กระบี่จงมา Sword of Coming – บทที่ 471.3 ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ?

บทที่ 471.3 ไม่เคยเห็นอาวุธกึ่งเซียนหรือ?

อาณาบริเวณของวัดร้างค่อนข้างใหญ่ เป็นเหตุให้กองไฟห่างจากประตูใหญ่มาพอสมควร

มีสตรีเรือนกายสะโอดสะองสวมชุดกระโปรงสีสันสดใสสามนาง คนหนึ่งคือดรุณีน้อยอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปีที่ดวงตาเป็นรูปผลซิ่ง ใบหน้าทรงกลม อีกคนหนึ่งคือสตรีร่างสูงเพรียวยาวที่รวบผมมัดเป็นมวย อายุประมาณยี่สิบปี และยังมีสตรีโตเต็มวัยอีกคนหนึ่งที่เรือนกายอวบอิ่มมวยผมหลวมๆ คล้าย ‘พวงดอกไม้’ พวกนางเล่นสนุกหยอกล้อกัน ทำให้ทัศนียภาพบางจุดบนร่างของสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามคนหนึ่งในนั้นสั่นกระเพื่อมรุนแรงเป็นพิเศษ เวลานี้กำลังพากันหัวเราะคิกคัก ‘พลิ้วกายเข้ามา’ ในวัดโบราณประหนึ่งผีเสื้อโบยบิน จากนั้นก็เห็นคนหนุ่มที่กำลังเบิกตากว้าง พวกนางพลันเกิดขลาดกลัว หยุดเท้าลงอย่างเขินอาย ยืนรวมตัวเกาะกลุ่มกัน ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ผลักดันกันให้ขยับเข้าไปใกล้กองไฟและบัณฑิต

สตรีโตเต็มวัยเหมือนใจจะกล้าหน่อย นางนั่งยองลง ยื่นมือไปอังไฟหาความอบอุ่น สายตาจับจ้องมองคนหนุ่มอยู่ตลอดเวลา

สตรีร่างสูงโปร่งยืนอยู่ด้านข้าง มองมาด้วยสายตาเย็นชา คล้ายจะกำลังยืนยันให้แน่ใจว่าคนหนุ่มผู้นี้จะใช่อันธพาลเสเพลที่อันตรายหรือไม่

เด็กสาวดวงตารูปผลซิ่งขี้อายที่สุด นางยืนหันข้าง สิบนิ้วของสองมือสอดประสานกัน ก้มหน้าลงต่ำจ้องมองปลายรองเท้าปักลายบุปผาที่โผล่พ้นมาจากชายกระโปรง

สตรีโตเต็มวัยพลันอึ้งตะลึง

เพราะว่าจู่ๆ บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นก็หัวเราะ คล้ายจะขึงหน้าทำสีหน้า ‘จริงจังแบบเสแสร้ง’ ต่อไปไม่ไหว

สตรีเรือนร่างอวบอิ่มที่นั่งอยู่ผู้นั้น นางถึงขั้นดึงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากหน้าอกขาวโพลนตั้งตระหง่านโดยตรง แล้วโบกเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงหวานเลี่ยนว่า “คุณชายร้อนหรือไม่? อยู่ดีๆ ข้าน้อยก็รู้สึกเสื้อผ้าที่สวมใส่หนาเกินไปเสียแล้ว”

เฉินผิงอันยื่นมือไปใกล้กองไฟอยู่ตลอดเวลา เขายิ้มกล่าวว่า “หากรู้สึกร้อน แล้วจะยังต้องผิงไฟอีกหรือ?”

สตรีอึ้งงันพูดไม่ออก แต่จากนั้นนางก็ชม้อยชม้ายชายตา หัวเราะคิกคักดุจกิ่งบุปผาสั่นไหว “คุณชายช่างเข้าใจพูดตลกเสียจริง คิดดูแล้วคงจะเป็นบุรุษที่ชวนรักชวนฝันมากแน่ๆ”

เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ขำให้นานอีกหน่อย”

เมื่อเป็นเช่นนี้ สตรีงดงามโตเต็มวัยที่เย้ายวนเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ก็หัวเราะขำได้แค่ครู่เดียว เพราะเพียงไม่นานนางก็ขำไม่ออกอีก เพียงแต่ไม่ยินดีจะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้ จึงเลียมุมปาก ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คุณชายหน้าตาหล่อเหลาจริงๆ มองแล้วสบายตา พูดจาก็ไพเราะน่าฟัง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะใช้งานได้จริงหรือไม่?”

เฉินผิงอันยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิม “ท่านป้าก็ช่างเข้าใจพูดตลกเสียจริง”

สีหน้าของสตรีแข็งค้างโดยพลัน

เฉินผิงอันที่จงใจกลับมาเยือนสถานที่เก่าด้วยใบหน้านี้มองประเมินคนทั้งสามอีกรอบ สุดท้ายมองไปยังเด็กสาวที่ขี้ขลาดที่สุดคนนั้นแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “พอเถอะ ข้ารู้รากฐานของพวกเจ้าดี ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเจอกันมาก่อน”

ในบรรดาสตรีทั้งสามคน สตรีร่างอวบอิ่มมึนงงและขุ่นเคือง ใช้ผ้าเช็ดหน้าปกปิดทัศนียภาพตรงหน้าอก สตรีร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วมุ่น ส่วนเด็กสาวคนนั้นทำราวกับไม่ได้ยิน ยังคงทำท่าเขินอายของตัวเองต่อไป

เฉินผิงอันโยนกิ่งไม้หนึ่งกิ่งใส่เข้าไปในกองเพลิง ยังคงยิ้มมองเด็กสาวที่สวมรองเท้าปักลายบุปผาผู้นั้น ไม่รู้จริงๆ ว่านางความจำไม่ดี หรือรักความสะอาดมากจริงๆ เพราะไม่ว่าจะรองเท้าก็ดี หรือกระโปรงก็ช่าง ล้วนยังคงไม่เปรอะเปื้อนดินโคลนทั้งที่เดินมาบนทางภูเขาแท้ๆ เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “จำไม่ได้แล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นข้าจะช่วยทวนความจำให้เจ้าเองก็แล้วกัน เมื่อประมาณเจ็ดปีก่อน มีคนต่างถิ่นสี่คนมานั่งอยู่ตรงจุดที่ข้านั่งตอนนี้ คนหนึ่งคือจอมยุทธเคราดก คนหนึ่งคือนักพรตหนุ่ม คนหนึ่งคือบัณฑิตผู้สุภาพ คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มยากจน…อืม ภายหลังพวกเราก็พบกันอีกครั้งที่หมู่บ้านวารีกระบี่”

เด็กสาวที่ดวงตาเป็นรูปผลซิ่งไม่ยืนหันข้างอีกต่อไป นางหันมาเผชิญหน้ากับเฉินผิงอัน ปิดปากหัวเราะ “จะจำไม่ได้ได้อย่างไร ครั้งนั้นต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ด้วยน้ำมือของพวกเจ้าและตะพาบเฒ่าซ่ง ทุกวันนี้พอข้าน้อยนึกถึงเรื่องอนาถในครั้งนั้นขึ้นมา หัวใจดวงเล็กๆ ก็ยังเจ็บปวดรวดร้าวไม่หาย บุรุษหน้าไม่อายอย่างพวกเจ้า แต่ละคนช่างไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย สาวใช้สองคนที่น่าสงสารของข้า นึกจะฆ่าก็ฆ่าทิ้งเสียอย่างนั้น หากข้ามองไม่ผิด คุณชายคงจะเป็นเด็กหนุ่มที่ปีนั้นลงมือบดขยี้บุปผางามอย่างอำมหิตที่สุดผู้นั้นกระมัง? โอ้โห ยิ่งโตก็ยิ่งหล่อเหลาจริงๆ ไม่ทราบว่าเดินทางมาเยือนครั้งนี้ มีจุดประสงค์อันใด?”

นางเอาสองมือไพล่หลัง เดินอ้อมกองไฟไปครึ่งวง คอยรักษาระยะห่างกับเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา “ทำไม คงไม่ใช่ว่าคุณชายไม่ได้ไร้เดียงสาไม่รู้ความเหมือนตอนเป็นเด็กหนุ่ม แต่เริ่มได้รู้จักรสชาติของสตรีมาบ้างแล้ว ชิมสตรีในโลกมนุษย์มาจนเอียน ก็เลยอยากหาอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ คิดจะมาลองดูความสามารถบนเตียงของผีงามอย่างพวกเราหรอกกระมัง?”

เฉินผิงอันโบกมือ “มิกล้า ข้ารู้ดีว่าฮูหยินชอบกินหัวใจผัดเผ็ด ให้ดีที่สุดคือต้องเป็นหัวใจของผู้ฝึกตน เพราะไม่มีกลิ่นคาวแบบคนธรรมดาสามัญ”

เฉินผิงอันมองไปทางประตูวัดร้างแวบหนึ่ง “ดูท่าหลังจากถูกผู้อาวุโสซ่งตวัดกระบี่สังหารภูตผีใต้อาณัติของเจ้าไปไม่น้อยในรวดเดียว เจ้าตอนนี้จึงไม่มีบารมีอำนาจเหมือนในอดีตอีกแล้ว”

เด็กสาวที่มีดวงตารูปผลซิ่งเบ้ปาก ยื่นรองเท้าปักลายบุปผาข้างหนึ่งออกมาเขี่ยกองไฟเบาๆ “ว่ามาเถอะ เจ้าล่อให้พวกเราปรากฏตัวครั้งนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่?”

เฉินผิงอันถาม “หลังจากศึกที่หมู่บ้านวารีกระบี่ผ่านพ้นไป สี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ยก็บาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ไอ้ที่ตายก็ตาย ไอ้ที่หนีไปได้ก็หนีไป แล้วก็ยังมี…ช่างเถิด ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ข้ารู้มานานแล้ว แต่ทางฝั่งของแคว้นไฉ่อีนั่น ข้าได้ยินมาว่าเพียงไม่นานต่อมาก็มีสี่พิฆาตซูสุ่ยปรากฎขึ้นอีก หนึ่งในนั้นยังเป็นกลุ่มอิทธิพลเก่าบนภูเขาที่ได้เลื่อนตำแหน่งด้วย?”

นางทรุดตัวลงนั่งยอง ถอนหายใจ “ตายไปแล้วสองคน ไร้ชะตาจะได้เสพสุข ล้วนถูกผู้ฝึกตนของต้าหลีที่เรียกตัวเองว่าเลขาธิการฝ่ายบู๊อะไรนั่นสังหารทิ้ง ยังเหลืออีกคน แรกเริ่มสุดก็ไปทำงานเบ็ดเตล็ด ถูกคนจับมาเล่นสนุกหาความบันเทิง เลยตกใจขวัญหนีจนเกือบจะต้องย้ายถิ่นฐาน ข้าต้องพูดกล่อมเขาว่าอย่าย้ายไปไหนเลย คนย้ายถิ่นมีชีวิตรอด แต่ผีที่มีชีวิตรอดจะยังเป็นผีได้อีกหรือ โชคดีที่เขายอมฟังคำเกลี้ยกล่อมของข้า เขาร่ำรวยได้ดิบได้ดีแล้ว แต่ข้ากลับต้องเสียใจจนไส้เขียว เมื่อหลายปีก่อนเกิดสงครามวุ่นวาย อยู่ดีๆ ไอ้หมอนั่นก็รุ่งเรืองขึ้นมา จึงรวบรวมพวกผีร้ายมาเป็นพรรคพวก สร้างกองกำลังแข็งแกร่ง อีกทั้งยังไม่เคยไปหาเรื่องซวยใส่ตัวกับพวกคนเถื่อนต้าหลี ชีวิตแต่ละวันช่างมีความสุข แล้วยังได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนักที่ทำให้ข้าอิจฉาตาร้อนนัก ไม่เพียงแต่ไม่พูดถึงฉายาสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ยอะไรอีก แม้แต่ข้าก็ยังเกือบถูกเจ้าสัตว์เดรัจฉานผู้นั้นลักพาตัวไปเป็นฮูหยินรังโจร วิถีทางโลกใบนี้นี่นะ คนมีชีวิตอยู่ยาก ผีก็เป็นกันยาก สรุปแล้วควรต้องเป็นอะไรกันแน่”

แม้ว่าเฉินผิงอันจะจับตามองนางตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วหางตาก็คอยมองประเมินผีอีกสองตนอยู่เช่นกัน

นางที่อยู่ในรูปโฉมของเด็กสาว อยู่ในแคว้นซูสุ่ยก็ถือว่าเป็นผีที่ตบะไม่ตื้นเขิน แต่สำหรับเฉินผิงอันในตอนนี้แล้ว นี่ไม่สำคัญเลย

สำคัญคือปีนั้นซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่แห่งแคว้นซูสุ่ยปฏิบัติต่อนางด้วยการหยิบปฏิทินเหลืองเก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่งออกมา แล้วเอ่ยประโยคว่า ‘เหมาะให้รักษาศีลทำความดี เหมาะให้แสวงหาโชคลาภ’ จากนั้นผีสาวก็ควักเงินร้อนน้อยออกมาเหรียญหนึ่ง แล้วผู้อาวุโสซ่งก็ยอมปล่อยนางไปจริงๆ

แรกเริ่มเฉินผิงอันยังนึกว่าเป็นเพราะปฏิทินเหลืองเล่มนั้นจริงๆ คืนนั้นผีสาวที่ชื่อเสียงความดุร้ายเลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้นซูสุ่ยผู้นี้ถึงได้โชคดีรอดพ้นหายนะไปได้ ภายหลังตอนที่กินหม้อไฟในร้านอาหารของเมืองเล็กร่วมกับผู้อาวุโสซ่ง พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ในบรรดาสี่พิฆาตของแคว้นซูสุ่ย ผีสาวตนนี้ถือเป็นผีที่มีชาติกำเนิดและการกระทำที่ซับซ้อนมากที่สุด ถือเป็นภูตผีประเภทที่ว่าหากฆ่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากไม่ฆ่าก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องร้ายทั้งหมด

เฉินผิงอันถอนหายใจ “พูดมาเถอะ หลายปีมานี้เจ้าทำร้ายให้บุรุษในโลกคนเป็นตายไปแล้วกี่มากน้อย”

นางตวัดค้อนใส่ “ทำร้ายให้ตายอะไรกัน พูดจาหยาบคายจริงๆ เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ พวกเขาได้ความสุขระหว่างชายหญิง ส่วนพี่น้องของพวกเราก็ได้พลังหยาง ไม่ต้องกลายไปเป็นผีร้ายที่ไม่อาจได้ผุดได้เกิดอีกตลอดไป ทุกคนต่างก็ปิติยินดี แน่นอนว่าหากเจอกับผู้ฝึกตนที่ไม่สนใจสิ่งใด อีกทั้งทางการก็ควบคุมไม่ได้อย่างพวกเจ้าเข้าจริงๆ ข้าก็ไม่ถือสาหากบนโต๊ะอาหารจะวางหัวใจผัดเผ็ดไว้สักหลายๆ จาน”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยคำใด คล้ายกำลังนึกถึงเรื่องเก่าบางอย่างอยู่

นางเอาสองมือไพล่หลัง จุ๊ปากเอ่ยว่า “จำเจ้าไม่ได้จริงๆ หากเจ้าไม่พูด ตีให้ตายข้าก็นึกไม่ออก ตอนนั้นเจ้าเป็นเด็กหนุ่มตัวดำเมี่ยมคนหนึ่ง ต่างก็พูดกันว่าสตรีเมื่อเติบใหญ่เปลี่ยนแปลงไปได้หลากหลาย บุรุษอย่างพวกเจ้าก็เหมือนกันหรือ?”

เฉินผิงอันพูดเหมือนหยอกล้อ “ในเมื่อตีให้ตายก็นึกไม่ออก ถ้าอย่างนั้นข้าก็สามารถพิจารณาได้ว่าจะไม่ตีเจ้าให้ตาย”

นางชำเลืองตามองชุดสีเขียวบนร่างของคนผู้นี้ ความโมโหก็พลันผุดพุ่งขึ้นมา

จึงหันขวับไปถลึงตาใส่สตรีร่างสูงโปร่งผู้นั้น “อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้ายังคบหากับบัณฑิตยากจนผู้นั้นอยู่ คงคิดสินะว่าสักวันหนึ่งเขาจะช่วยให้เจ้าหลุดพ้นจากมหรรณพแห่งความทุกข์นี้ไปได้? เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะส่งเจ้าไปอยู่ในมือเจ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นตั้งแต่คืนนี้เลย เขาเป็นถึงท่านเทพภูเขาผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ เทพภูเขารับอนุภรรยา ต่อให้ไม่มีหน้ามีตาเท่ารับภรรยาเอก ก็ไม่แย่กว่ากันสักเท่าไหร่หรอก!”

ตอนที่เอ่ยคำพูดเหล่านี้ ดวงตาสองข้างของเด็กสาวที่เป็นรูปผลซิ่งพลันมืดดำ ปราณดุร้ายแผ่ล้อมไปรอบกาย รองเท้าปักลายบุปผาที่โผล่ออกมานิดๆ คู่นั้นก็ยิ่งมีแสงสีแดงสดไหลวน ประหนึ่งมีเลือดสดไหลรินออกมาจากรองเท้า

ผีสาวร่างสูงโปร่งมีสีหน้าหวาดกลัว คุกเข่าลงดังตุ้บ หมอบตัวอยู่บนพื้น ร่างทั้งร่างสั่นเทา

สตรีอวบอิ่มที่อยู่ด้านข้างทำหน้าเย้ยหยัน ทว่าในความเย้ยหยันนั้นกลับมีความอิจฉาแฝงอยู่หลายส่วน

เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปทางประตูวัดแล้วหันมาโบกมือให้ผีสาวทั้งสามตน “พวกเจ้าไปซะเถอะ”

ครู่หนึ่งต่อมา

ผีสาวที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาวดวงตารูปผลซิ่งก็ขมวดคิ้วแน่น พูดเสียงหนักกับ ‘สาวใช้’ สองคนข้างกายที่เหลืออยู่อีกไม่มาก “พวกเจ้าไปกันก่อน! ออกไปทางประตูหลัง กลับไปที่จวนโดยตรง…”

และเวลานี้เอง ลมดำขุ่นมัวขุมหนึ่งที่ปะปนไปด้วยแสงสีทองก็พัดหมุนเข้ามาในวัด ก่อนจะเผยร่างกลายเป็นบุรุษกำยำที่เปิดเปลือยท่อนบน มีเขี้ยวสองข้างโผล่ออกมาจากริมฝีปาก หลังปรากฏตัวแล้วเขาก็ก้าวเดินยาวๆ มาข้างหน้าพลางหัวเราะร่าเสียงดัง “ไป? ข้าว่าใครก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น! ข้ารอวันนี้มานานมากเหลือเกินแล้ว ข้าจะรวบพวกเจ้าไปให้หมดเลยเชียว สตรีซุกซนอย่างเจ้าช่างจับตัวได้ยากนัก ข้าผู้อาวุโสส่งคนออกมาเป็นเหยื่อล่ออยู่หลายครั้ง เจ้าดันไม่ติดกับ วันนี้เหตุใดถึงทนไม่ไหว กล้าวิ่งออกมาจากรังเสียเล่า? นึกจริงๆ หรือว่าเอาสตรีขายาวๆ สาวใช้เจ้าไปเป็นเมียน้อยแล้วจะเติมเต็มท้องของข้าผู้อาวุโสให้อิ่มได้? รู้หรือไม่ ข้าผู้อาวุโสชอบรสชาติอย่างเจ้ามากที่สุดเลยล่ะ?”

เมื่อชายฉกรรจ์ร่างกำยำสูงหนึ่งจั้งผู้นี้ปรากฏตัว ในวัดโบราณก็อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวแสบจมูก

รอบบริเวณวัดร้างก็ยิ่งมีแต่เสียงเซ็งแซ่จอแจ

เห็นได้ชัดว่าภูตที่เป็นเทพภูเขาตนนี้รอจังหวะในการลงมือ เตรียมตัวพร้อมก่อนจะมา

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเอือมระอา “ท่านผู้นี้คือเทพภูเขากระมัง ไม่ต้องรีบร้อนจัดการข้า ถึงอย่างไรข้าก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว พวกเจ้าสามารถพูดคุยเรื่องเก่าๆ ในวันวานกันก่อนได้ ใครที่ควรหมั้นก็หมั้น ควรรับเป็นเมียน้อยก็รับไป”

ภูตภูเขาร่างบึกบึนที่มุมปากมักจะมีน้ำลายไหลย้อย หนึ่งในอดีตสี่พิฆาตแคว้นซูสุ่ย ซึ่งทุกวันนี้ทุ่มเงินเทพเซียนไปก้อนใหญ่ ในที่สุดก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเทพภูเขาไม่ได้สนใจคนหนุ่มที่มองดูแล้วคงจะเป็นวรยุทธแค่งูๆ ปลาๆ หรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกตนน้อยที่ฝีมือไม่เข้าขั้นผู้นี้จริงๆ เขาหันหน้าไปมองเด็กสาวดวงตารูปผลซิ่งที่ร่างเล็กเตี้ย แต่กลับบอบบางอรชร จากนั้นก็กวักมือหนึ่งครั้ง ร่างของสตรีอวบอิ่มโตเต็มวัยผู้นั้นก็ลอยหวือไปหาเขาทันที นางถูกเขากอดเอาไว้ สตรีแอบอิงอยู่ท่ามกลาง ‘ป่าเขา’ ตรงหน้าอกของเทพภูเขาท่านนี้ หัวเราะคิกคักเสียงหวาน ไม่กล้ามองไปยังเด็กสาวที่เป็นเจ้านายของตัวเอง แต่จ้องเขม็งไปที่ผีสาวร่างสูงโปร่งซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงงันผู้นั้นอย่างมาดร้าย “นังแพศยาที่อยู่ท่ามกลางความสุขแล้วยังไม่รู้ตัว ถูกรับเป็นอนุแล้วเจ้ายังอาศัยอะไรมากล้าปฏิเสธเรื่องดีๆ เช่นนี้?!”

ภูตภูเขาหัวเราะเสียงดังสนั่นกึกก้อง “หลังผ่านคืนนี้ไปก็ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว อยู่บนเตียงหรืออยู่ล่างเตียงล้วนเป็นพี่น้องกัน อย่าให้คำพูดแค่ไม่กี่คำมาทำร้ายจิตใจกันเลย เจ้ากับนาง ต่างคนก็ต่างมีดี นายท่านอย่างข้าล้วนรักและถนอมทั้งคู่”

—–

กระบี่จงมา Sword of Coming

กระบี่จงมา Sword of Coming

Status: Ongoing
” หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์  ใจกลางฟ้าดิน เคยมีปัญญาชนผู้หนึ่งใช้หนึ่งกระบี่ฟาดฟันให้เกิดน้ำตกธารสวรรค์ คือความภาคภูมิใจสูงสุดของโลกมนุษย์  หน้าผาทะเลบูรพา มีนักพรตไร้นามผู้หนึ่งที่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งใด หวังเพียงให้ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า  แดนสุขาวดีปัจฉิมทิศ มีหลวงจีนเฒ่าที่ชอบเล่าเรื่องราวให้ผู้คนฟัง เลี้ยงมังกรสวรรค์ไว้เก้าตัว พื้นที่กันดารแดนใต้ มีจิตรกรตาบอดควบคุมหุ่นเชิดเกราะทองสูงเท่าเนินเขาให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่หนึ่งแสนลูก ปูแผ่เป็นภาพลายปัก เมื่อวันหนึ่งเด็กหนุ่มยากจนที่เติบโตทางทิศเหนือได้พบกับเซียนที่เหนือศีรษะมีกระบี่บินนับพันนับหมื่นประดุจฝูงตั๊กแตน “
เขาจึงอยากจะไปเห็นปัญญาชนคนนั้น เห็นคลื่นยักษ์ที่โถมตัวเทียมฟ้าของทะเลบูรพา
เห็นทะเลทรายสีเหลืองทองกว้างไกลนับหมื่นลี้ของแดนประจิม
และอยากไปเห็นภูเขาลูกโอฬารของแดนกันดารทางใต้ที่นักเล่านิทานเอ่ยถึงกับตาตัวเอง
ดังนั้น ในที่สุดวันหนึ่ง เด็กหนุ่มจึงสะพายกระบี่ไม้พาดหลัง มุ่งหน้าไปทางทิศใต้
–ข้ามีนามว่าเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุข สันติ ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง–

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท