เฉินผิงอันไม่รู้เรื่องวงในเหล่านี้จริงๆ เขาจึงจมสู่ภวังค์การครุ่นคิด
ผู้เฒ่าเปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่าง “เด็กหนุ่มที่ซ่งจ่างจิ้งหมายตา แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกยุทธที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบ การที่หน่วยจานกานต้าหลีตามหาคนผู้นี้พบ ก็เป็นเพราะในอดีตตอนที่คนผู้นี้ฝ่าทะลุขอบเขต เขายังเป็นสามขอบเขตล่างของวิถีวรยุทธ แต่กลับสามารถชักนำภาพปรากฎการณ์ประหลาดให้เกิดขึ้นในศาลบู๊หลายแห่ง และแต่ไหนแต่ไรมาต้าหลีก็ใช้ฝ่ายบู๊ในการสร้างรากฐานของแคว้นมาโดยตลอด ความขึ้นลงของโชคชะตาบู๊นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าย่อมสำคัญในสำคัญ แม้จะบอกว่าท้ายที่สุดแล้วหร่วนซิ่วช่วยหน่วยจานกานตามหาคนอีกสามคนมาชดเชย แต่แท้จริงแล้วนี่ก็ทำให้นางติดหนี้ในบัญชีของซ่งจ่างจิ้งไว้ไม่มากก็น้อย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างกังขา “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้าหรือ?”
ผู้เฒ่าเกือบจะปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง นึกอยากจะต่อยให้เจ้าหมอนี่สมองเปิดโล่งเสียที
จิตของเฉินผิงอันสัมผัสได้จึงขยับเดินห่างไปหลายก้าวด้วยท่าเดินนิ่งหกก้าวของตำราหมัดเขย่าขุนเขาแบบย้อนกลับที่เป็นธรรมชาติอย่างถึงที่สุด
ผู้เฒ่าพอจะคลายโทสะได้บ้างแล้ว ถึงไม่ได้ลงมือต่อ แต่เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าจะแค่ช่วงชิงคำว่าแข็งแกร่งที่สุด ไม่ช่วงชิงโชคชะตาบู๊ แต่หร่วนซิ่วจะคิดแบบนี้หรือ? สตรีโง่ๆ ใต้หล้าแห่งนี้ต่างก็หวังให้บุรุษข้างกายที่ตนสนิทสนมได้ผลประโยชน์มามากที่สุดไม่ใช่หรือไร ในสายตาของหร่วนซิ่ว ในเมื่อมีคนวัยเดียวกันกระโดดออกมาช่วงชิงชะตาบู๊กับเจ้า นั่นก็คือการช่วงชิงบนมหามรรคา นางจะทำอย่างไร แน่นอนว่าฆ่าให้ตายย่อมหมดเรื่อง ตัดรากถอนโคน กำจัดภัยร้ายที่อาจจะตามมาเบื้องหลังไปได้ตลอดกาล”
สีหน้าของเฉินผิงอันหม่นหมอง
ผู้เฒ่าเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งถูราวระเบียง “ข้าไม่คิดจะแยกคู่ยวนยางส่งเดช เพียงแต่ในฐานะคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อนซึ่งอายุปูนนี้แล้ว ก็หวังว่าเจ้าจะเข้าใจเรื่องหนึ่ง ปฏิเสธแม่นางคนหนึ่ง เจ้าก็ควรต้องรู้ว่านางทำเรื่องอะไรไปเพื่อเจ้าแล้วบ้าง เมื่อรู้แล้ว หากถึงเวลานั้นเจ้ายังคงปฏิเสธ แล้วอธิบายให้นางฟังอย่างชัดเจน นั่นก็จะไม่ใช่ความผิดของเจ้าอีกต่อไป แต่กลับกลายมาเป็นความสามารถของเจ้า และเป็นสตรีอีกคนที่สายตาดีมากพอ แต่หากเจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แต่แค่ต้องการให้ตัวเองถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายเท่านั้น มองดูเหมือนจิตใจแข็งแกร่งปานหินผา แต่แท้จริงแล้วกลับโง่เง่านัก”
ผู้เฒ่าหันหน้ามาถาม “หลักการเล็กน้อยแค่นี้ ฟังเข้าใจหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เข้าใจ”
ผู้เฒ่าถามอีก “ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบ “ไม่รู้”
ผู้เฒ่าเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
เฉินผิงอันเห็นท่าไม่ดี ร่างก็พลันพลิ้วทะยานขึ้น ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งยันราวระเบียงแล้วพุ่งตัวออกไปนอกเรือนไม้ไผ่
แต่ไม่ได้พุ่งไปเป็นแนวเส้นตรง เขาพลันพาตัวดิ่งลงเบื้องล่างจนเท้าสัมผัสพื้น ขณะเดียวกันก็ใช้ยันต์ต่อพื้นที่แผ่นหนึ่งโดยไม่เสียดาย พร้อมกับตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ให้ชูอีกับสืออู่คอยคุ้มกันอยู่ด้านหลัง จากนั้นบังคับให้เจี้ยนเซียนพุ่งนำไปก่อน ส่วนตัวเองกระทืบพื้นหนักๆ ร่างเหมือนม้าควบเต็มฝีเท้าที่เหยียบขึ้นไปบนเจี้ยนเซียน ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่บังคับกระบี่ขึ้นไปบนทะเลเมฆที่การมองเห็นเปิดกว้างอีกเด็ดขาด แต่แนบติดไปกับพื้น อ้อมไปอ้อมมาอยู่ระหว่างป่าเขา เผ่นหนีไปด้วยความเร็วสุดขีด
ทำทุกอย่างนี้เสร็จในรวดเดียว
เห็นได้ชัดว่าวางแผนเส้นทางหนีไว้คร่าวๆ ในใจมานานแล้ว
ผู้เฒ่าบนชั้นสองกลับไม่ได้ออกหมัดไล่โจมตีต่อ เขากล่าวว่า “หากในเรื่องของความรักชายหญิง มีความสามารถได้ครึ่งหนึ่งเหมือนตอนที่เผ่นหนี ป่านนี้เจ้าคงสามารถทำให้หร่วนฉงเลี้ยงเหล้าเจ้า หัวเราะเบิกบานเรียกเจ้าว่าลูกเขยคนดีได้นานแล้วกระมัง”
……
ท่ามกลางม่านราตรี ปลายยามอิ๋น (ช่วง 03.00-05.00)
ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันไดของยอดเขาที่อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วเพียงลำพัง
จูเหลี่ยนที่กลิ่นเหล้าโชยคลุ้งออกมาจากร่างเดินขึ้นบันไดมานั่งลงบนขั้นบันไดข้างเท้าของเฉินผิงอัน แล้วหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “นายน้อย มีบ้านแต่กลับไม่ได้ ช่างน่าเวทนาจริงๆ”
เฉินผิงอันถอนหายใจ “ข้ารนหาที่เอง จะโทษคนอื่นไม่ได้”
จูเหลี่ยนเอ่ยถาม “ฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว หากนายน้อยไม่ง่วง ไม่สู้พวกเราไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนใหม่ด้วยกันดีไหม? ไปรับเด็กสาวต่างถิ่นที่ตอนนี้ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของภูเขาลั่วพั่วครึ่งตัวมา บอกตามตรง เกียรติยศนี้ของบ่าวเฒ่า ต้องพูดจนปากแทบเปื่อย ถึงจะทำให้พวกเขาเชื่อได้ว่าตัวเองคือคนของภูเขาลั่วพั่ว พูดแล้วต้องทำได้จริง แต่คนครอบครัวนั้นก็ยื่นของเสนอมาแล้วว่า หวังจะให้คนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจบนภูเขาลั่วพั่วปรากฏตัวสักครั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่กล้าปล่อยให้เด็กสาวคนนั้นออกจากบ้านมาขึ้นเขาทั้งอย่างนี้ ดังนั้นนายน้อยคงต้องลงมือเองแล้วล่ะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ เดี๋ยวจะต้องผ่านภูเขาเฟิงเหลียงที่อยู่ทางทิศเหนือพอดี พวกเราไปดูร้านเกี๊ยวน้ำของต่งสุ่ยจิ่งกันก่อน แล้วค่อยไปรับคนที่ตระกูลนั้น”
จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยังผ่านภูเขาบรรพบุรุษของสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้ด้วยนะ”
เฉินผิงอันยกเท้าเตะจูเหลี่ยนเบาๆ จูเหลี่ยนไม่หลบ ปล่อยให้เท้าของอีกฝ่ายเตะมาโดนแล้วร้องโอ้ย “เอวแก่ๆ ของข้า”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เป่าปากหนึ่งครั้ง เสียงทอดยาวไปไกล
ฉวีหวงที่ไม่ได้ถูกพันธนาการวิ่งมาถึงด้วยความรวดเร็ว
เฉินผิงอันไม่ได้พลิกตัวขึ้นหลังม้า เพียงแค่จูงม้าเดินลงภูเขาไปช้าๆ
เขาเคยชินที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวไปสี่ทิศ ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันกับฉวีหวงแล้วก็เท่านั้น
เฉินผิงอันถาม “เจิ้งต้าเฟิงหลับแล้วหรือ?”
จูเหลี่ยนถูมือยิ้มกล่าว “ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก คาดว่าตอนนี้พี่ใหญ่เจิ้งน่าจะยังนอนอ่านหนังสือเทพเซียนที่ข้าให้ยืมอยู่ในโปงผ้าห่มกระมัง”
เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน รู้สึกเสียใจภายหลังที่ถามคำถามนี้
จากนั้นก็รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “เด็กสาวในเขตการปกครองคนนั้นมีชื่อแซ่ว่าอะไร?”
จูเหลี่ยนตอบ “เฉินยวนจี”
เฉินผิงอันกล่าว “เป็นชื่อที่ประหลาดนัก”
จูเหลี่ยนพูดต่อว่า “เด็กสาวอายุแค่สิบสามสิบสี่ แต่เรือนกายสูงโปร่ง สูงกว่าบ่าวเฒ่าไม่น้อย มองดูเหมือนเพรียวบาง แต่แท้จริงแล้วหากสังเกตอย่างละเอียดจะพบว่ารูปร่างกำลังดี เหมาะแก่การเป็นชั้นวางอาภรณ์แต่กำเนิด โดยเฉพาะขาสองข้างที่ยาว…”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าเลือกลูกศิษย์ให้ภูเขาลั่วพั่วหรือเลือกภรรยาให้ตัวเองกันแน่?”
จูเหลี่ยนทอดถอนใจ “บ่าวเฒ่ามีใจเป็นโจร แต่น่าเสียดายที่ไร้กำลัง”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองจูเหลี่ยน “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ประโยคนี้ตัวเจ้าเองฟังแล้วเชื่อด้วยหรือ?”
จูเหลี่ยนรีบเปลี่ยนคำพูด “ถ้าอย่างนั้นก็อายุมากแต่เปี่ยมพลังวังชา มีแรงสังหารโจร แต่ช่วยไม่ได้ที่ดำรงตนบริสุทธิ์ผุดผ่อง จึงไม่มีใจจะสังหารโจร?”
เฉินผิงอันกล่าว “วันหน้าเมื่อนางมาอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เจ้ากับเจิ้งต้าเฟิงอย่าทำให้นางตกใจล่ะ”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “นายน้อยดูถูกข้ากับพี่ใหญ่เจิ้งเกินไปหน่อยแล้ว พวกเราต่างหากถึงจะเป็นบุรุษชั้นเยี่ยมของโลกใบนี้”
เฉินผิงอันหยุดเดิน มอบวัตถุจื่อชื่อให้กับจูเหลี่ยน “ข้าจะไปรับคนที่เขตการปกครองเอง ข้าจำสถานที่ได้แล้ว เจ้าเอาวัตถุจื่อชื่อชิ้นนี้มอบให้เจิ้งต้าเฟิง เขารู้วิธีเปิดมัน เดิมทีก็เป็นเขาที่มอบให้ข้า ข้ายังไม่ทันใดหล่อหลอมมันใหม่ เหล้าและแผ่นภาพตัวอักษรฉ่าวซูส่วนหนึ่ง รวมไปถึงของเล่นโบราณชิ้นเล็กๆ มากมายที่อยู่ในนี้ แต่ละชิ้นควรเอาไปเก็บ ไปฝังไว้ที่ไหน เจ้าจูเหลี่ยนเชี่ยวชาญดี ช่วยกันวางแผนการเจิ้งต้าเฟิงดูสักหน่อย ข้าเชื่อในสายตาของพวกเจ้า”
จูเหลี่ยนรับแผ่นหยกสีขาวบริสุทธิ์ที่เป็นวัตถุจื่อชื่อชิ้นนั้นมา ได้แต่หมุนตัวเดินกลับขึ้นเขาไปอีกครั้ง แต่ยังไม่ลืมเตือนด้วยความหวังดีว่า “ไปรับเฉินยวนจีมาแล้ว นายน้อยไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเดินทางกลับ ค่อยๆ ชื่นชมทัศนียภาพขุนเขาสายน้ำไป อย่าได้พลาดธรรมชาติอันงดงามที่อยู่ข้างกายเสียล่ะ เพียงแค่ต้อง…ระวังสักหน่อย อย่าให้ช่างหร่วนเข้าใจนายน้อยผิด”
เฉินผิงอันกำลังจะบอกให้จูเหลี่ยนรั้งอยู่ข้างกาย ไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยกัน ผู้เฒ่าหลังค่อมกลับกลายร่างเป็นควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่หายวับไปในชั่วพริบตา
เฉินผิงอันจูงม้าเดินลงจากภูเขาด้วยความเป็นกังวล
จากนั้นหนึ่งคนหนึ่งม้าก็ขึ้นเขาลงห้วย เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับการนอนกลางดินกินกลางทราย ขึ้นเขาลงน้ำกับผู้เฒ่าเหยาในอดีตแล้ว นับว่าราบรื่นกว่ามาก เว้นเสียแต่ว่าเฉินผิงอันจงใจอยากจะนั่งตัวคลอนอยู่บนหลังม้า เลือกทางเล็กที่แคบชันไร้เจ้าของบนภูเขาบางแห่งแล้วล่ะก็ ที่เหลือล้วนเป็นเส้นทางที่ราบเรียบ ทัศนียภาพของทั้งสองอย่างต่างก็มีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ภาพที่ปรากฏสู่สายตาดีหรือเลวก็บอกได้ยากแล้ว
ยามสนธยาของวันหนึ่ง เฉินผิงอันจูงม้ามาถึงกึ่งกลางภูเขาเฟิงเหลียง ตามหาร้านเกี๊ยวน้ำร้านนั้น ก็ได้พบกับต่งสุ่ยจิ่งที่เรือนกายยิ่งสูงใหญ่ขึ้นทุกที
ใบหน้าของต่งสุ่ยจิ่งเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วก็ไม่ได้ทักทายปราศรัยอย่างกระตือรือร้นอะไรมากนัก เพียงแค่บอกว่ารอเดี๋ยว จากนั้นเขาก็เข้าครัวไปทำเกี๊ยวน้ำชามใหญ่ด้วยตัวเอง ยกมาวางบนโต๊ะ นั่งลงด้านข้าง มองเฉินผิงอันที่ละเลียดเคี้ยวอย่างละเอียด
เฉินผิงอันพูดปลงอนิจจังด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้หวังเพียงว่ารสชาติของเกี๊ยวน้ำนี้อย่าได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่อย่างนั้นผืนนาไม่มีคนทำนา ใบหน้าที่คุ้นเคยในเมืองเล็กก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ เพื่อนบ้านแปลกหน้าเพิ่มมากขึ้นทุกที ทุกที่มีแต่หอเรือนสูงผุดเรียงราย ทั้งดีแล้วก็ไม่ดีไปในเวลาเดียวกัน”
ต่งสุ่ยจิ่งเพียงยิ้ม ไม่เอ่ยคำใด
นอกจากอาจารย์ฉีแล้ว หลี่เอ้อร์และคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ก็คือคนจำนวนนิดที่ในอดีตเคย ‘เห็นดี’ ในตัวเขาต่งสุ่ยจิ่งอย่างแท้จริง
จุดที่ล้ำค่าหาได้ยากอย่างถึงที่สุดยังอยู่ที่ว่า ตอนนั้นเฉินผิงอันเดินทางไกลเคียงข้างหลินโส่วอี ต่งสุ่ยจิ่งเลือกที่จะทิ้งโอกาสในการไปศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย ตามหลักแล้วเฉินผิงอันควรสนิทกับหลินโส่วอีมากกว่า แต่พอมาอยู่กับเขาต่งสุ่ยจิ่ง เวลาพูดคุยกันกลับยังคงเป็นสองคำนั้น จริงใจ ทั้งไม่จงใจผูกไมตรีกระชับความสัมพันธ์ จงใจทำตัวกระตือรือร้นสนิทสนมกับตน แล้วก็ไม่เคยทำตัวห่างเหิน ดูแคลนที่ทั้งร่างของเขาต่งสุ่ยจิ่งเหม็นกลิ่นสาบเหรียญทองแดง
ต่งสุ่ยจิ่งย่อมเห็นค่าและทะนุถนอมมันเอาไว้
เฉินผิงอันยังคงทำเหมือนคราวก่อนที่กลับบ้านเกิดแล้วได้พบกับต่งสุ่ยจิ่งอีกครั้ง เขาเล่าให้อีกฝ่ายฟังถึงสถานการณ์ล่าสุดของกลุ่มคนที่ไปเรียนต่อสำนักศึกษาซานหยา แล้วก็เล่าถึงเรื่องราวน่าสนใจของตนเองยามเดินทางไปต่างทวีป
ต่งสุ่ยจิ่งเองก็เล่าเรื่องที่ตัวเองอยู่ในภูเขาเฟิงเหลียงและเขตการปกครองหลงเฉวียน จากลากันไปนาน ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง สหายเก่าและเรื่องราวเก่าๆ ของทั้งสองฝ่าย ล้วนอยู่ในชามเกี๊ยวน้ำใบหนึ่ง
ได้ยินเฉินผิงอันบอกว่าจะไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน รู้ว่าเฉินผิงอันเพิ่งเคยไปที่นั่นเป็นครั้งแรก ต่งสุ่ยจิ่งจึงคิดว่าจะปิดร้านให้เร็วหน่อย เพียงแต่คิดว่าอาจมีผู้มีจิตศรัทธาลงจากภูเขามาตอนกลางคืน ถึงได้มอบกุญแจร้านไว้ให้กับลูกจ้าง แล้วถึงได้ออกจากภูเขาเฟิงเหลียงไปพร้อมกับเฉินผิงอัน มุ่งหน้าตรงไปยังเขตการปกครองที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่นั่นแสงไฟสว่างไสวราวกับกลางวัน มองไปไกลๆ ก็เห็นเป็นภาพบรรยากาศของความรุ่งเรืองที่เสียงเพลงบรรเลงในยามค่ำคืนแว่วดัง
ต่งสุ่ยจิ่งถามถึงเรื่องการกรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี ถามถึงสถานการณ์ในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป
เฉินผิงอันเล่าให้เขาฟังไปทีละอย่าง
ต่งสุ่ยจิ่งเอ่ยเบาๆ ว่า “หลังจากกลียุค โอกาสในการทำการค้าย่อมมีซุกซ่อนอยู่ น่าเสียดายที่เงินทุนข้าน้อยเกินไป ในกองทัพต้าหลีเองก็ไม่มีคนรู้จัก ไม่อย่างนั้นข้าก็อยากจะลองไปที่ทางใต้ดูสักครั้ง”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็กล่าวว่า “ข้ารู้จักสหายคนหนึ่งในทะเลสาบซูเจี่ยน เขาชื่อกวนอี้หราน ตอนนี้มีสถานะเป็นแม่ทัพแล้ว คือลูกหลานชนชั้นสูงที่นิสัยไม่เลวเลยทีเดียว วันหน้าข้าจะเขียนจดหมายสักฉบับ แนะนำให้พวกเจ้าได้รู้จักกัน น่าจะถูกคอกันดี”
ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ได้สิ หากทำการค้าได้สำเร็จจริงๆ ข้าก็จะแบ่งกำไรให้เจ้าส่วนหนึ่ง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่มีปัญหา”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มกล่าว “ยังกลัวว่าเจ้าจะปฏิเสธเสียอีก”
เฉินผิงอันเองก็คลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าจะยังเป็นสหายกับเจ้าอีกได้อย่างไร?”
ต่งสุ่ยจิ่งลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “หากเป็นไปได้ ข้าอยากเป็นหุ้นส่วนกับท่าเรือตระกูลเซียนที่ร้านผ้าห่อบุญภูเขาหนิวเจี่ยวทิ้งเอาไว้ จะแบ่งส่วนแบ่งกันอย่างไร เจ้าตัดสินใจได้เลย เจ้าสามารถกดราคาได้เต็มที่ สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่เงินเทพเซียน แต่เป็น…ข่าวคราว…ซึ่งมากับตัวผู้โดยสารที่เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ เฉินผิงอัน ข้าสามารถรับรองได้ว่า ข้าจะพยายามจัดการดูแลท่าเรือให้ดีที่สุด ไม่กล้าเพิกเฉยละเลยแม้แต่น้อย ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องมาคอยกังวล ซึ่งในเรื่องนี้มีเงื่อนไขอย่างหนึ่งว่า หากเจ้ามีการประมาณการณ์ของรายรับท่าเรือไว้ก่อน ก็สามารถบอกมาได้ หากข้าสามารถช่วยให้เจ้าได้กำไรมากกว่าที่เจ้าคาดไว้ ข้าถึงจะยอมรับส่วนแบ่งตรงนี้ แต่หากข้าทำไม่ได้ ข้าจะไม่พูดถึงสักคำ แล้วเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด”
เฉินผิงอันใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองไปปรึกษากับคนอื่นดูก่อน แล้วจะมาบอกราคาแก่เจ้า ในเมื่อเป็นการทำการค้า ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแน่นอน”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แค่นี้เจ้าก็เกรงใจข้ามากแล้ว”
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นส่งเหล้ากาหนึ่งที่เหลืออยู่ไม่มากในวัตถุฟางชุ่นให้แก่ต่งสุ่ยจิ่ง ส่วนตัวเองปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา ต่างคนต่างดื่มเหล้า เฉินผิงอันเอ่ยว่า “อันที่จริงปีนั้นเจ้าไม่ได้ไปสำนักศึกษาซานหยาด้วยกัน ข้ารู้สึกเสียดายมาก ด้วยมักจะคิดว่าพวกเราสองคนเหมือนกันมากที่สุด ต่างก็มีชาติกำเนิดยากจน ปีนั้นข้าไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ ดังนั้นพอเจ้าเลือกอยู่ต่อในเมืองเล็ก ข้าก็รู้สึกโกรธนิดๆ แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลอย่างมาก อีกทั้งเมื่อย้อนกลับมามองดู ข้าก็ค้นพบว่าอันที่จริงเจ้าทำได้ดีมากแล้ว ดังนั้นข้าถึงได้มีโอกาสมาพูดความในใจพวกนี้กับเจ้า ไม่อย่างนั้นก็คงต้องเก็บกลั้นไว้ในใจไปตลอด”
ต่งสุ่ยจิ่งดื่มเหล้าหนึ่งอึก “ข้ารู้ความสามารถของตัวเองดี เรียนหนังสือพอถูไถ ไม่ถือว่าแย่เกินไป แต่ย่อมสู้หลินโส่วอีไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้ทำเรื่องที่ตัวเองถนัด”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พวกเจ้าสองคนต่างก็ชอบพี่สาวหลี่ไหวขนาดนี้เชียวหรือ”
ต่งสุ่ยจิ่งหน้าแดงน้อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดื่มเหล้าไปหลายอึก หรือเพราะเหตุใด
ต่งสุ่ยจิ่งดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “มีข้อหนึ่งที่ข้าแน่ใจว่าตอนนี้เก่งกว่าหลินโส่วอี หากในอนาคตวันใดหลี่หลิ่วแน่ใจแล้วว่าไม่เห็นทั้งข้าและหลินโส่วอีอยู่ในสายตา ถึงเวลานั้นหลินโส่วอีต้องโมโหแทบตายอย่างแน่นอน แต่ข้ากลับไม่ ขอแค่หลี่หลิ่วมีชีวิตที่ดี ข้าก็ยัง…มีความสุข แน่นอนว่าไม่ได้มีความสุขมากนัก คำพูดหลอกคนอื่นประเภทนี้ ไม่จำเป็นต้องอาย พูดจาเหลวไหลก็เท่ากับเป็นการย่ำยีสุราดีๆ ในมือไหนี้ แต่ข้าเชื่อว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำใจได้ดีกว่าหลินโส่วอี”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
ต่งสุ่ยจิ่งยกกาเหล้าในมือขึ้น “แพงมากเลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ถูกเลยจริงๆ”
ต่งสุ่ยจิ่งจิบคำเล็กๆ อีกคำ “ถ้าอย่างนั้นยิ่งดื่มก็ยิ่งอร่อย”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงดัง “เหมือนข้า!”
คนบ้านเดียวกันสองคนที่มีชาติกำเนิดคล้ายคลึงกันเดินเท้ามุ่งหน้าขึ้นเหนือพลางพูดคุยกันไปเช่นนี้ตลอดทาง
—–