลรินห่างไปไกล’
ทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ของมหานทีนอกหน้าต่างทำให้จิตใจเปิดโล่งปลอดโปร่งตามไปโดยไม่รู้ตัว
อาจารย์ฉี เรื่องบางอย่างที่ข้ายังคงทำไม่ได้ตอนอยู่ภูเขาห้อยหัว ประโยคหนึ่งที่หลังจากมานะพยายามแล้ว ตอนนี้ข้าอาจจะทำได้แล้ว
หลังจากเจิงเย่และหม่าตู่อี๋กลับมา เจิงเย่เล่าให้ฟังด้วยอารมณ์อันฮึกเหิมว่าได้พบท่านผู้เฒ่าเทพวารีของแม่น้ำชุนฮวาจริงๆ เขาสวมชุดผ้าแพรปักลาย ปักปิ่นดอกไม้ มีไมตรีจิตมากเป็นพิเศษ พอเห็นพวกเขายังตั้งใจปรากฎตัวพาพวกเขาไปเดินเที่ยวทั่วศาลเทพวารีโดยเฉพาะ
แต่หม่าตู่อี๋กลับเหลือกตามองบน บอกว่าสายตาของตาเฒ่านั่นทำให้คนไม่สบายตัว ท่าทางหื่นกาม ตอนที่มองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวนางก็คอยเหลือบมองเอวนางอยู่หลายรอบ
สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่อาจพูดอะไรได้มาก
แม่น้ำชุนฮวาคือแม่น้ำใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นเหมยโย่ว อีกทั้งแคว้นเหมยโย่วก็เคารพเลื่อมใสเทพวารีมาโดยตลอด ในฐานะองค์เทพแห่งสายน้ำอันดับต้นที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ เทพวารีแม่น้ำชุนฮวาต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
อันที่จริงเฉินผิงอันได้พบเจอกับองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำมาแล้วไม่น้อย คนแรกสุดก็คือเว่ยป้อแห่งภูเขาฉีตุน ผีสาวสวมชุดแต่งงานที่ปีนั้นถือว่าเป็นองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำได้ครึ่งตัว ภายหลังก็มีแม่ทัพบู๊เทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวาที่ปรากฏตัวอยู่ข้างกายบิดากู้ช่าน เจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำหมายเหอแห่งใบถงทวีป ระหว่างที่เดินทางขึ้นเหนือของราชวงศ์ต้าเฉวียนก็ได้เจอกับองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำสององค์ที่เป็นปฏิปักษ์กัน พวกเขาต่อสู้กันจนภูเขาแม่น้ำโยกคลอน แน่นอนว่ายังมีเจ้าแม่เทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ในจวนจื่อหยางแคว้นหวงถิงที่ทำให้เฉินผิงอันปวดหัวเป็นร้อยเท่าผู้นั้นด้วย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทางภูเขาลั่วพั่วบ้านเกิดของตน ตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเด็กชายชุดเขียวและสหายในยุทธภพของเขาอย่างเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
กระบี่บินส่งข่าวที่เว่ยป้อและจูเหลี่ยนส่งมาให้ที่เกาะชิงเสียก็เคยพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง เพียงแต่พูดถึงไม่มากเท่าไหร่ บอกแค่ว่าเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิงผู้นั้นได้รับป้ายสงบสุขปลอดภัยไปหนึ่งแผ่น อีกทั้งยังมาเยือนเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยตัวเองหนึ่งรอบ เด็กชายชุดเขียวที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่วคอยให้การต้อนรับขับสู้เขาเป็นอย่างดี สุดท้ายยังเลี้ยงสุราอำลาแก่เทพวารีองค์นี้ไปมื้อหนึ่ง หลังจากนั้นเด็กชายชุดเขียวก็ไม่ค่อยพูดถึงพี่น้องที่รักผู้มีคุณธรรมน้ำมิตรผู้นี้อีก
เฉินผิงอันเป็นกังวลเล็กน้อย ลำพังอาศัยแค่ถ้อยคำไม่กี่ประโยคในจดหมาย เขาจึงไม่สะดวกจะกำชับสั่งความอะไรเด็กชายชุดเขียวมากนัก
ความมีคุณธรรมในยุทธภพที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าไร้เดียงสาของเด็กชายชุดเขียวในสายตาคนนอกนั้น อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกต่อต้าน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ในสายตาเขากลับมองว่านี่เป็นสิ่งที่มีค่าน่านับถือมากที่สุดของเด็กชายชุดเขียว
โง่นิดหน่อยก็ยังดีกว่าฉลาดเฉลียวอย่างเบาปัญญา
อย่างน้อยบนภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอัน สิ่งนี้ก็สำคัญอย่างมาก สำคัญอย่างถึงที่สุด
เพราะที่นั่นคือฟ้าดินขนาดเล็กของเฉินผิงอัน มีเขาเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ ความดีความเลวของคนคนหนึ่งมีเฉินผิงอันเป็นผู้กำหนดเอง ก็เหมือนกับนักพรตเฒ่าของอารามกวานเต๋าที่เป็นดั่ง ‘เทพยดาบนสวรรค์’ ในพื้นที่มงคลดอกบัว
นอกจากขอบเขตที่กำหนดไว้แล้ว ความแตกต่างของไหวพริบในการวางตัวในสังคมและมหามรรคาที่แต่ละคนช่วงชิงกันนั้น ข้อนี้เฉินผิงอันยอมรับได้ เขาไม่ถึงขั้นว่าไม่ชอบ กลับกันยังรู้สึกว่ามีหลายข้อที่สามารถรับเอามาปรับใช้ได้ ยกตัวอย่างเช่นซุนเจียซู่ที่ได้ครอบครองถนนยาวหนึ่งร้อยลี้ทั้งเส้นนอกนครมังกรเฒ่า เจ้าประมุขตระกูลซุนที่อายุยังน้อยผู้นี้ไม่ใช่แค่มีไหวพริบเท่านั้น แต่ยังมีความฉลาดเฉลียวเฉพาะตัวในการวางตัวในสังคม ทว่าสุดท้ายแล้วเฉินผิงอันกับซุนเจียซู่ก็ได้แค่แยกย้ายกันไปคนละทางที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ทว่าท้ายที่สุดตอนที่เขานั่งเรือข้ามฟากออกมาจากนครมังกรเฒ่า ความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อซุนเจียซู่กับลึกซึ้งไปอีกขั้นหนึ่ง
หลักการเดียวกับคำว่าข้าวชนิดเดียวกันแต่เลี้ยงคนได้ร้อยรูปแบบ
ยินดีจะมองข้อดีของคนอื่นให้มากหน่อย ความรู้สึกที่มีต่อคนผู้นั้นก็จะไม่ได้มีแค่อคติดันทุรัง
แล้วก็ควรต้องรู้ถึงความแตกต่างระหว่างคนอื่นกับตัวเองให้มาก ถึงจะรู้ได้ว่าเหตุใดคนอื่นถึงมีชีวิตที่ดี หรือมีชีวิตที่ไม่ดี
ครุ่นคิดใคร่ครวญร้อยพันตลบ
ก็เหมือนภาพอักษรฉ่าวซูของเสี้ยนเว่ยหนุ่มผู้นั้นที่ฉวัดเฉวียนบ้าคลั่งจนเจิงเย่ที่มองปราดๆ มองไม่ออกแม้แต่ตัวอักษรเดียว ทว่าแท้จริงแล้วรากฐานของพวกมันก็ยังเป็นตัวอักษรอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
แต่การดูตัวอักษร ชื่นชมลายหมึกอันมหัศจรรย์ของการเขียนพู่กัน ตัวข้าอาจไม่รู้จักตัวอักษร ตัวอักษรไม่รู้จักข้า แค่มองเห็นพลังของมันปราดๆ ก็พอแล้ว หรือมองไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ทว่าเมื่อแต่ละคนต้องมาอยู่ในโลกที่ซับซ้อนใบนี้ เจ้าไม่รู้จักกฎเกณฑ์และข้อผูกมัดมากมายของโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎเกณฑ์ระดับล่างสุดที่ทำให้คนมองข้ามไปได้ง่ายที่สุดเหล่านั้น การมีชีวิตอยู่ก็ต้องรู้จักสอนคนให้เป็นคน นี่ไม่เกี่ยวกับว่าดีหรือเลว มหามรรคาไร้ความเห็นแก่ตัว สี่ฤดูกาลผันเวียนหมุนผ่าน กาลเวลาไหลริน ไม่เปิดโอกาสให้ใครที่ประสบความทุกข์ยากพึมพำถ้อยคำว่า ‘หากรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก’
เฉินผิงอันรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย นักพรตเด็กที่แบกน้ำเต้าสีทองคนนั้นเคยบอกว่าจะย้ายไปอยู่ใต้หล้าแห่งอื่น นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำพื้นที่มงคลดอกบัวไปอยู่ใต้หล้ามืดสลัวหรอกหรือ? ราชครูจ้งชิวและเฉาฉิงหล่างแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนจะทำอย่างไร? ยังจะมีโอกาสได้พบเจอกันอีกหรือไม่? ความเร็วในการไหลไปของกาลเวลาในพื้นที่มงคลล้วนอยู่ในการควบคุมของนักพรตผู้เฒ่า คราวหน้าที่ต่อให้เฉินผิงอันได้ย้อนกลับไปยังพื้นที่มงคลอีกครั้ง จ้งชิวจะกลายเป็นคนโบราณที่ได้รับชื่อเสียงอันดีงามในประวัติศาสตร์ไปแล้วหรือเปล่า? แล้วเฉาฉิงหล่างล่ะ?
สำหรับเด็กที่มีจิตใจดีงามอย่างเฉาฉิงหล่าง เฉินผิงอันคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยลืมเลือนเลยแม้แต่น้อย
เจิงเย่กับหม่าตู่อี๋นั่งคุยกันพลางแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างๆ โต๊ะ โดยไม่ทันรู้ตัวก็พลันค้นพบว่าดูเหมือนท่านเฉินจะเริ่มกลัดกลุ้มเป็นกังวลขึ้นมาอีกแล้ว
ยังดีที่ความกลัดกลุ้มนี้ไม่ค่อยเหมือนในอดีตสักเท่าไหร่ ไม่ได้หนักหนามากนัก แค่เหมือนว่าเป็นความกังวลที่คิดถึงคนบางคนเรื่องบางเรื่อง เป็นความเสียใจที่ประหนึ่งมดเขียวลอยอยู่บนสุรา สุราจึงยังไม่กลายเป็นเหล้าหมักเก่าแก่ (มดเขียวเปรียบเปรยถึงกากเหล้า เวลาหมักเหล้าแล้วเหล้ายังไม่ตกตะกอน จะมีกากเหล้าลอยขึ้นมาแสดงให้รู้ว่าเป็นเหล้าที่เพิ่งหมักใหม่)
ทว่านักบัญชีท่านนี้ไม่เคยบอกให้รู้ถึงความสุขความทุกข์ในใจของตัวเอง เขามักจะแบกรับไว้กับตัวเองเท่านั้น
อันที่จริงนี่ทำให้หม่าตู่อี๋กับเจิงเย่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่สร้างขึ้นติดแม่น้ำแห่งนี้นำรายงานตระกูลเซียนที่ทางแคว้นเหมยโย่วรวบรวมขึ้นเองมาส่งให้อีกหนึ่งฉบับ เป็นรายงานใหม่เอี่ยมสดๆ ร้อนๆ กลิ่นหอมของน้ำหมึกที่คงอยู่ยาวนานซึ่งมีเฉพาะในตระกูลเซียนส่งกลิ่นอบอวล
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วก็นำมาเป็นอ่าน เขาอ่านถึงสองรอบก่อนจะส่งให้หม่าตู่อี๋พร้อมกล่าวอย่างจนใจว่า “ซูเกาซานเริ่มโจมตีแคว้นเหมยโย่วแล้ว เส้นทางชายแดนที่อยู่ใกล้กับด่านหลิวเซี่ยล้วนสูญเสียการป้องกันหมดแล้ว”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในรายงานตระกูลเซียนมีระบุไว้อย่างละเอียด
โจวมี่หนึ่งในสามแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการกองทัพเรือของแคว้นเหมยโย่วเป็นผู้รับผิดชอบพิทักษ์น่านน้ำตอนบนของแม่น้ำชุนฮวา ทว่าตอนนี้กลับหันเข้าหากองทัพม้าเหล็กต้าหลี มีท่าทีว่าจะนำทัพก่อกบฏ เขาแอบติดต่อกับต้าหลีอย่างลับๆ ผลกลับถูกฮ่องเต้แคว้นเหมยโย่วที่จับตามองเขามานานจับได้ จึงส่งผู้ฝึกตนที่ถวายการรับใช้เชื้อพระวงศ์หลายคนให้มาร่วมแรงกันสังหาร ตอนนั้นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพต้าหลีที่อยู่ข้างกายโจวมี่รบตายไปสามคน อันที่จริงยังมีเซียนดินโอสถทองที่เป็นคนของต้าหลีอยู่อีกคน ซูเกาซานเดือดดาลอย่างหนัก ออกคำสั่งแก่แม่ทัพบู๊ใต้บังคับบัญชาสามคนทันทีว่า ภายในหนึ่งเดือนพวกเขาแต่ละคนจะต้องโจมตีสถานที่สามแห่งของแคว้นเหมยโย่วมาให้ได้ แล้วทำการโอบล้อมเมืองหลวงแคว้นเหมยโย่วที่ดื้อดึงเอาไว้ ยังป่าวประกาศว่าจะตัดหัวฮ่องเต้แคว้นเหมยโย่วมาทำเป็นกาเหล้า ช่วงชิงหมิง (หรือเทศกาลเชงเม้ง) ของปีหน้าจะนำมาดื่มสุราคารวะหน้าหลุมศพ
เจิงเย่แค่มาร่วมวงดูเรื่องสนุกเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แค่ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ความเผด็จการก็เต็มเปี่ยม
ผู้ฝึกตนบนภูเขามักจะไม่ค่อยมีความผูกพันกับบ้านเมืองสักเท่าไหร่ ยิ่งฝึกตนนานวัน ยิ่งห่างไกลจากโลกมนุษย์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเฉยชามากเท่านั้น
นิ่งดูดาย ปฏิบัติต่อโลกมนุษย์ด้วยความเย็นชา
ไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะตบะไม่มากพอ ไม่เคยยืนอยู่บนยอดเขาที่แท้จริง จึงยังคงถูกสถานการณ์ใหญ่ห่อหุ้มเอาไว้ จำต้องลงจากภูเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นนักพรตวัยกลางคนที่พบเจอกันโดยบังเอิญริมลำธารผู้นั้นถึงได้เป็นฝ่ายลงจากภูเขา คอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยตรงตีนเขา นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเลื่อมใสเขาอย่างยิ่ง เพียงแต่การฝึกตนบนมหามรรคา ยามใดที่มารในใจบังเกิด ความทุกข์ยากลำบากที่ต้องเผชิญไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะบอกกล่าวอะไรได้มาก เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่านักพรตวัยกลางคนต้องยืนหยัดในเจตจำนงเดิม ทำความดีสะสมบุญในโลกมนุษย์เท่านั้นถึงจะเป็นหนทางที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นก็จะตกเป็นรองแพ้พ่าย
หม่าตู่อี๋มองการณ์ไกลกว่าเจิงเย่ จึงถามอย่างสงสัยว่า “เหตุใดซูเกาซานถึงต้องรีบร้อนคิดจะยึดครองแคว้นเหมยโย่วเร็วขนาดนี้? แม้ข้าจะไม่เข้าใจเรื่องทางการทหาร แต่ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาในแคว้นเหมยโย่วแห่งนี้ก็รู้ดีว่าเส้นทางทางน้ำของแคว้นเหมยโย่วตัดสลับกันมากมาย ไม่เหมาะสมให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีควบทะยานแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเราเรียกว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็จริง แต่พวกเขาไม่ได้มีแค่กองทัพม้าอย่างเดียวจริงๆ เสียหน่อย เพียงแต่ว่าต้าหลีมีชื่อเสียงด้านกองทัพม้าเหล็ก จึงง่ายที่จะทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเหมือนกองทหารราบของชายแดนต้าหลี ตลอดทางที่ลงใต้มานี้มีราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติแบบใดบ้างที่พวกเราไม่เคยพบเจอมาก่อน ต้าหลีคิดจะยึดครองแคว้นเหมยโย่วก็เป็นไปตามแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด เขารีบร้อนยึดครองแคว้นเหมยโย่วขนาดนี้ คิดดูแล้วคงต้องจ่ายค่าตอบแทนที่มากกว่าการโจมตีเมืองหลวงแคว้นสือหาวอย่างแน่นอน ความเสียหายในกองทัพม้าของทั้งต้าหลีและแคว้นเหมยโย่วมีแต่จะมากยิ่งกว่าเดิม ความลี้ลับมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในเรื่องครั้งนี้ น่าจะมีเพียงแค่ซูเกาซานเท่านั้นที่รู้ดี เชื่อว่าคงจะมีคนกำลังเร่งรัดซูเกาซานและเฉาผิงอยู่เป็นแน่ ยกตัวอย่างเช่นหัวใจสำคัญที่แท้จริงของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีอย่างซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมือง”
หม่าตู่อี๋ลังเลเล็กน้อย “เหตุใดดูเหมือนท่านไม่ค่อยสนใจเรื่องการศึกสักเท่าไหร่? ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเป็นความตายของชาวยุทธทั้งหลายในสนามรบเหมือนกับที่ห่วงใยพวกชาวบ้าน?”
—–